แท็ก
อุตสาหกรรม
ความต้องการของตลาดในปัจจุบันและอนาคต
ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศที่สามารถจับสัตว์ทะเลได้เป็นจำนวนมากในแต่ละ ปี และมีการนำไปใช้เพื่อบริโภคในรูปแบบต่างๆกันทั้งในการบริโภคสดและเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตแปรรูป ประเภทต่างๆ เช่น อาหารทะเลแช่แข็ง, อาหารทะเลกระป๋อง, ทำเค็มและอบแห้ง เป็นต้น ซึ่งการอบแห้งเป็นก รรมวิธีในการถนอมอาหารทะเลชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถทำให้เก็บรักษาอาหารทะเลได้เป็นระยะเวลานานขึ้น แล ะเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศในเอเชียโดยเฉพาะกุ้งแห้งและปลาหมึกแห้ง โดยอ าหารทะเลอบแห้งนั้นสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามวัตถุดิบ คือ ปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้ง เป็นต้น โดยปล าหมึกจะมีสัดส่วนการแปรรูปโดยการตากแห้งมากที่สุดประมาณร้อยละ 24 ของผลผลิตปลาหมึกที่จับได้ทั้งหม ด รองลงมาคือกุ้ง ร้อยละ 17 ของผลผลิตกุ้งทั้งหมด ในการแปรรูปส่วนใหญ่จะเป็นการทำให้แห้งโดยไม่ต้องมี การปรุงรส โดยเฉพาะกุ้งแห้ง ส่วนปลาหมึกและอื่นๆจะมีบางส่วนที่ผ่านการปรุงรสโดยใช้ส่วนผสมต่างๆ เพื่ อให้รสชาดน่าทานมากขึ้น
รายละเอียดทางด้านการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการป ระกอบกิจการ รวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาในการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารทะเล อบแห้งและปรุงรส
จำนวนผู้ผลิตและผู้นำเข้า
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการภายในประเทศไทยในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและป รุงรส เป็นจำนวนทั้งสิ้น 77 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 12 ราย ผู้ประกอบการ ขนาดเล็กจำนวน 65 ราย (ข้อมูลจากกรมโรงงาน ณ. เดือนมีนาคม 2545) และผู้ประกอบการระดับท้องถิ ่นในโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์จำนวน 13 ราย (ข้อมูลจาก WWW.THAITAMBON.COM) ส่วนผู้นำเข้าใ นอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสมีจำนวนทั้งสิ้น 11 ราย และผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบ แห้งและปรุงรสมีจำนวนทั้งสิ้น 153 ราย
ส่วนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในจังหวัดท ี่อยู่ภายในเขตความรับผิดชอบของศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 21 รายหรือคิ ดเป็นร้อยละ 27.27 ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ โดยเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 3 รายและเป็ นผู้ประกอบการรายเล็กอีก 18 ราย และเป็นผู้ประกอบการระดับท้องถิ่นในโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์จำนวน 3 ราย
ผู้ผลิตและผู้นำตลาดอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของไทยนั้นได้แก่ บริษัท แปซิฟิค มาร ีนฟูดส์โปรดักส์ จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร มีทุนจดทะเบียน 92,000,000 บาท บริษัท ปัตตาน ีดีไฮเดรทฟูดส์ จำกัด จังหวัดปัตตานี มีทุนจดทะเบียน 75,000,000 บาท บริษัท เนเจอรัล ซี โปรดักส์ จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร มีทุนจดทะเบียน 25,000,000 บาท บริษัท เอส.ซี.โซคูฮิน จำกั ด จังหวัดสงขลา มีทุนจดทะเบียน 22,000,000 บาท และ บริษัท สยามเดลี่ฟู้ดส์ จำกัด จังหวัดสมุทร สาคร มีทุนจดทะเบียน 19,000,000 บาท ส่วนผู้ผลิตและผู้นำตลาดอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสที่อยู่ใน เขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ.เค.ซี.ฟู้ดส์ จังหวัดระยอง มีทุ นจดทะเบียน 23,000,000 บาท และบริษัท ซีชายน์ จำกัด จังหวัดระยอง มีทุนจดทะเบียน 10,100,000 บาท เป็นต้นโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รายชื่อผู้ประกอบการที่สำคัญ สถานที่ตั้ง ทุนจดทะเบียน (บาท)
บริษัท แปซิฟิค มารีนฟูดโปรดักส์ จำกัด สมุทรสาคร 92,000,000.00
บริษัท ปัตตานีดีไฮเดรทฟูดส์ จำกัด ปัตตานี 75,000,000.00
บริษัท เนเจอรัล ซี โปรดักส์ จำกัด สมุทรสาคร 25,000,000.00
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ.เค.ซี.ฟู้ดส์ ระยอง 23,000,000.00
บริษัท เอส.ซี.โซคูฮิน จำกัด สงขลา 22,000,000.00
บริษัท สยามเดลี่ฟู้ดส์ จำกัด สมุทรสาคร 19,000,000.00
บริษัท บลู ซี ฟู้ด จำกัด พังงา 18,600,000.00
บริษัท เซ้าท์อีสต์เอเซี่ยนแพคเกจจิ่ง
แอนด์แคนนิ่ง จำกัด ปัตตานี 15,000,000.00
บริษัท เซ้าท์แอมซีฟู้ด จำกัด สงขลา 15,000,000.00
บริษัท สหะโสภา จำกัด ประจวบคีรีขันธ์ 12,600,000.00
พรนิภา สมุทรสงคราม 11,030,000.00
บริษัท ซีชายน์ จำกัด ระยอง 10,100,000.00
เจี๊ยบเซ้งฟิชเชอรี่ กรุงเทพมหานคร 9,325,000.00
บริษัท ไทยจินมี่ฟูดส์ จำกัด ระยอง 8,500,000.00
บริษัท ภานุวัฒน์ มารีน จำกัด สมุทรสาคร 7,900,000.00
บริษัท อรุณอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ระยอง 7,300,000.00
ที่มา : กรมทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรม, 2545
รายชื่อผู้นำเข้าที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส
รายชื่อผู้นำเข้าที่สำคัญ สถานที่ตั้ง
บ.แปซิฟิกแปรรูปสัตว์น้ำ จำกัด กรุงเทพฯ
บ.ลักกี้ ยูเนี่ยน ฟู้ดส์ จำกัด กรุงเทพฯ
จก.ไทยเซนฟู้ดส์ นครปฐม
บ.โกลโบฟู้ดส์ สมุทรปราการ
หจก.เทคนิฟู้ดส์ กรุงเทพฯ
บ.ไทยนิสชิน เทคโนมิค จำกัด สมุทรปราการ
บ.ฟาร์โอเชี่ยน ฟู้ดส์ โพรดักส์ จำกัด สมุทรสาคร
บ.เทพคินโซฟูดส์ จำกัด สมุทรสาคร
บ.พรีเมียร์ ฟู้ด แอนด์ เฟเวอร์ จำกัด กรุงเทพฯ
หจก.พิชัย เจแปนนิส ฟู้ด เชียงใหม่
รายชื่อผู้ส่งออกที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส
รายชื่อผู้ส่งออกที่สำคัญ สถานที่ตั้ง
บ.อภิทุน เอ็นเตอร์ไพรซ์ อุตสาหกรรม จำกัด กรุงเทพฯ
บ.ลักกี้ ยูเนี่ยน ฟู้ดส์ จำกัด สมุทรสาคร
บ.คิบุน (ไทยแลนด์) จำกัด สมุทรสาคร
บ.แปซิฟิกแปรรูปสัตว์น้ำ จำกัด สงขลา
บ.โคอ็อพ ฟูดส์(ไทยแลนด์) จำกัด สมุทรปราการ
บ.ตรังผลิตภัณ์อาหารทะเล จำกัด(มหาชน) ตรัง
บ.เศรษฐชล จำกัด สมุทรปราการ
บ.ไชน่าสยามซีฟู้ดส์ จำกัด สุราษฎร์ธานี
บ.ศรีณีวาส เทรดดิ้ง จำกัด กรุงเทพฯ
บ.แปซิฟิก ควีน จำกัด สมุทรปราการ
ภาวะตลาดภายในประเทศและการส่งออกนำเข้า
ภาวะตลาดภายในประเทศ
