การลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยกับออสเตรเลียเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2547 คาดว่าจะทำให้การค้าและการลงทุนระหว่างไทยกับออสเตรเลียมีเพิ่มขึ้นมาก สำหรับสินค้าเกษตรที่ไทยจะส่งออกไปออสเตรเลียได้มากขึ้นมีหลายชนิดรวมทั้งผักและผลไม้ ซึ่งเป็นที่น่ายินดีว่ากรมเกษตร ประมง และป่าไม้ของออสเตรเลียทยอยประกาศอนุญาตให้นำเข้าผลไม้สดจากไทยได้แล้ว 3 ชนิด ได้แก่ ลำไย ลิ้นจี่ และมังคุด ตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี 2547
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากออสเตรเลียให้ความสำคัญกับสุขอนามัยของผลไม้สดนำเข้าค่อนข้างมาก ผู้ประกอบการไทยจึงควรปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญในการส่งออกลำไย ลิ้นจี่ และมังคุดสดที่กำหนด ดังนี้
- ลักษณะผล ลำไยที่ส่งออกต้องเป็นผลเดี่ยวหรือผลซึ่งติดกับก้านที่มีความยาวไม่เกิน 10-15 ซม. และผลมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 3-4 ซม. ลิ้นจี่ต้องเป็นผลเดี่ยว มังคุดต้องเป็นผลแก่ซึ่งเก็บเกี่ยวในระยะที่เปลือกเป็นสีชมพูถึงสีเลือดนกปนน้ำตาล และเปลือกต้องไม่มีรอยแตก ไม่มีรู รวมทั้งขั้วไม่หลุดจากผล
- การขึ้นทะเบียนสวนและโรงบรรจุสินค้า ผู้ส่งออกต้องขึ้นทะเบียนสวนลำไย ลิ้นจี่ และมังคุด รวมถึงโรงบรรจุหีบห่อสินค้ากับกรมวิชาการเกษตรของไทย ซึ่งจะเข้าตรวจสอบสวนผลไม้และโรงบรรจุหีบห่อสินค้าที่ขึ้นทะเบียนปีละ 1 ครั้ง
- มีใบรับรองปลอดศัตรูพืช ผู้ส่งออกลำไย ลิ้นจี่ และมังคุดต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืชจากกรมวิชาการเกษตรแนบไปกับสินค้าทุกล็อตที่ส่งออก ขณะที่ผู้นำเข้าต้องมีใบอนุญาตนำเข้าซึ่งออกโดย Australian Quarantine and Inspection Service
ทั้งนี้ ออสเตรเลียกำหนดวิธีกำจัดศัตรูพืชในลำไยและลิ้นจี่ไว้ 2 วิธี คือ
- การกำจัดด้วยความเย็น (Cold treatment) เป็นการกำจัดศัตรูพืชในห้องเย็นก่อนการส่งออก โดยห้องเย็นที่ใช้กำจัดศัตรูพืชต้องได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร
- การกำจัดด้วยความร้อน (Vapor heat treatment) เป็นการกำจัดศัตรูพืชด้วยเครื่องอบไอน้ำซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ของออสเตรเลียก่อน นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรต้องตรวจสภาพโรงอบไอน้ำในช่วงเริ่มต้นของทุกฤดูส่งออกด้วย
สำหรับการกำจัดศัตรูพืชในมังคุดนั้น ออสเตรเลียกำหนดให้ทำความสะอาดมังคุดทีละผลเพื่อขจัดเพลี้ยแป้งและมดดำบริเวณผิวเปลือกและใต้กลีบเลี้ยงตามวิธีที่กำหนด อาทิ การฉีดพ่นด้วยน้ำที่มีแรงอัดสูง หรือการล้างน้ำทำความสะอาดและเป่าด้วยลมที่มีแรงอัดสูงตาม เป็นต้น
