สินค้าวัสดุก่อสร้าง: การส่งออกวัสดุก่อสร้างในเดือนกันยายนมีมูลค่าการส่งออก 350 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนสิงหาคมปี 2547 ร้อยละ 6.75 คาดว่าการส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2547 มีแนวโน้มชลอตัวลงเล็กน้อยโดยมีมูลค่า 320 ล้านเหรียญสหรัฐฯภาพรวมการส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้าง: การส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้างระยะ 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) 2547 มีมูลค่าการส่งออก 2,782 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 35.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 มูลค่าการส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้างโดยรวมเพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศแถบเอเชียได้แก่ จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และกลุ่มประเทศในเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดสำคัญมีการขยายตัวทางอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องมีการนำเข้าสินค้าเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และโพล์ต-กลาสและแก้วเพิ่มขึ้น ส่วนตลาดสำคัญอย่างจีนมีแนวโน้มชลอตัวเนื่องจากนโยบายการชะลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนส่งผลให้การนำเข้าผลิตภัณฑ์และสินค้าทุนลดลงประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่สูงขึ้นเนื่องจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก สำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ผู้ผลิตรายใหญ่มีแนวโน้มลดปริมาณ การส่งออกลง สืบเนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนกว่าร้อยละ 75 ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมานั้นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546เป้าหมายการส่งออกปี 2547: มูลค่า 3,030 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปี 2546เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์: การส่งออกเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ในเดือนกันยายนมีมูลค่าการส่งออก 229 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2547 ร้อยละ 9.5 คาดว่าการส่งออกเหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ในเดือนตุลาคมมีมูลค่า 210 ล้านเหรียญสหรัฐฯภาพรวมการส่งออก เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์: การส่งออกเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ระยะ 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออก 1,800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.44 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 คาดว่าการส่งออกในไตรมาสที่สี่จะมีการชลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากต้นทุนในการผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กเพื่อการส่งออกที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับภาวะความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วงที่ ผ่านมาเมื่อในช่วงไตรมาส 2 และ 3 เพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 48.5 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาสแรกอยู่ที่ระดับราคา 38 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเป้าหมายการส่งออกปี 2547: มูลค่า 2,028 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2546 ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม: การส่งออกผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมในเดือนกันยายนมีมูลค่าการส่งออก 46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนสิงหาคมปี 2547 ร้อยละ 0.01 คาดว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมในเดือนตุลาคมจะมีมูลค่า 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯภาพรวมการส่งออก ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม: การส่งออกผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมระยะ 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออก 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 242 ล้านเหรียญสหรัฐคาดการณ์ว่าการส่งออกไตรมาสที่สี่จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกับสินค้าเหล็กในอัตราที่ชลดตัวลง โดยเฉพาะตลาดแถบเอเชียได้แก่ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฮ่องกงและเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดสำคัญและมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องเป้าหมายการส่งออกปี 2547: มูลค่า406 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2546ปูนซีเมนต์: การส่งออกปูนซีเมนต์ในเดือนกันยายนมีมูลค่าการส่งออก 29 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนสิงหาคมปี 2547 ร้อยละ 2 คาดว่าการส่งออกปูนซีเมนต์ในเดือนกันยายนมีมูลค่า 33.66 ล้านเหรียญสหรัฐฯภาพรวมการส่งออกปูนซีเมนต์: การส่งออกปูนซีเมนต์ระยะ 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออก 244 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ซึ่งมีมูลค่า 228 ล้านเหรียญสหรัฐเป้าหมายการส่งออกปี 2547 : มูลค่า 318 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปี 2546 (ประมาณ 10 ล้านเมตริกตัน)โพล์ตกลาสและแก้วที่ขัดผิว: การส่งออกโพล์ตกลาสและแก้วที่ขัดผิว ในเดือนกันยายนมีมูลค่า การส่งออก 13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือประมาณร้อยละ 1.5 เมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคมปี 2547 คาดว่าการส่งออกโพล์ตกลาสและแก้วที่ ขัดผิวในเดือนตุลาคมมีมูลค่า 13.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภาพรวมการส่งออกโพล์ตกลาสและแก้วที่ขัดผิว: การส่งออกโพล์ตกลาสและแก้วที่ขัดผิวระยะ 9 เดือนแรก (ม.ค.- ก.ย.) ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออก 104 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 เป้าหมายการส่งออกปี 2547 : มูลค่า 117 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปี 2546 ที่มา: http://www.depthai.go.th-ดท-