อาหารทะเลอบแห้งที่ผลิตออกสู่ตลาดจะใช้บริโภคภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศประมาณร้อยละ 20 ของผลผลิตทั้งหมด ปริมาณความต้องการบริโภคอาหารทะเลอบแห้งในประเทศในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับตัวลดลงตามสภาพเศรษฐกิจและประกอบกับการนำเข้าอาหารทะเลอบแห้งที่ลดลงแต่ไม่มีผลต่อภาวะตลาดภายในประเทศมากนักเนื่องจากมีมูลค่าการนำเข้าอาหารทะเลอบแห้งในสัดส่วนที่ต่ำ และผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดภายในประเทศส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ การผลิตอาหารทะเลอบแห้งของประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กและอุตสาหกรรมในครัวเรือน มีแหล่งที่ตั้งกระจายอยู่ตามจังหวัดแถบชายทะเลทั้งในภาคใต้ และภาคตะวันออก โดยมีการจำหน่ายสินค้าผ่านตัวแทนในตลาดสดหรือห้องเย็นเพื่อทำการส่งออก ซึ่งอาหารทะเลตากแห้งนั้นจะใช้ผลผลิตสัตว์น้ำทะเลประมาณร้อยละ 3 ของผลผลิตทั้งหมดที่จับได้ ส่วนใหญ่เป็นกุ้งและปลาหมึก โดยวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตกุ้งแห้ง คือ กุ้งฝอยและเกลือ สำหรับวัตถุดิบในการผลิตปลาหมึกแห้ง คือ ปลาหมึกกล้วย ส่วนปลาหมึกกระดอง และปลาหมึกสายมีเพียงเล็กน้อย โดยหากเป็นการผลิตปลาหมึกปรุงรสก็จะต้องมีเครื่องปรุงรสต่างๆเป็นวัตถุดิบด้วยโดยมีรายละเอียดของแต่ละอุตสาหกรรมดังนี้
1. อุตสาหกรรมกุ้งแห้ง การผลิตกุ้งแห้งในประเทศไทย แบ่งออกเป็นอุตสาหกรรมได้ 2 แบบ ด้วยกันคือ
1.1 อุตสาหกรรมในครัวเรือน เกิดจากชาวบ้านที่มีถิ่นที่อยู่ในแถบชายฝั่งทะเลซึ่งชาวประมงที่มีเรือเป็นของตัวเอง หรือบางรายก็ทำโดยการรับชื้อกุ้งจากเรือประมง แล้วนำมาทำเป็นกุ้งแห้งอีกต่อหนึ่ง การผลิตในลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักจะใช้แรงงานจากสมาชิกในครอบครัว ประมาณ 3-5 คน มีน้อยรายที่ผลิตมากจนบางครั้งต้องจ้างแรงงานจากบุคคลภายนอก ในแง่ของการลงทุนแล้วอุตสาหกรรมนี้ใช้ทุนในการดำเนินการน้อยมาก เพราะอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ นั้นสามารถหาชื้อได้ตามท้องตลาดและมีราคาต่ำ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรใดเลย แต่ต้องมีบริเวณพื้นที่โล่ง มีแสงแดดส่องผ่านได้ดีและลมสามารถพัดผ่านได้สะดวก
อุตสาหกรรมประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยแรงลมพัดผ่าน เพื่อช่วยระบายในเรื่องกลิ่น เพราะสัตว์พวกนี้เมื่อนำไปตากแดดสักระยะหนึ่งพอเริ่มแห้งความชื้นจากตัวมันจะระเหยออกมามีกลิ่นคาวของตัวมันเอง ฉะนั้น หากไม่มีลมพัดผ่านก็จะทำให้กลิ่นคาวนั้นวนเวียนอยู่ภายในเมื่อแห้งสนิทแล้วก็จะทำให้กลิ่นยังคงติดอยู่ จะทำให้เหม็นคาวมาก
1.2 อุตสาหกรรมโรงงานขนาดเล็ก จังหวัดที่มีการผลิตกุ้งแห้งและมีการใช้เตาอบรวมทั้งเครื่องมือทุ่นแรงอื่นๆ ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร เพชรบุรี ชุมพร ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ส่วนจังหวัดอื่นๆ มีกำลังการผลิตน้อยและไม่ใช้เตาอบ ปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายในหลายจังหวัด ได้เลิกกิจการ หรือไม่ก็มีการผลิตเป็นครั้งคราวเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากราคาของสดแพงขึ้นและมีปัญหาในเรื่องการตลาด ผู้ผลิตบางรายที่มีแพปลาจึงนิยมขายกุ้งสดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากความต้องการกุ้งสดในตลาดต่างประเทศสูงขึ้น สำหรับผู้ผลิตที่มีตลาดแน่นอนยังคงดำเนินการต่อไปได้ การพัฒนาในเรื่องเครื่องทุนแรงก็มีการใช้เครื่องกะเทาะเปลือกซึ่งยังอยู่ในสภาพเดิมและนับว่ายังใช้การได้ดี ส่วนเตาอบกุ้งแห้งนั้นก็มีประสิทธิภาพดีพอสมควรและมีใช้กันแพร่หลาย ผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังคงใช้แสงแดดตากกุ้งควบคู่กับการใช้เตาอบเพื่อเร่งผลผลิต เครื่องมือและอุปกรณ์ในการผลิตกุ้งแห้งที่สำคัญประกอบด้วย ภาชนะสำหรับต้มกุ้ง เครื่องสูบน้ำ เตาต้ม เตาอบแห้ง เครื่องกะเทาะเปลือกกุ้ง ภาชนะบรรจุ
2. อุตสาหกรรมปลาหมึกแห้ง
ปลาหมึกที่นำมาตากแห้งมีอยู่ 2 ชนิดคือ ปลาหมึกกล้วย และปลาหมึกสาย โดยเวลาอากาศดีก็นำมาแขวน หรือวางบนเสื่อ หรือแผ่นกระดานตากแดด ถ้าวางบนเสื่อ หรือแผ่นกระดาษจะต้องคอยกับปลาหมึก เพื่อให้แห้งทั่วกันทั้งสองด้าน ถ้าเอาหนังที่หุ้มตัวปลาหมึกแห้งเร็วขึ้น การทำแห้งในระยะนี้อาจจะใช้เวลาเพียง 20-30 ชั่วโมง ถ้าแดดดีๆแต่ถ้าท้องฟ้าครึ้มด้วยเมฆ อาจจะต้องใช้เวลานาน 48 ชั่วโมง เมื่อทำแห้งในระยะแรกแล้วนำปลาหมึกมาวางซ้อนกัน ใช้ผ้าใบ หรือพลาสติกคลุมไว้ แล้วหาอะไรหนักๆทับไว้ข้างบนอีกทีหนึ่ง ทิ้งไว้อย่างนี้สัก 2 หรือ 3 วัน ปลาหมึกจะมีลักษณะยืดหยุ่นมากขึ้น เนื่องจากมีการแพร่กระจายของความชื้นภายในเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นจึงนำมาตากแดดให้แห้งอีกครั้งหนึ่ง ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันหรือสองวัน กลางคืนเก็บเข้าในที่ร่มป้องกันน้ำค้าง
การเก็บปลาหมึกควรจะเก็บเป็นมัด มัดละ 15 ถึง 20 ตัว โดยเอาปลาหมึกมาวางซ้อนกันให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วเอามัดปลาหมึกบรรจุลงในลัง หรือกล่องกระดาษให้มีน้ำหนักประมาณกล่องละ 25-30 กิโลกรัม แล้วนำไปเก็บไว้ที่ที่มีอุณหภูมิคงที่ (ใช้อุณหภูมิระหว่าง 10 องศาเซลเซียส ถึง 15 องศาเซลเซียส ) และมีความชื้นในอากาศคงที่ (ใช้ความชื้นระหว่าง 65 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์)
ปลาหมึกในบางประเทศนิยมฉีกเป็นชิ้นย่อย แล้วบรรจุในกล่อง หรือถุงกระดาษหรือถุงพลาสติก การทำให้ปลาหมึกแห้งนุ่ม ต้องแช่ในสารละลายต่างๆ พบว่าในโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ได้ผลดีที่สุดรองลงมาคือใช้สารละลายโซเดียมคาร์บอเนต (Sodium carbonate)
3. อุตสาหกรรมหอยแห้ง (Dried Mussels)
หอยแห้งนับเป็นผลิตภัณฑ์ทางประมงอีกชนิดซึ่งเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศมากปริมาณหอยสดที่นำมาทำเป็นหอยแห้งมีอัตราเพิ่มเฉลี่ยปีละ25.20 เปอร์เซ็นต์ การผลิตหอยแห้งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1) ประเภทอุตสาหกรรมในครัวเรือน ได้แก่ ชาวบ้านที่มีถิ่นอาศัยแถบชายฝั่งทะเล การผลิตส่วนใหญ่จะใช้แรงงานในครัวเรือน คือ สมาชิกตั้งแต่ 3-5 คน
2) โรงงานขนาดเล็ก ซึ่งประกอบด้วยโรงงานต่างๆใช้ทุนไม่เกิน 150,000 บาท ใช้แรงงาน 8-10 คน เครื่องมือเครื่องใช้จะมีขนาดใหญ่กว่าครัวเรือน ใช้ทุนหมุนเวียนประมาญ 150,000-300,000 บาท