- การบรรจุสินค้า ภาชนะบรรจุสินค้าต้องไม่มีสิ่งปลอมปนที่เป็นพืช ดิน เศษใบไม้ กิ่งไม้ วัชพืช รวมทั้งไม่ใช้วัสดุที่ทำจากพืช อาทิ ฟางในการบรรจุสินค้าและต้องเป็นไปตามข้อกำหนดการนำเข้าผักและผลไม้สดของออสเตรเลีย
- ฉลากสินค้า ต้องระบุข้อมูลสำคัญที่กำหนด ได้แก่ ชนิดของผลไม้และพันธุ์ แหล่งกำเนิดสินค้า ชื่อบริษัทผู้ส่งออกและเครื่องหมายการค้า หมายเลขทะเบียนสวนและโรงบรรจุสินค้า หมายเลขล็อตสินค้า วันที่บรรจุสินค้า และจุดหมายปลายทางที่ส่งออก เป็นต้น เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในกรณีที่สินค้ามีปัญหา
- การตรวจที่ด่านนำเข้า เมื่อลำไย ลิ้นจี่ และมังคุดไปถึงด่านนำเข้าของออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่ ณ ด่านนำเข้าจะสุ่มตรวจผลไม้อีกครั้ง หากพบว่าผลไม้ที่นำเข้าไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ตกลงไว้และไม่สามารถกำจัดศัตรูพืชด้วยวีธีที่เหมาะสมได้ในขณะนั้น ผลไม้จะถูกส่งกลับหรือทำลายทันที
ทั้งนี้ ไทยเริ่มส่งออกลิ้นจี่ล็อตแรกไปออสเตรเลียเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2547 ซึ่งลิ้นจี่ล็อตดังกล่าวได้ผ่านมาตรฐานตามข้อตกลงด้านสุขอนามัยระหว่างไทยและออสเตรเลียรวมทั้งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้คาดว่าการส่งออกลำไย ลิ้นจี่ และมังคุดในล็อตต่อๆ ไปจะประสบความสำเร็จและมีส่วนช่วยกระตุ้นมูลค่าส่งออกผลไม้สดแช่เย็นจากไทยไปออสเตรเลียในระยะต่อไปได้เป็นอย่างดี
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สิงหาคม 2547--
-พห-
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากออสเตรเลียให้ความสำคัญกับสุขอนามัยของผลไม้สดนำเข้าค่อนข้างมาก ผู้ประกอบการไทยจึงควรปฏิบัติตามเงื่อนไขสำคัญในการส่งออกลำไย ลิ้นจี่ และมังคุดสดที่กำหนด ดังนี้
- ลักษณะผล ลำไยที่ส่งออกต้องเป็นผลเดี่ยวหรือผลซึ่งติดกับก้านที่มีความยาวไม่เกิน 10-15 ซม. และผลมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 3-4 ซม. ลิ้นจี่ต้องเป็นผลเดี่ยว มังคุดต้องเป็นผลแก่ซึ่งเก็บเกี่ยวในระยะที่เปลือกเป็นสีชมพูถึงสีเลือดนกปนน้ำตาล และเปลือกต้องไม่มีรอยแตก ไม่มีรู รวมทั้งขั้วไม่หลุดจากผล
- การขึ้นทะเบียนสวนและโรงบรรจุสินค้า ผู้ส่งออกต้องขึ้นทะเบียนสวนลำไย ลิ้นจี่ และมังคุด รวมถึงโรงบรรจุหีบห่อสินค้ากับกรมวิชาการเกษตรของไทย ซึ่งจะเข้าตรวจสอบสวนผลไม้และโรงบรรจุหีบห่อสินค้าที่ขึ้นทะเบียนปีละ 1 ครั้ง
