ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 1.75 นาง
อัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธปท. มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอีกร้อยละ 0.25 จากเดิมร้อยละ
1.5 เป็นร้อยละ 1.75 เนื่องจากต้องการดูแลอัตราเงินเฟ้อที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง โดยคณะ
กรรมการฯ มองว่าภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การใช้จ่าย
การบริโภคภาคเอกชนลดลง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง แต่ก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเติบโตต่อไปได้
เพราะมีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาคเอกชน การส่งออก และการลงทุนของภาครัฐ แต่อาจจะชะลอตัวลง
แต่ก็จำเป็นต้องดูแลเสถียรภาพหรืออัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเหมาะสมมากขึ้นมากกว่าจะดูแลเรื่องการเจริญ
เติบโต โดยเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ย 9 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 0.3 และมีโอกาสที่จะสูงขึ้นไปอีก ขึ้นอยู่กับว่าราคา
น้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นแค่ไหน (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยตั้งเป้า 4 ปี ตราสารหนี้มีมูลค่าตลาดร้อยละ 50 ของจีดีพี นาย
สมหมาย ภาษี ประธานศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า มีนโยบายชัดเจนจะผลักดันให้มูลค่าตลาดรวมของ
ตลาดตราสารหนี้มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ของจีดีพี จากปัจจุบันจีดีพีอยู่ที่ 6 ล้านล้านบาท ส่วนมูลค่าตลาดตรา
สารหนี้อยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36 ของจีดีพี นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของ
ตลาดตราสารหนี้ให้มีมาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือของนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีในการพัฒนาพันธบัตรเงิน
สกุลเอเชีย (เอเชียบอนด์) ด้วย ทั้งนี้ คาดว่าในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลจะผลักดันให้รัฐวิสาหกิจ
ต่าง ๆ หันมาพึ่งพาแหล่งเงินจากตลาดตราสารหนี้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนในปี 48 และจะเห็นส่วนราชการ
ต่าง ๆ ทั้งในส่วนของกรุงเทพฯ และรัฐวิสาหกิจเริ่มออกพันธบัตรมากขึ้น ขณะที่บริษัทที่ต่างประเทศถือหุ้นโดย
เฉพาะบริษัทที่ญี่ปุ่นถือหุ้นจะออกหุ้นกู้ในไทยมากขึ้น (โพสต์ทูเดย์, มติชน, โลกวันนี้)
3. ติงรัฐทำซีเคียวฯ เมกะโปรเจ็คต์มีความเสี่ยงสูง แหล่งข่าวจากวงการวาณิชธนกิจ เปิดเผย
ถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดจะระดมทุนโดยการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (ซีเคียวริไทเซชั่น) มาใช้ในการลงทุน
เมกะโปรเจ็คต์ โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนในอีก 4-5 ปีข้างหน้า รวมถึงโครงการโคล้านครอบครัว ว่า
รัฐบาลจะต้องระมัดระวังความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับผู้ถือตราสารที่เกิดจากการทำซีเคียวฯ ด้วย เพราะหากบริษัท
เอกชนเป็นผู้ทำซีเคียวฯ บริษัทเอกชนเหล่านั้นจะมีส่วนของทุนไว้รองรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่
สามารถทำรายได้ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่รัฐบาลไม่มีส่วนของทุนรองรับ นอกจากนี้ โครงการขนส่งมวลชน
ของรัฐมักจะมีความเสี่ยงในเรื่องของรายได้ เช่น ไม่สามารถขึ้นค่าโดยสารได้ แม้จะมีการทำสัญญาไว้ก็ตาม
ส่วนกรณีโคล้านครอบครัวนั้น ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะไม่มีใครที่ทำซีเคียวฯ กับสิ่งมีชีวิตที่อาจตายได้ทุกเมื่อ ทั้ง
จากโรคระบาดหรือปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งมีความอ่อนไหวมาก (มติชน)
4. การลงทุนภาคเหนือช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 33 นางศิริพร นุรักษ์ ผอ.ศูนย์
เศรษฐกิจการลงทุนภาคเหนือ 1 จ.เชียงใหม่ เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนภาคเหนือในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้
ว่า มีนักลงทุนยื่นเข้ามาขอรับส่งเสริมการลงทุน 52 โครงการ มูลค่า 9,191 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ
33.33 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมการเกษตรมีการลงทุน
มากที่สุด โดยแยกเป็นการลงทุนของนักลงทุนไทย 28 โครงการ นักลงทุนต่างประเทศ 17 โครงการ และ
การร่วมทุนระหว่างนักลงทุนไทยกับชาวต่างประเทศ 7 โครงการ สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปี 48 คาดว่าจะ
ขยายตัวในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาราคาน้ำมันแพงและโรคไข้หวัดนกอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนบ้าง นอกจากนี้
กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศจากสวิตเซอร์แลนด์น่าจับตามองเป็นพิเศษ โดยตัวเลขการลงทุนในเดือน ม.ค.-ก.