หอยแห้งที่ผลิต ได้แก่ หอยแมลงภู่ ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศและตลาดภายในประเทศสำหรับอัตราส่วนของหอยสดที่ใช้เป็นวัตถุดิบกับแห้งแตกต่างกันตามขนาดของหอย โดยเฉลี่ยหอยสด 2.5-4.5 กิโลกรัม จะได้หอยแห้ง 1 กิโลกรัม วัตถุดิบคือหอยแมลงภู่ จะซื้อโดยตรงจากชาวประมงหรือซื้อจากตลาดค้าหอยแมลงภู่ที่ตลาดปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีผู้ค้าส่งรายใหญ่ 2-3 ราย ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมด้วย มีขอบข่ายงานกว้างขวางรับซื้อหอยทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ และกระจายออกไปยังผู้บริโภคต่างๆ หอยแมลงภู่ที่ผลิตได้ในจังหวัดสมุทรปราการมักจะเป็นผลพลอยได้จากการทำโป๊ะ ซึ่งมีปริมาณไม่มากนัก แต่จะมีการขนส่งหอยแมลงภู่จากแหล่งผลิตในจังหวัดอื่น เช่น ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฯลฯ มาสู่จังหวัดนี้ ลักษณะการค้าจะมีผู้รวบรวมออกไปรับซื้อหอยจากแหล่งผลิต โดยมีการติดต่อตกลงล่วงหน้ากับชาวประมงเกี่ยวกับจำนวนที่ต้องการ และวันที่ต้องการให้ส่งหอยเมื่อมีการส่งมอบก็จะตกลงราคาและจ่ายเงิน ซึ่งอาจจ่ายทันที หรือจ่ายบางส่วนเป็นงวดๆไป ปกติผู้รวบรวมจะไปรับหอยตามท่าขึ้นหอย ซึ่งส่วนมากเป็นท่าที่คลองด่าน เมื่อรวบรวมได้แล้วจะนำไปจำหน่ายให้ผู้ขายส่งรายใหญ่ที่ตลาดปากน้ำ สมุทรปราการ
4. อุตสาหกรรมแมงกะพรุนแห้ง
แมงกะพรุนหนังแห้ง โดยนำแมงกะพรุนหนัง (ตัดเอาแต่ส่วนหมวก) มาแช่ในน้ำเย็น (น้ำปนน้ำแข็ง) ประมาณ 8-10 ชั่วโมงเพื่อเอาเมือกออก และนำแมงกะพรุนที่ล้างเมือกออกแบะ ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ นำมาชั่งน้ำหนักแล้วคลุกกับเกลือและสารส้ม(ใช้เกลือ 1.8 ลิตรต่อสารส้ม 75 กรัม) โดยใช้เกลือและสารส้ม 30% ของน้ำหนักของแมงกะพรุน แล้วดองแมงกะพรุนที่คลุกแล้วนี้ในถังไม้ โดยใช้หินหรือของหนักๆทับเอาไว้ประมาณ 2-3 วัน และนำแมงกะพรุนที่แห้งพอประมาณมาล้างน้ำ ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ แล้วชั่งน้ำหนักก่อนที่จะดองซ้ำด้วยส่วนผสมของเกลือและสารส้ม 20 % (เกลือ 1.8 ลิตรต่อสารส้ม60 กรัม) และดองต่ออีกประมาณ 2-3 วัน แล้วนำแมงกะพรุนขึ้นมาล้างน้ำให้สะอาด ต่อมาให้ผึ่งในที่ร่มบนตะแกรงลวดหรือตะแกรงไม้ห่างๆ ประมาณ 3-4 วัน ก็จะได้แมงกะพรุนที่แห้งสนิท
จากความต้องการบริโภคอาหารที่มีลักษณะกึ่งแปรรูปที่เพิ่มขึ้นทั้งจากวิถีชีวิตและครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะความสะดวกสบายในการทำอาหารในครัวเรือนมากขึ้น ประกอบกับธุรกิจขายปลีก ขายส่ง ภัตตาคาร ที่เติบโตขึ้นส่งผลให้ภาวะตลาดในประเทศของการประกอบกิจการประเภทนี้ยังมีความคึกคัก โดยปัจจุบันการขายมีลักษณะการผลิตเพื่อจำหน่าย ณ. จุดขาย หรือการส่งให้กับร้านค้าส่ง ร้านค้าปลีกในจังหวัดใกล้เคียง
คู่แข่งขันสำคัญของผู้ประกอบการในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 9 ในธุรกิจประเภทนี้คือผู้ผลิตในภาคใต้ อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตโดยส่วนใหญ่ขณะนี้มีการผลิตเพื่อจำหน่ายให้กับชุมชน และจังหวัดใกล้เคียง โดยแหล่งผลิตที่เป็นผู้นำตลาดในภาคใต้ขณะนี้ คือจังหวัดสงขลา ซึ่งมีการทำประมง อาหารทะเลอบแห้ง เป็นจำนวนมากโดยผลผลิตส่วนใหญ่ ส่งตลาดที่อำเภอ หาดใหญ่ และจังหวัดใกล้เคียง
โอกาสทางการตลาด ของผู้ประกอบการของที่ต้องการจะพัฒนาธุรกิจชุมชนให้เป็นผู้ผลิตขนาดย่อมหรือขนาดกลาง คือ การพัฒนาผลผลิต และพัฒนาการจัดการ ศึกษาโอกาสพัฒนาให้มีตราผลิตภัณฑ์ จำหน่ายในจังหวัดใกล้เคียง และส่งจำหน่ายให้กับตลาดสวนกลาง โดยเฉพาะ ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีระยะทางการขนส่งไม่ห่างไกลมากนัก โดยคาดว่า ลักษณะการแข่งขันของธุรกิจประเภทนี้ยังไม่รุนแรงนัก ซึ่งส่วนใหญ่ ผู้ผลิตที่เข้ามาใหม่ในตลาดสินค้าประเภทนี้ก็ยังมีโอกาสจะหาผู้บริโภคคือตลาดใหม่ในธุรกิจการขายปลีก ขายส่ง ภัตตาคารและโรงแรม ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2545 มีการจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มขึ้นกว่าปี 2544 ถึง 13.45 เปอร์เซ็นต์
สำหรับตลาดอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสภายในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสกึ่งสำเร็จรูป พร้อมที่จะรับประทานหรือนำไปประกอบอาหารโดยมีรายละเอียดของช่องทางการจำหน่ายในแต่ละขนาดผู้ประกอบการดังนี้
ผู้ประกอบการขนาดย่อยส่วนมากมีช่องทางการจำหน่ายในตลาดท่องเที่ยวตามจังหวัดชายทะเลต่างๆ หรือตลาดสดต่างๆ
ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสขนาดกลางมีตลาดภายในประเทศอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าต่างๆที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นและในเมืองที่สำคัญ เช่น ห้างโลตัส บิ๊กซี เป็นต้น
ผู้ประกอบการรายใหญ่ก็จะมีการจัดจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศและมีการจำหน่ายภายในประเทศบางส่วน
ทางด้านราคาจำหน่ายขึ้นอยู่กับขนาดและคุณภาพของผลผลิต ทั้งนี้อาจมีการแปรผันตามราคาวัตถุดิบที่มักปรับตัวขึ้นลงตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ราคากุ้ง และปลาหมึกแห้งจะมีเสถียรภาพมากกว่าราคาสัตว์ทะเลแห้งอื่นๆ ทำให้ในช่วงที่ราคาวัตถุดิบสูงจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตมาก เนื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตรายเล็กไม่มีสถานที่เก็บรักษาเพื่อรอให้ราคาปรับตัวขึ้น จึงจำเป็นต้องขายผลผลิตออกไป แม้ว่าจะขาดทุน เพราะจำเป็นต้องนำเงินที่ขายได้มาเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อทำการผลิตต่อไป
ภาวะตลาดต่างประเทศ
ประเทศไทยมีมูลค่าส่งออกสินค้าอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสไปยังทุกประเทศทั่วโลกเท่ากับ 5,802.36 บาทในปี พ.ศ. 2543 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.23 เป็น 6,511.84 บาท ในปี พ.ศ.2544 ตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงเป็นอุตสาหกรรมส่งออกที่สร้างรายได้ให้กับประเทศประเภทหนึ่ง โดยไม่ต้องพึ่งพิงวัตถุดิบจากต่างประเทศ โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยในสินค้าอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ได้แก่