- มีใบรับรองปลอดศัตรูพืช ผู้ส่งออกลำไย ลิ้นจี่ และมังคุดต้องมีใบรับรองปลอดศัตรูพืชจากกรมวิชาการเกษตรแนบไปกับสินค้าทุกล็อตที่ส่งออก ขณะที่ผู้นำเข้าต้องมีใบอนุญาตนำเข้าซึ่งออกโดย Australian Quarantine and Inspection Service
ทั้งนี้ ออสเตรเลียกำหนดวิธีกำจัดศัตรูพืชในลำไยและลิ้นจี่ไว้ 2 วิธี คือ
- การกำจัดด้วยความเย็น (Cold treatment) เป็นการกำจัดศัตรูพืชในห้องเย็นก่อนการส่งออก โดยห้องเย็นที่ใช้กำจัดศัตรูพืชต้องได้รับการรับรองจากกรมวิชาการเกษตร
- การกำจัดด้วยความร้อน (Vapor heat treatment) เป็นการกำจัดศัตรูพืชด้วยเครื่องอบไอน้ำซึ่งต้องผ่านการตรวจสอบและได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ของออสเตรเลียก่อน นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรต้องตรวจสภาพโรงอบไอน้ำในช่วงเริ่มต้นของทุกฤดูส่งออกด้วย
สำหรับการกำจัดศัตรูพืชในมังคุดนั้น ออสเตรเลียกำหนดให้ทำความสะอาดมังคุดทีละผลเพื่อขจัดเพลี้ยแป้งและมดดำบริเวณผิวเปลือกและใต้กลีบเลี้ยงตามวิธีที่กำหนด อาทิ การฉีดพ่นด้วยน้ำที่มีแรงอัดสูง หรือการล้างน้ำทำความสะอาดและเป่าด้วยลมที่มีแรงอัดสูงตาม เป็นต้น
- การบรรจุสินค้า ภาชนะบรรจุสินค้าต้องไม่มีสิ่งปลอมปนที่เป็นพืช ดิน เศษใบไม้ กิ่งไม้ วัชพืช รวมทั้งไม่ใช้วัสดุที่ทำจากพืช อาทิ ฟางในการบรรจุสินค้าและต้องเป็นไปตามข้อกำหนดการนำเข้าผักและผลไม้สดของออสเตรเลีย
- ฉลากสินค้า ต้องระบุข้อมูลสำคัญที่กำหนด ได้แก่ ชนิดของผลไม้และพันธุ์ แหล่งกำเนิดสินค้า ชื่อบริษัทผู้ส่งออกและเครื่องหมายการค้า หมายเลขทะเบียนสวนและโรงบรรจุสินค้า หมายเลขล็อตสินค้า วันที่บรรจุสินค้า และจุดหมายปลายทางที่ส่งออก เป็นต้น เพื่อให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในกรณีที่สินค้ามีปัญหา
- การตรวจที่ด่านนำเข้า เมื่อลำไย ลิ้นจี่ และมังคุดไปถึงด่านนำเข้าของออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่ ณ ด่านนำเข้าจะสุ่มตรวจผลไม้อีกครั้ง หากพบว่าผลไม้ที่นำเข้าไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ตกลงไว้และไม่สามารถกำจัดศัตรูพืชด้วยวีธีที่เหมาะสมได้ในขณะนั้น ผลไม้จะถูกส่งกลับหรือทำลายทันที
ทั้งนี้ ไทยเริ่มส่งออกลิ้นจี่ล็อตแรกไปออสเตรเลียเมื่อปลายเดือนมิถุนายน 2547 ซึ่งลิ้นจี่ล็อตดังกล่าวได้ผ่านมาตรฐานตามข้อตกลงด้านสุขอนามัยระหว่างไทยและออสเตรเลียรวมทั้งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้คาดว่าการส่งออกลำไย ลิ้นจี่ และมังคุดในล็อตต่อๆ ไปจะประสบความสำเร็จและมีส่วนช่วยกระตุ้นมูลค่าส่งออกผลไม้สดแช่เย็นจากไทยไปออสเตรเลียในระยะต่อไปได้เป็นอย่างดี
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สิงหาคม 2547--
-พห-