ย.47 มีการลงทุน 16 โครงการ มูลค่า 900 ล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เขตเศรษฐกิจยุโรปเตรียมปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าจากผลกระทบ
ของราคาน้ำมัน รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 20 ต.ค.47 คณะกรรมการยุโรปจะปรับลดประมาณการการขยาย
ตัวทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ในปีหน้าโดยจะประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการใน
วันที่ 26 ต.ค.47 นี้ โดยก่อนหน้านี้เมื่อเดือน เม.ย.47 ที่ผ่านมาคณะกรรมการดังกล่าวได้ประมาณการการ
ขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Euro zone ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในปีนี้และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ในปีหน้า ส่วน
เหตุผลของการปรับลดประมาณการในครั้งนี้มาจากความกังวลว่าราคาน้ำมันจะคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในปีหน้าซึ่ง
จะส่งผลกระทบต่อทั้งอัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยจากประมาณการคาดว่าหากราคาน้ำมันสูง
ขึ้น 10 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Euro zone ลดลงร้อยละ
0.2 ต่อปีและทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางอังกฤษไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปีนี้ รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 47 ในการประชุมนโยบายการเงินของอังกฤษเมื่อวันที่ 6 และ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา
คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละ 4.75 ต่อไปอีกและไม่
ได้กล่าวถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์จาก Barclays Capital กล่าวว่าการคาด
การณ์ว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาด อนึ่งค่าเงินปอนด์เมื่อเทียบกับเงินยู
โรทำสถิติต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ซึ่งหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้นักวิเคราะห์
ส่วนใหญ่คาดว่าต้นทุนการกู้ยืมที่ระดับร้อยละ 4.75 จะสิ้นสุดลงในปีนี้ภายหลังจากที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้ง
ละ 0.25 รวม 5 ครั้งนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 46 เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
ตลาดที่อยู่อาศัย นอกจากนั้น ธ.กลางอังกฤษยังวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งนักวิเคราะห์เห็นว่า
เป็นเหตุผลที่สนับสนุนว่าอังกฤษจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบกับธ.กลางของประเทศ
อื่นๆต่างก็ดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวและการที่ระดับราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเร็วๆนี้แสดงถึงมีความ
เป็นไปได้เพียงเล็กน้อยที่ธ.กลางจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย อนึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เปิดเผยเมื่อวานนี้ชี้ว่า
ตลาดที่อยู่อาศัยของอังกฤษได้ชะลอลงแล้ว (รอยเตอร์)
3. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าในเดือน ก.ย.47 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 12.7 เทียบต่อปีน้อยกว่าที่คาดการณ์
ไว้ รายงานจากโตเกียว เมื่อ 21 ต.ค.47 ก.คลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ในเดือน ก.ย.47 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้า