ประเทศญี่ปุ่นโดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส จากประเทศไทยไปประเทศญี่ปุ่นเท่ากับ 2,571.89 และ 2,536.10 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 44.32 และ 38.95 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สิงคโปร์โดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส จากประเทศไทยไปสิงคโปร์เท่ากับ 479.30 และ 534.70 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 8.26 และ 8.21 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส จากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 294.18 และ 459.15 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 5.07 และ 7.05 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
ฮ่องกงโดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส จากประเทศไทยไปฮ่องกงเท่ากับ 392.72 และ 445.05 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 6.77 และ 6.83 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สหราชอาณาจักรโดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสจากประเทศไทยไปสหราชอาณาจักรเท่ากับ 379.63 และ 437.34 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 6.54 และ 6.72 ของ มูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
แนวโน้มของตลาดในอนาคต
แนวโน้มความต้องการของตลาดครัวเรือนภายในประเทศคาดว่าจะเป็นไปในลักษณะทรงตัว ส่วนความต้องการกลุ่มอาหารทะเลอบแห้งเพื่อธุรกิจบริการคาดว่าจะมีความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการผลิตหรือจำหน่ายให้กับกลุ่มขายส่ง และขายปลีก ภัตตาคาร และโรงแรม คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ตามธุรกิจบริการ ซึ่งข้อมูลล่าสุด จากกรมทะเบียนการค้า พบว่าธุรกิจขายส่ง ขายปลีก ภัตตาคาร และโรงแรม มีการจะเบียนของนิติบุคคล ในธุรกิจขยายส่ง ขายปลีก ภัตตาคาร และโรงแรม ในไตรมาสแรกของปี 2545 (มกราคม -มีนาคม) เพิ่มขึ้นเป็นอันดับหนึ่งจากภาคธุรกิจกินทั้งหมด คือ มีผู้จดทะเบียนนิติบุคคลในภาคธุรกิจนี้ถึง 3,440 ราย จากการจดทะเบียนของนิติตบุคคลที่ตั้งใหม่ทั่วราชอาณาจักร 9,515 ราย แยกเป็นส่วนกลาง 4,648 ราย และส่วนภูมิภาค 4,867 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าธุรกิจประเภทนี้และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องคือ อาหารทุกประเภท ยังต้องการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นกลุ่มอาหารทะเลอบแห้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารไทยขึ้นชื่อเพื่อป้อนให้กับกลุ่มร้านอาหารและโรงแรมคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นเช่นกัน สรุปได้ว่าโดยแนวโน้มของธุรกิจอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสภายในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวเพราะอาหารประเภทนี้จะแปรผันตามรายได้ของผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจ
ส่วนทางด้านตลาดส่งออกสินค้าอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของไทยนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีอัตราการขยายตัวการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสมาโดยตลอดตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541ที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสไปทั่วโลกเท่ากับ4,140.76 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดจนกระทั่งปีพ.ศ. 2544 ที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสไปยังทั่วโลกเท่ากับ 6,511.84 ล้านบาท ดังนั้นตลาดส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของไทยจึงมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตสำหรับผู้ที่สนใจในเขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 ที่จะทำการลงทุนในธุรกิจอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส
ปัญหาอุปสรรคและข้อจำกัด
อุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตที่ดี เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ แต่เนื่องจากมีปัญหาบางประการที่ควรแก้ไขเพื่อพัฒนาให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสให้เติบโตในอนาคตดังนี้
1. ปัญหาทางด้านวัตถุดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติ ดังนั้นจึงควรมีการวางแผนการจับและมีการเข้มงวดในการตรวจตราการจับสัตว์น้ำไม่ให้มีการจับสัตว์น้ำในฤดูวางไข่หรือห้ามจับในขณะตัวเล็ก
2. ปํญหาทางด้านมาตรฐานคุณภาพของสินค้าที่ควรจะมีมาตรฐานที่แน่นอนและมีความสะอาดในทุกๆขั้นตอนของการผลิต เนื่องจากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของประชาชน
3. ปัญหาการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีของต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรปที่มีมาตรการทางด้านความสะอาด ปลอดภัยและสุขอนามัยของสินค้า ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปได้จัดทำเอกสารสมุดปกขาวว่าด้วยความปลอดภัยของอาหารในสหภาพยุโรป เพื่อใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูและเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค สาระของสมุดปกขาวว่าด้วยความปลอดภัยของอาหารที่สำคัญ คือ
เสนอให้จัดตั้งหน่วยงานกลางด้านความปลอดภัยของอาหาร (European Food Authority : EFA) ให้สามารถดำเนินการได้ภายในปี 2545 เพื่อควบคุมดูแลความปลอดภัยของอาหารทั้งวงจร ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ (การเพาะปลูกหรือการเพาะเลี้ยง) จนกระทั่งถึงการบริโภคขั้นสุดท้าย (farm to table) และรวมถึงสินค้าใหม่ (Novel Food) และ GMOs ด้วย
พัฒนาระบบเตือนภัยฉุกเฉิน (rapid alert system)
ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ อาทิ
- มีการตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ (ability to trace) ได้ทุกขั้นตอนว่าความไม่ปลอดภัยของอาหารเกิดขึ้นในขั้นตอนใด
- กำหนดมาตรฐานอาหารระดับสูง เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างจริงจัง
- มีการตรวจสอบควบคุมอย่างเข้มงวด
- นำระบบ Precautionary มาใช้ตามความเหมาะสม
- ให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคอย่างเพียงพอ อาทิ การติดฉลาก
ข้อเสนอแนะ
สำหรับตลาดภายในประเทศควรมีการเข้าถึงตลาดโดยตรงถึงกลุ่มผู้บริโภครายใหญ่เช่นกลุ่ม HYPERMARKET , FOOD CHAINS , CONVENIENCE STORES เพื่อขยายฐานลูกค้าภายในประเทศซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่
ทางด้านตลาดต่างประเทศควรมีการส่งเสริมด้านการขายและร่วมงานแสดงสินค้าในทุกๆตลาดอย่างต่อเนื่องโดยจัด Thai Food Festival เพื่อแนะนำให้ลูกค้าจากต่างประเทศรู้จักผลิตภัณฑ์อาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของประเทศไทยในตลาดหลักและตลาดที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศที่สามารถจับสัตว์ทะเลได้เป็นจำนวนมากในแต่ละ ปี และมีการนำไปใช้เพื่อบริโภคในรูปแบบต่างๆกันทั้งในการบริโภคสดและเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตแปรรูป ประเภทต่างๆ เช่น อาหารทะเลแช่แข็ง, อาหารทะเลกระป๋อง, ทำเค็มและอบแห้ง เป็นต้น ซึ่งการอบแห้งเป็นก รรมวิธีในการถนอมอาหารทะเลชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถทำให้เก็บรักษาอาหารทะเลได้เป็นระยะเวลานานขึ้น แล ะเป็นที่นิยมของผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศในเอเชียโดยเฉพาะกุ้งแห้งและปลาหมึกแห้ง โดยอ าหารทะเลอบแห้งนั้นสามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามวัตถุดิบ คือ ปลาหมึกแห้ง กุ้งแห้ง เป็นต้น โดยปล าหมึกจะมีสัดส่วนการแปรรูปโดยการตากแห้งมากที่สุดประมาณร้อยละ 24 ของผลผลิตปลาหมึกที่จับได้ทั้งหม ด รองลงมาคือกุ้ง ร้อยละ 17 ของผลผลิตกุ้งทั้งหมด ในการแปรรูปส่วนใหญ่จะเป็นการทำให้แห้งโดยไม่ต้องมี การปรุงรส โดยเฉพาะกุ้งแห้ง ส่วนปลาหมึกและอื่นๆจะมีบางส่วนที่ผ่านการปรุงรสโดยใช้ส่วนผสมต่างๆ เพื่ อให้รสชาดน่าทานมากขึ้น
รายละเอียดทางด้านการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ปัญหา อุปสรรคและข้อเสนอแนะในการป ระกอบกิจการ รวมทั้งนโยบายรัฐบาลที่ให้การสนับสนุนและให้คำปรึกษาในการลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารทะเล อบแห้งและปรุงรส
จำนวนผู้ผลิตและผู้นำเข้า
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการภายในประเทศไทยในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและป รุงรส เป็นจำนวนทั้งสิ้น 77 ราย โดยแบ่งเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 12 ราย ผู้ประกอบการ ขนาดเล็กจำนวน 65 ราย (ข้อมูลจากกรมโรงงาน ณ. เดือนมีนาคม 2545) และผู้ประกอบการระดับท้องถิ ่นในโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์จำนวน 13 ราย (ข้อมูลจาก WWW.THAITAMBON.COM) ส่วนผู้นำเข้าใ นอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสมีจำนวนทั้งสิ้น 11 ราย และผู้ส่งออกในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบ แห้งและปรุงรสมีจำนวนทั้งสิ้น 153 ราย
ส่วนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสเป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในจังหวัดท ี่อยู่ภายในเขตความรับผิดชอบของศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 21 รายหรือคิ ดเป็นร้อยละ 27.27 ของผู้ประกอบการทั้งประเทศ โดยเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางจำนวน 3 รายและเป็ นผู้ประกอบการรายเล็กอีก 18 ราย และเป็นผู้ประกอบการระดับท้องถิ่นในโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์จำนวน 3 ราย
ผู้ผลิตและผู้นำตลาดอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของไทยนั้นได้แก่ บริษัท แปซิฟิค มาร ีนฟูดส์โปรดักส์ จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร มีทุนจดทะเบียน 92,000,000 บาท บริษัท ปัตตาน ีดีไฮเดรทฟูดส์ จำกัด จังหวัดปัตตานี มีทุนจดทะเบียน 75,000,000 บาท บริษัท เนเจอรัล ซี โปรดักส์ จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร มีทุนจดทะเบียน 25,000,000 บาท บริษัท เอส.ซี.โซคูฮิน จำกั ด จังหวัดสงขลา มีทุนจดทะเบียน 22,000,000 บาท และ บริษัท สยามเดลี่ฟู้ดส์ จำกัด จังหวัดสมุทร สาคร มีทุนจดทะเบียน 19,000,000 บาท ส่วนผู้ผลิตและผู้นำตลาดอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสที่อยู่ใน เขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ.เค.ซี.ฟู้ดส์ จังหวัดระยอง มีทุ นจดทะเบียน 23,000,000 บาท และบริษัท ซีชายน์ จำกัด จังหวัดระยอง มีทุนจดทะเบียน 10,100,000 บาท เป็นต้นโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
รายชื่อผู้ประกอบการที่สำคัญ สถานที่ตั้ง ทุนจดทะเบียน (บาท)
บริษัท แปซิฟิค มารีนฟูดโปรดักส์ จำกัด สมุทรสาคร 92,000,000.00
บริษัท ปัตตานีดีไฮเดรทฟูดส์ จำกัด ปัตตานี 75,000,000.00
บริษัท เนเจอรัล ซี โปรดักส์ จำกัด สมุทรสาคร 25,000,000.00
ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ.เค.ซี.ฟู้ดส์ ระยอง 23,000,000.00
บริษัท เอส.ซี.โซคูฮิน จำกัด สงขลา 22,000,000.00
บริษัท สยามเดลี่ฟู้ดส์ จำกัด สมุทรสาคร 19,000,000.00
บริษัท บลู ซี ฟู้ด จำกัด พังงา 18,600,000.00
บริษัท เซ้าท์อีสต์เอเซี่ยนแพคเกจจิ่ง
แอนด์แคนนิ่ง จำกัด ปัตตานี 15,000,000.00
บริษัท เซ้าท์แอมซีฟู้ด จำกัด สงขลา 15,000,000.00
บริษัท สหะโสภา จำกัด ประจวบคีรีขันธ์ 12,600,000.00
พรนิภา สมุทรสงคราม 11,030,000.00
บริษัท ซีชายน์ จำกัด ระยอง 10,100,000.00
เจี๊ยบเซ้งฟิชเชอรี่ กรุงเทพมหานคร 9,325,000.00
บริษัท ไทยจินมี่ฟูดส์ จำกัด ระยอง 8,500,000.00
บริษัท ภานุวัฒน์ มารีน จำกัด สมุทรสาคร 7,900,000.00
บริษัท อรุณอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ระยอง 7,300,000.00
ที่มา : กรมทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรม, 2545
รายชื่อผู้นำเข้าที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส
รายชื่อผู้นำเข้าที่สำคัญ สถานที่ตั้ง
บ.แปซิฟิกแปรรูปสัตว์น้ำ จำกัด กรุงเทพฯ
บ.ลักกี้ ยูเนี่ยน ฟู้ดส์ จำกัด กรุงเทพฯ
จก.ไทยเซนฟู้ดส์ นครปฐม
บ.โกลโบฟู้ดส์ สมุทรปราการ
หจก.เทคนิฟู้ดส์ กรุงเทพฯ
บ.ไทยนิสชิน เทคโนมิค จำกัด สมุทรปราการ
บ.ฟาร์โอเชี่ยน ฟู้ดส์ โพรดักส์ จำกัด สมุทรสาคร
บ.เทพคินโซฟูดส์ จำกัด สมุทรสาคร
บ.พรีเมียร์ ฟู้ด แอนด์ เฟเวอร์ จำกัด กรุงเทพฯ
หจก.พิชัย เจแปนนิส ฟู้ด เชียงใหม่
รายชื่อผู้ส่งออกที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส
รายชื่อผู้ส่งออกที่สำคัญ สถานที่ตั้ง
บ.อภิทุน เอ็นเตอร์ไพรซ์ อุตสาหกรรม จำกัด กรุงเทพฯ
บ.ลักกี้ ยูเนี่ยน ฟู้ดส์ จำกัด สมุทรสาคร
บ.คิบุน (ไทยแลนด์) จำกัด สมุทรสาคร
บ.แปซิฟิกแปรรูปสัตว์น้ำ จำกัด สงขลา
บ.โคอ็อพ ฟูดส์(ไทยแลนด์) จำกัด สมุทรปราการ
บ.ตรังผลิตภัณ์อาหารทะเล จำกัด(มหาชน) ตรัง
บ.เศรษฐชล จำกัด สมุทรปราการ
บ.ไชน่าสยามซีฟู้ดส์ จำกัด สุราษฎร์ธานี
บ.ศรีณีวาส เทรดดิ้ง จำกัด กรุงเทพฯ
บ.แปซิฟิก ควีน จำกัด สมุทรปราการ
ภาวะตลาดภายในประเทศและการส่งออกนำเข้า
ภาวะตลาดภายในประเทศ