จำนวน 1.238 ล้านล้านเยน (11.43 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบต่อปี แต่
หากเทียบต่อเดือนกลับลดลงร้อยละ 21.8 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ทั้งนี้ ตัวเลขเกินดุลการค้าเมื่อเทียบต่อปี
เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28.3 และเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน
(ตั้งแต่เดือน ส.ค.46) ที่ตัวเลขเกินดุลการค้าชะลอตัวลง เนื่องจากระดับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อันส่งผลโดยตรงต่อการนำเข้าให้สูงขึ้นตาม รวมถึง ภาวะการส่งออกที่มีสัญญาณว่าจะชะลอตัวลง โดยในเดือน
ก.ย.ที่ผ่านมา การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 12.5 เทียบต่อปี แต่ลดลงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบต่อเดือน ขณะที่
นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 และ 2.5 เมื่อเทียบต่อปีและต่อเดือนตามลำดับ ทั้งนี้ หมวดสินค้าหลักที่สนับสนุนให้
การส่งออกขยายตัวคือ หมวด optical equipment และผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.6 และ
20.5 เทียบต่อปีตามลำดับ ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็มีการนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
อย่างมากเช่นกัน อาทิเช่น นำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.9 ถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.0 และผลิตภัณฑ์น้ำมัน
เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.6 อย่างไรก็ตาม ภาวะการส่งออกของญี่ปุ่นไปยังประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีมูลค่าการสั่งซื้อ
สินค้าญี่ปุ่นเป็นอันดับ 2 นั้น มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 เทียบต่อปี ขณะที่ สรอ.ที่เป็นประเทศที่มียอด
การสั่งซื้อสินค้าเป็นอันดับหนึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.5 เทียบต่อปี (รอยเตอร์)
4. ทางการเกาหลีใต้คาดว่าการส่งออกในปี 47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เทียบต่อปี รายงานจาก
โซลเมื่อ 20 ต.ค.47 ก.พาณิชย์ คาดการณ์ว่า การส่งออกของเกาหลีใต้ในปี 47 จะมีมูลค่า 245 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากมูลค่า 193.8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ในปี 46 แม้ว่าเกาหลีใต้จะประสบ
กับภาวะความเสี่ยงจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการชะลอตัวของความต้องการภายใน
ประเทศ รวมถึงการส่งออกซึ่งเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวเช่นกันสาเหตุจากความต้องการจากต่างประเทศลดลง
โดยเฉพาะจีนซึ่งพยายามลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง ทั้งนี้ ความต้องการภายในประเทศได้ชะลอตัวนับ
ตั้งแต่เกาหลีใต้ประสบกับภาวะฟองสบู่ในระบบสินเชื่อเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่การส่งออกในช่วง 9 เดือนแรก
ของปี (ม.ค.-ก.ย.) ก็เติบโตในอัตราต่ำสุดในรอบ 10 เดือน อย่างไรก็ตาม ทางการเกาหลีใต้ คาดหวังว่า
เศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้ถึงร้อยละ 5 ในปี 47 ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชนคาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจจะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่านั้น อนึ่ง การส่งออกของเกาหลีใต้ ในช่วงระหว่าง 1 ม.ค.47 ถึง 17 ต.