อาหารทะเลอบแห้งที่ผลิตออกสู่ตลาดจะใช้บริโภคภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 80 และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศประมาณร้อยละ 20 ของผลผลิตทั้งหมด ปริมาณความต้องการบริโภคอาหารทะเลอบแห้งในประเทศในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ได้ปรับตัวลดลงตามสภาพเศรษฐกิจและประกอบกับการนำเข้าอาหารทะเลอบแห้งที่ลดลงแต่ไม่มีผลต่อภาวะตลาดภายในประเทศมากนักเนื่องจากมีมูลค่าการนำเข้าอาหารทะเลอบแห้งในสัดส่วนที่ต่ำ และผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดภายในประเทศส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ การผลิตอาหารทะเลอบแห้งของประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นโรงงานขนาดเล็กและอุตสาหกรรมในครัวเรือน มีแหล่งที่ตั้งกระจายอยู่ตามจังหวัดแถบชายทะเลทั้งในภาคใต้ และภาคตะวันออก โดยมีการจำหน่ายสินค้าผ่านตัวแทนในตลาดสดหรือห้องเย็นเพื่อทำการส่งออก ซึ่งอาหารทะเลตากแห้งนั้นจะใช้ผลผลิตสัตว์น้ำทะเลประมาณร้อยละ 3 ของผลผลิตทั้งหมดที่จับได้ ส่วนใหญ่เป็นกุ้งและปลาหมึก โดยวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตกุ้งแห้ง คือ กุ้งฝอยและเกลือ สำหรับวัตถุดิบในการผลิตปลาหมึกแห้ง คือ ปลาหมึกกล้วย ส่วนปลาหมึกกระดอง และปลาหมึกสายมีเพียงเล็กน้อย โดยหากเป็นการผลิตปลาหมึกปรุงรสก็จะต้องมีเครื่องปรุงรสต่างๆเป็นวัตถุดิบด้วยโดยมีรายละเอียดของแต่ละอุตสาหกรรมดังนี้
1. อุตสาหกรรมกุ้งแห้ง การผลิตกุ้งแห้งในประเทศไทย แบ่งออกเป็นอุตสาหกรรมได้ 2 แบบ ด้วยกันคือ
1.1 อุตสาหกรรมในครัวเรือน เกิดจากชาวบ้านที่มีถิ่นที่อยู่ในแถบชายฝั่งทะเลซึ่งชาวประมงที่มีเรือเป็นของตัวเอง หรือบางรายก็ทำโดยการรับชื้อกุ้งจากเรือประมง แล้วนำมาทำเป็นกุ้งแห้งอีกต่อหนึ่ง การผลิตในลักษณะนี้ส่วนใหญ่มักจะใช้แรงงานจากสมาชิกในครอบครัว ประมาณ 3-5 คน มีน้อยรายที่ผลิตมากจนบางครั้งต้องจ้างแรงงานจากบุคคลภายนอก ในแง่ของการลงทุนแล้วอุตสาหกรรมนี้ใช้ทุนในการดำเนินการน้อยมาก เพราะอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ นั้นสามารถหาชื้อได้ตามท้องตลาดและมีราคาต่ำ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องจักรใดเลย แต่ต้องมีบริเวณพื้นที่โล่ง มีแสงแดดส่องผ่านได้ดีและลมสามารถพัดผ่านได้สะดวก
อุตสาหกรรมประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยแรงลมพัดผ่าน เพื่อช่วยระบายในเรื่องกลิ่น เพราะสัตว์พวกนี้เมื่อนำไปตากแดดสักระยะหนึ่งพอเริ่มแห้งความชื้นจากตัวมันจะระเหยออกมามีกลิ่นคาวของตัวมันเอง ฉะนั้น หากไม่มีลมพัดผ่านก็จะทำให้กลิ่นคาวนั้นวนเวียนอยู่ภายในเมื่อแห้งสนิทแล้วก็จะทำให้กลิ่นยังคงติดอยู่ จะทำให้เหม็นคาวมาก
1.2 อุตสาหกรรมโรงงานขนาดเล็ก จังหวัดที่มีการผลิตกุ้งแห้งและมีการใช้เตาอบรวมทั้งเครื่องมือทุ่นแรงอื่นๆ ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร เพชรบุรี ชุมพร ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด ส่วนจังหวัดอื่นๆ มีกำลังการผลิตน้อยและไม่ใช้เตาอบ ปัจจุบันผู้ผลิตหลายรายในหลายจังหวัด ได้เลิกกิจการ หรือไม่ก็มีการผลิตเป็นครั้งคราวเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากราคาของสดแพงขึ้นและมีปัญหาในเรื่องการตลาด ผู้ผลิตบางรายที่มีแพปลาจึงนิยมขายกุ้งสดเพียงอย่างเดียว เนื่องจากความต้องการกุ้งสดในตลาดต่างประเทศสูงขึ้น สำหรับผู้ผลิตที่มีตลาดแน่นอนยังคงดำเนินการต่อไปได้ การพัฒนาในเรื่องเครื่องทุนแรงก็มีการใช้เครื่องกะเทาะเปลือกซึ่งยังอยู่ในสภาพเดิมและนับว่ายังใช้การได้ดี ส่วนเตาอบกุ้งแห้งนั้นก็มีประสิทธิภาพดีพอสมควรและมีใช้กันแพร่หลาย ผู้ผลิตส่วนใหญ่ยังคงใช้แสงแดดตากกุ้งควบคู่กับการใช้เตาอบเพื่อเร่งผลผลิต เครื่องมือและอุปกรณ์ในการผลิตกุ้งแห้งที่สำคัญประกอบด้วย ภาชนะสำหรับต้มกุ้ง เครื่องสูบน้ำ เตาต้ม เตาอบแห้ง เครื่องกะเทาะเปลือกกุ้ง ภาชนะบรรจุ
2. อุตสาหกรรมปลาหมึกแห้ง
ปลาหมึกที่นำมาตากแห้งมีอยู่ 2 ชนิดคือ ปลาหมึกกล้วย และปลาหมึกสาย โดยเวลาอากาศดีก็นำมาแขวน หรือวางบนเสื่อ หรือแผ่นกระดานตากแดด ถ้าวางบนเสื่อ หรือแผ่นกระดาษจะต้องคอยกับปลาหมึก เพื่อให้แห้งทั่วกันทั้งสองด้าน ถ้าเอาหนังที่หุ้มตัวปลาหมึกแห้งเร็วขึ้น การทำแห้งในระยะนี้อาจจะใช้เวลาเพียง 20-30 ชั่วโมง ถ้าแดดดีๆแต่ถ้าท้องฟ้าครึ้มด้วยเมฆ อาจจะต้องใช้เวลานาน 48 ชั่วโมง เมื่อทำแห้งในระยะแรกแล้วนำปลาหมึกมาวางซ้อนกัน ใช้ผ้าใบ หรือพลาสติกคลุมไว้ แล้วหาอะไรหนักๆทับไว้ข้างบนอีกทีหนึ่ง ทิ้งไว้อย่างนี้สัก 2 หรือ 3 วัน ปลาหมึกจะมีลักษณะยืดหยุ่นมากขึ้น เนื่องจากมีการแพร่กระจายของความชื้นภายในเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ หลังจากนั้นจึงนำมาตากแดดให้แห้งอีกครั้งหนึ่ง ใช้เวลาประมาณหนึ่งวันหรือสองวัน กลางคืนเก็บเข้าในที่ร่มป้องกันน้ำค้าง
การเก็บปลาหมึกควรจะเก็บเป็นมัด มัดละ 15 ถึง 20 ตัว โดยเอาปลาหมึกมาวางซ้อนกันให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วเอามัดปลาหมึกบรรจุลงในลัง หรือกล่องกระดาษให้มีน้ำหนักประมาณกล่องละ 25-30 กิโลกรัม แล้วนำไปเก็บไว้ที่ที่มีอุณหภูมิคงที่ (ใช้อุณหภูมิระหว่าง 10 องศาเซลเซียส ถึง 15 องศาเซลเซียส ) และมีความชื้นในอากาศคงที่ (ใช้ความชื้นระหว่าง 65 ถึง 70 เปอร์เซ็นต์)
ปลาหมึกในบางประเทศนิยมฉีกเป็นชิ้นย่อย แล้วบรรจุในกล่อง หรือถุงกระดาษหรือถุงพลาสติก การทำให้ปลาหมึกแห้งนุ่ม ต้องแช่ในสารละลายต่างๆ พบว่าในโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ได้ผลดีที่สุดรองลงมาคือใช้สารละลายโซเดียมคาร์บอเนต (Sodium carbonate)
3. อุตสาหกรรมหอยแห้ง (Dried Mussels)
หอยแห้งนับเป็นผลิตภัณฑ์ทางประมงอีกชนิดซึ่งเป็นสินค้าที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศมากปริมาณหอยสดที่นำมาทำเป็นหอยแห้งมีอัตราเพิ่มเฉลี่ยปีละ25.20 เปอร์เซ็นต์ การผลิตหอยแห้งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1) ประเภทอุตสาหกรรมในครัวเรือน ได้แก่ ชาวบ้านที่มีถิ่นอาศัยแถบชายฝั่งทะเล การผลิตส่วนใหญ่จะใช้แรงงานในครัวเรือน คือ สมาชิกตั้งแต่ 3-5 คน
2) โรงงานขนาดเล็ก ซึ่งประกอบด้วยโรงงานต่างๆใช้ทุนไม่เกิน 150,000 บาท ใช้แรงงาน 8-10 คน เครื่องมือเครื่องใช้จะมีขนาดใหญ่กว่าครัวเรือน ใช้ทุนหมุนเวียนประมาญ 150,000-300,000 บาท
หอยแห้งที่ผลิต ได้แก่ หอยแมลงภู่ ซึ่งเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศและตลาดภายในประเทศสำหรับอัตราส่วนของหอยสดที่ใช้เป็นวัตถุดิบกับแห้งแตกต่างกันตามขนาดของหอย โดยเฉลี่ยหอยสด 2.5-4.5 กิโลกรัม จะได้หอยแห้ง 1 กิโลกรัม วัตถุดิบคือหอยแมลงภู่ จะซื้อโดยตรงจากชาวประมงหรือซื้อจากตลาดค้าหอยแมลงภู่ที่ตลาดปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีผู้ค้าส่งรายใหญ่ 2-3 ราย ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมด้วย มีขอบข่ายงานกว้างขวางรับซื้อหอยทั้งภาคตะวันออกและภาคใต้ และกระจายออกไปยังผู้บริโภคต่างๆ หอยแมลงภู่ที่ผลิตได้ในจังหวัดสมุทรปราการมักจะเป็นผลพลอยได้จากการทำโป๊ะ ซึ่งมีปริมาณไม่มากนัก แต่จะมีการขนส่งหอยแมลงภู่จากแหล่งผลิตในจังหวัดอื่น เช่น ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ฯลฯ มาสู่จังหวัดนี้ ลักษณะการค้าจะมีผู้รวบรวมออกไปรับซื้อหอยจากแหล่งผลิต โดยมีการติดต่อตกลงล่วงหน้ากับชาวประมงเกี่ยวกับจำนวนที่ต้องการ และวันที่ต้องการให้ส่งหอยเมื่อมีการส่งมอบก็จะตกลงราคาและจ่ายเงิน ซึ่งอาจจ่ายทันที หรือจ่ายบางส่วนเป็นงวดๆไป ปกติผู้รวบรวมจะไปรับหอยตามท่าขึ้นหอย ซึ่งส่วนมากเป็นท่าที่คลองด่าน เมื่อรวบรวมได้แล้วจะนำไปจำหน่ายให้ผู้ขายส่งรายใหญ่ที่ตลาดปากน้ำ สมุทรปราการ
4. อุตสาหกรรมแมงกะพรุนแห้ง
แมงกะพรุนหนังแห้ง โดยนำแมงกะพรุนหนัง (ตัดเอาแต่ส่วนหมวก) มาแช่ในน้ำเย็น (น้ำปนน้ำแข็ง) ประมาณ 8-10 ชั่วโมงเพื่อเอาเมือกออก และนำแมงกะพรุนที่ล้างเมือกออกแบะ ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ นำมาชั่งน้ำหนักแล้วคลุกกับเกลือและสารส้ม(ใช้เกลือ 1.8 ลิตรต่อสารส้ม 75 กรัม) โดยใช้เกลือและสารส้ม 30% ของน้ำหนักของแมงกะพรุน แล้วดองแมงกะพรุนที่คลุกแล้วนี้ในถังไม้ โดยใช้หินหรือของหนักๆทับเอาไว้ประมาณ 2-3 วัน และนำแมงกะพรุนที่แห้งพอประมาณมาล้างน้ำ ทิ้งให้สะเด็ดน้ำ แล้วชั่งน้ำหนักก่อนที่จะดองซ้ำด้วยส่วนผสมของเกลือและสารส้ม 20 % (เกลือ 1.8 ลิตรต่อสารส้ม60 กรัม) และดองต่ออีกประมาณ 2-3 วัน แล้วนำแมงกะพรุนขึ้นมาล้างน้ำให้สะอาด ต่อมาให้ผึ่งในที่ร่มบนตะแกรงลวดหรือตะแกรงไม้ห่างๆ ประมาณ 3-4 วัน ก็จะได้แมงกะพรุนที่แห้งสนิท
จากความต้องการบริโภคอาหารที่มีลักษณะกึ่งแปรรูปที่เพิ่มขึ้นทั้งจากวิถีชีวิตและครอบครัวที่เปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะความสะดวกสบายในการทำอาหารในครัวเรือนมากขึ้น ประกอบกับธุรกิจขายปลีก ขายส่ง ภัตตาคาร ที่เติบโตขึ้นส่งผลให้ภาวะตลาดในประเทศของการประกอบกิจการประเภทนี้ยังมีความคึกคัก โดยปัจจุบันการขายมีลักษณะการผลิตเพื่อจำหน่าย ณ. จุดขาย หรือการส่งให้กับร้านค้าส่ง ร้านค้าปลีกในจังหวัดใกล้เคียง
คู่แข่งขันสำคัญของผู้ประกอบการในเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมภาค 9 ในธุรกิจประเภทนี้คือผู้ผลิตในภาคใต้ อย่างไรก็ดี ผู้ผลิตโดยส่วนใหญ่ขณะนี้มีการผลิตเพื่อจำหน่ายให้กับชุมชน และจังหวัดใกล้เคียง โดยแหล่งผลิตที่เป็นผู้นำตลาดในภาคใต้ขณะนี้ คือจังหวัดสงขลา ซึ่งมีการทำประมง อาหารทะเลอบแห้ง เป็นจำนวนมากโดยผลผลิตส่วนใหญ่ ส่งตลาดที่อำเภอ หาดใหญ่ และจังหวัดใกล้เคียง
โอกาสทางการตลาด ของผู้ประกอบการของที่ต้องการจะพัฒนาธุรกิจชุมชนให้เป็นผู้ผลิตขนาดย่อมหรือขนาดกลาง คือ การพัฒนาผลผลิต และพัฒนาการจัดการ ศึกษาโอกาสพัฒนาให้มีตราผลิตภัณฑ์ จำหน่ายในจังหวัดใกล้เคียง และส่งจำหน่ายให้กับตลาดสวนกลาง โดยเฉพาะ ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีระยะทางการขนส่งไม่ห่างไกลมากนัก โดยคาดว่า ลักษณะการแข่งขันของธุรกิจประเภทนี้ยังไม่รุนแรงนัก ซึ่งส่วนใหญ่ ผู้ผลิตที่เข้ามาใหม่ในตลาดสินค้าประเภทนี้ก็ยังมีโอกาสจะหาผู้บริโภคคือตลาดใหม่ในธุรกิจการขายปลีก ขายส่ง ภัตตาคารและโรงแรม ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2545 มีการจดทะเบียนนิติบุคคลเพิ่มขึ้นกว่าปี 2544 ถึง 13.45 เปอร์เซ็นต์
สำหรับตลาดอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสภายในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสกึ่งสำเร็จรูป พร้อมที่จะรับประทานหรือนำไปประกอบอาหารโดยมีรายละเอียดของช่องทางการจำหน่ายในแต่ละขนาดผู้ประกอบการดังนี้
ผู้ประกอบการขนาดย่อยส่วนมากมีช่องทางการจำหน่ายในตลาดท่องเที่ยวตามจังหวัดชายทะเลต่างๆ หรือตลาดสดต่างๆ
ผู้ประกอบการธุรกิจอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสขนาดกลางมีตลาดภายในประเทศอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อและห้างสรรพสินค้าต่างๆที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นและในเมืองที่สำคัญ เช่น ห้างโลตัส บิ๊กซี เป็นต้น
ผู้ประกอบการรายใหญ่ก็จะมีการจัดจำหน่ายไปยังตลาดต่างประเทศและมีการจำหน่ายภายในประเทศบางส่วน
ทางด้านราคาจำหน่ายขึ้นอยู่กับขนาดและคุณภาพของผลผลิต ทั้งนี้อาจมีการแปรผันตามราคาวัตถุดิบที่มักปรับตัวขึ้นลงตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ราคากุ้ง และปลาหมึกแห้งจะมีเสถียรภาพมากกว่าราคาสัตว์ทะเลแห้งอื่นๆ ทำให้ในช่วงที่ราคาวัตถุดิบสูงจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตมาก เนื่องจากผู้ผลิตส่วนใหญ่จะเป็นผู้ผลิตรายเล็กไม่มีสถานที่เก็บรักษาเพื่อรอให้ราคาปรับตัวขึ้น จึงจำเป็นต้องขายผลผลิตออกไป แม้ว่าจะขาดทุน เพราะจำเป็นต้องนำเงินที่ขายได้มาเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อทำการผลิตต่อไป
ภาวะตลาดต่างประเทศ
ประเทศไทยมีมูลค่าส่งออกสินค้าอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสไปยังทุกประเทศทั่วโลกเท่ากับ 5,802.36 บาทในปี พ.ศ. 2543 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.23 เป็น 6,511.84 บาท ในปี พ.ศ.2544 ตามลำดับ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงเป็นอุตสาหกรรมส่งออกที่สร้างรายได้ให้กับประเทศประเภทหนึ่ง โดยไม่ต้องพึ่งพิงวัตถุดิบจากต่างประเทศ โดยตลาดส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยในสินค้าอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ได้แก่
ประเทศญี่ปุ่นโดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส จากประเทศไทยไปประเทศญี่ปุ่นเท่ากับ 2,571.89 และ 2,536.10 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 44.32 และ 38.95 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สิงคโปร์โดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส จากประเทศไทยไปสิงคโปร์เท่ากับ 479.30 และ 534.70 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 8.26 และ 8.21 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สหรัฐอเมริกาโดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส จากประเทศไทยไปสหรัฐอเมริกาเท่ากับ 294.18 และ 459.15 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 5.07 และ 7.05 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