ค.47 มีมูลค่ารวม 195.2 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 200 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ภายสิ้น
เดือน ต.ค.นี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 ต.ค. 47 20 ต.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.341 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.1538/41.4394 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.6875-1.7500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 652.46/ 13.80 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,250/8,350 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 39.22 38.52 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.39*/14.59 22.39*/14.59 16.99/14.59
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 20 ต.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท. ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 1.75 นาง
อัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธปท. มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอีกร้อยละ 0.25 จากเดิมร้อยละ
1.5 เป็นร้อยละ 1.75 เนื่องจากต้องการดูแลอัตราเงินเฟ้อที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง โดยคณะ
กรรมการฯ มองว่าภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้การใช้จ่าย
การบริโภคภาคเอกชนลดลง ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง แต่ก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจจะเติบโตต่อไปได้
เพราะมีแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนภาคเอกชน การส่งออก และการลงทุนของภาครัฐ แต่อาจจะชะลอตัวลง
แต่ก็จำเป็นต้องดูแลเสถียรภาพหรืออัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเหมาะสมมากขึ้นมากกว่าจะดูแลเรื่องการเจริญ
เติบโต โดยเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ย 9 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 0.3 และมีโอกาสที่จะสูงขึ้นไปอีก ขึ้นอยู่กับว่าราคา
น้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นแค่ไหน (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยตั้งเป้า 4 ปี ตราสารหนี้มีมูลค่าตลาดร้อยละ 50 ของจีดีพี นาย
สมหมาย ภาษี ประธานศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า มีนโยบายชัดเจนจะผลักดันให้มูลค่าตลาดรวมของ
ตลาดตราสารหนี้มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 50 ของจีดีพี จากปัจจุบันจีดีพีอยู่ที่ 6 ล้านล้านบาท ส่วนมูลค่าตลาดตรา
สารหนี้อยู่ที่ 2.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36 ของจีดีพี นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของ
ตลาดตราสารหนี้ให้มีมาตรฐานสากลเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือของนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลดีในการพัฒนาพันธบัตรเงิน
สกุลเอเชีย (เอเชียบอนด์) ด้วย ทั้งนี้ คาดว่าในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลจะผลักดันให้รัฐวิสาหกิจ
ต่าง ๆ หันมาพึ่งพาแหล่งเงินจากตลาดตราสารหนี้มากขึ้น ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนในปี 48 และจะเห็นส่วนราชการ
ต่าง ๆ ทั้งในส่วนของกรุงเทพฯ และรัฐวิสาหกิจเริ่มออกพันธบัตรมากขึ้น ขณะที่บริษัทที่ต่างประเทศถือหุ้นโดย
เฉพาะบริษัทที่ญี่ปุ่นถือหุ้นจะออกหุ้นกู้ในไทยมากขึ้น (โพสต์ทูเดย์, มติชน, โลกวันนี้)
3. ติงรัฐทำซีเคียวฯ เมกะโปรเจ็คต์มีความเสี่ยงสูง แหล่งข่าวจากวงการวาณิชธนกิจ เปิดเผย
ถึงกรณีที่รัฐบาลมีแนวคิดจะระดมทุนโดยการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (ซีเคียวริไทเซชั่น) มาใช้ในการลงทุน
เมกะโปรเจ็คต์ โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชนในอีก 4-5 ปีข้างหน้า รวมถึงโครงการโคล้านครอบครัว ว่า
รัฐบาลจะต้องระมัดระวังความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับผู้ถือตราสารที่เกิดจากการทำซีเคียวฯ ด้วย เพราะหากบริษัท
เอกชนเป็นผู้ทำซีเคียวฯ บริษัทเอกชนเหล่านั้นจะมีส่วนของทุนไว้รองรับความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่ไม่
สามารถทำรายได้ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่รัฐบาลไม่มีส่วนของทุนรองรับ นอกจากนี้ โครงการขนส่งมวลชน
ของรัฐมักจะมีความเสี่ยงในเรื่องของรายได้ เช่น ไม่สามารถขึ้นค่าโดยสารได้ แม้จะมีการทำสัญญาไว้ก็ตาม
ส่วนกรณีโคล้านครอบครัวนั้น ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะไม่มีใครที่ทำซีเคียวฯ กับสิ่งมีชีวิตที่อาจตายได้ทุกเมื่อ ทั้ง
จากโรคระบาดหรือปัจจัยอื่น ๆ ซึ่งมีความอ่อนไหวมาก (มติชน)
4. การลงทุนภาคเหนือช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 33 นางศิริพร นุรักษ์ ผอ.ศูนย์
เศรษฐกิจการลงทุนภาคเหนือ 1 จ.เชียงใหม่ เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนภาคเหนือในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้
ว่า มีนักลงทุนยื่นเข้ามาขอรับส่งเสริมการลงทุน 52 โครงการ มูลค่า 9,191 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ
33.33 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมการเกษตรมีการลงทุน
มากที่สุด โดยแยกเป็นการลงทุนของนักลงทุนไทย 28 โครงการ นักลงทุนต่างประเทศ 17 โครงการ และ
การร่วมทุนระหว่างนักลงทุนไทยกับชาวต่างประเทศ 7 โครงการ สำหรับแนวโน้มการลงทุนในปี 48 คาดว่าจะ
ขยายตัวในระดับหนึ่ง แต่ปัญหาราคาน้ำมันแพงและโรคไข้หวัดนกอาจจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนบ้าง นอกจากนี้
กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศจากสวิตเซอร์แลนด์น่าจับตามองเป็นพิเศษ โดยตัวเลขการลงทุนในเดือน ม.ค.-ก.