ฮ่องกงโดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส จากประเทศไทยไปฮ่องกงเท่ากับ 392.72 และ 445.05 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 6.77 และ 6.83 ของมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส ของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
สหราชอาณาจักรโดยมีมูลค่าส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสจากประเทศไทยไปสหราชอาณาจักรเท่ากับ 379.63 และ 437.34 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 6.54 และ 6.72 ของ มูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของประเทศไทยในปีพ.ศ.2543 และ 2544 ตามลำดับ
แนวโน้มของตลาดในอนาคต
แนวโน้มความต้องการของตลาดครัวเรือนภายในประเทศคาดว่าจะเป็นไปในลักษณะทรงตัว ส่วนความต้องการกลุ่มอาหารทะเลอบแห้งเพื่อธุรกิจบริการคาดว่าจะมีความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการผลิตหรือจำหน่ายให้กับกลุ่มขายส่ง และขายปลีก ภัตตาคาร และโรงแรม คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น ตามธุรกิจบริการ ซึ่งข้อมูลล่าสุด จากกรมทะเบียนการค้า พบว่าธุรกิจขายส่ง ขายปลีก ภัตตาคาร และโรงแรม มีการจะเบียนของนิติบุคคล ในธุรกิจขยายส่ง ขายปลีก ภัตตาคาร และโรงแรม ในไตรมาสแรกของปี 2545 (มกราคม -มีนาคม) เพิ่มขึ้นเป็นอันดับหนึ่งจากภาคธุรกิจกินทั้งหมด คือ มีผู้จดทะเบียนนิติบุคคลในภาคธุรกิจนี้ถึง 3,440 ราย จากการจดทะเบียนของนิติตบุคคลที่ตั้งใหม่ทั่วราชอาณาจักร 9,515 ราย แยกเป็นส่วนกลาง 4,648 ราย และส่วนภูมิภาค 4,867 ราย ซึ่งตัวเลขดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าธุรกิจประเภทนี้และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องคือ อาหารทุกประเภท ยังต้องการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ดังนั้นกลุ่มอาหารทะเลอบแห้ง ซึ่งเป็นหนึ่งในอาหารไทยขึ้นชื่อเพื่อป้อนให้กับกลุ่มร้านอาหารและโรงแรมคาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นเช่นกัน สรุปได้ว่าโดยแนวโน้มของธุรกิจอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสภายในประเทศมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวเพราะอาหารประเภทนี้จะแปรผันตามรายได้ของผู้บริโภคและภาวะเศรษฐกิจ
ส่วนทางด้านตลาดส่งออกสินค้าอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของไทยนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีอัตราการขยายตัวการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสมาโดยตลอดตั้งแต่ปีพ.ศ. 2541ที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสไปทั่วโลกเท่ากับ4,140.76 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นมาโดยตลอดจนกระทั่งปีพ.ศ. 2544 ที่มีมูลค่าการส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสไปยังทั่วโลกเท่ากับ 6,511.84 ล้านบาท ดังนั้นตลาดส่งออกอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของไทยจึงมีแนวโน้มที่ดีในอนาคตสำหรับผู้ที่สนใจในเขตศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 9 ที่จะทำการลงทุนในธุรกิจอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรส
ปัญหาอุปสรรคและข้อจำกัด
อุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสเป็นอุตสาหกรรมที่มีอนาคตที่ดี เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความพร้อมทางด้านวัตถุดิบ แต่เนื่องจากมีปัญหาบางประการที่ควรแก้ไขเพื่อพัฒนาให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสให้เติบโตในอนาคตดังนี้
1. ปัญหาทางด้านวัตถุดิบซึ่งเป็นวัตถุดิบที่มีอยู่ในธรรมชาติ ดังนั้นจึงควรมีการวางแผนการจับและมีการเข้มงวดในการตรวจตราการจับสัตว์น้ำไม่ให้มีการจับสัตว์น้ำในฤดูวางไข่หรือห้ามจับในขณะตัวเล็ก
2. ปํญหาทางด้านมาตรฐานคุณภาพของสินค้าที่ควรจะมีมาตรฐานที่แน่นอนและมีความสะอาดในทุกๆขั้นตอนของการผลิต เนื่องจากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคของประชาชน
3. ปัญหาการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีของต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศในทวีปยุโรปที่มีมาตรการทางด้านความสะอาด ปลอดภัยและสุขอนามัยของสินค้า ตัวอย่างเช่น สหภาพยุโรปได้จัดทำเอกสารสมุดปกขาวว่าด้วยความปลอดภัยของอาหารในสหภาพยุโรป เพื่อใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูและเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภค สาระของสมุดปกขาวว่าด้วยความปลอดภัยของอาหารที่สำคัญ คือ
เสนอให้จัดตั้งหน่วยงานกลางด้านความปลอดภัยของอาหาร (European Food Authority : EFA) ให้สามารถดำเนินการได้ภายในปี 2545 เพื่อควบคุมดูแลความปลอดภัยของอาหารทั้งวงจร ตั้งแต่การผลิตวัตถุดิบ (การเพาะปลูกหรือการเพาะเลี้ยง) จนกระทั่งถึงการบริโภคขั้นสุดท้าย (farm to table) และรวมถึงสินค้าใหม่ (Novel Food) และ GMOs ด้วย
พัฒนาระบบเตือนภัยฉุกเฉิน (rapid alert system)
ปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ อาทิ
- มีการตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ (ability to trace) ได้ทุกขั้นตอนว่าความไม่ปลอดภัยของอาหารเกิดขึ้นในขั้นตอนใด
- กำหนดมาตรฐานอาหารระดับสูง เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างจริงจัง
- มีการตรวจสอบควบคุมอย่างเข้มงวด
- นำระบบ Precautionary มาใช้ตามความเหมาะสม
- ให้ข้อมูลแก่ผู้บริโภคอย่างเพียงพอ อาทิ การติดฉลาก
ข้อเสนอแนะ
สำหรับตลาดภายในประเทศควรมีการเข้าถึงตลาดโดยตรงถึงกลุ่มผู้บริโภครายใหญ่เช่นกลุ่ม HYPERMARKET , FOOD CHAINS , CONVENIENCE STORES เพื่อขยายฐานลูกค้าภายในประเทศซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่
ทางด้านตลาดต่างประเทศควรมีการส่งเสริมด้านการขายและร่วมงานแสดงสินค้าในทุกๆตลาดอย่างต่อเนื่องโดยจัด Thai Food Festival เพื่อแนะนำให้ลูกค้าจากต่างประเทศรู้จักผลิตภัณฑ์อาหารทะเลอบแห้งและปรุงรสของประเทศไทยในตลาดหลักและตลาดที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-