ย.47 มีการลงทุน 16 โครงการ มูลค่า 900 ล้านบาท และมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. เขตเศรษฐกิจยุโรปเตรียมปรับลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้าจากผลกระทบ
ของราคาน้ำมัน รายงานจากบรัสเซลส์ เมื่อ 20 ต.ค.47 คณะกรรมการยุโรปจะปรับลดประมาณการการขยาย
ตัวทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone ในปีหน้าโดยจะประกาศตัวเลขอย่างเป็นทางการใน
วันที่ 26 ต.ค.47 นี้ โดยก่อนหน้านี้เมื่อเดือน เม.ย.47 ที่ผ่านมาคณะกรรมการดังกล่าวได้ประมาณการการ
ขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Euro zone ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในปีนี้และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ในปีหน้า ส่วน
เหตุผลของการปรับลดประมาณการในครั้งนี้มาจากความกังวลว่าราคาน้ำมันจะคงอยู่ในระดับสูงต่อไปในปีหน้าซึ่ง
จะส่งผลกระทบต่อทั้งอัตราเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยจากประมาณการคาดว่าหากราคาน้ำมันสูง
ขึ้น 10 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ Euro zone ลดลงร้อยละ
0.2 ต่อปีและทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อปี (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางอังกฤษไม่เปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่เหลือของปีนี้ รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 47 ในการประชุมนโยบายการเงินของอังกฤษเมื่อวันที่ 6 และ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา
คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละ 4.75 ต่อไปอีกและไม่
ได้กล่าวถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์จาก Barclays Capital กล่าวว่าการคาด
การณ์ว่าจะมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นการคาดการณ์ที่ผิดพลาด อนึ่งค่าเงินปอนด์เมื่อเทียบกับเงินยู
โรทำสถิติต่ำสุดในรอบ 9 เดือน ซึ่งหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยจะไม่ปรับเพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้นักวิเคราะห์
ส่วนใหญ่คาดว่าต้นทุนการกู้ยืมที่ระดับร้อยละ 4.75 จะสิ้นสุดลงในปีนี้ภายหลังจากที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้ง
ละ 0.25 รวม 5 ครั้งนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 46 เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
ตลาดที่อยู่อาศัย นอกจากนั้น ธ.กลางอังกฤษยังวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งนักวิเคราะห์เห็นว่า
เป็นเหตุผลที่สนับสนุนว่าอังกฤษจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบกับธ.กลางของประเทศ
อื่นๆต่างก็ดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวและการที่ระดับราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเร็วๆนี้แสดงถึงมีความ
เป็นไปได้เพียงเล็กน้อยที่ธ.กลางจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย อนึ่งตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เปิดเผยเมื่อวานนี้ชี้ว่า
ตลาดที่อยู่อาศัยของอังกฤษได้ชะลอลงแล้ว (รอยเตอร์)
3. ญี่ปุ่นเกินดุลการค้าในเดือน ก.ย.47 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 12.7 เทียบต่อปีน้อยกว่าที่คาดการณ์
ไว้ รายงานจากโตเกียว เมื่อ 21 ต.ค.47 ก.คลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ในเดือน ก.ย.47 ญี่ปุ่นเกินดุลการค้า
จำนวน 1.238 ล้านล้านเยน (11.43 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7 เมื่อเทียบต่อปี แต่
หากเทียบต่อเดือนกลับลดลงร้อยละ 21.8 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) ทั้งนี้ ตัวเลขเกินดุลการค้าเมื่อเทียบต่อปี
เพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 28.3 และเป็นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน
(ตั้งแต่เดือน ส.ค.46) ที่ตัวเลขเกินดุลการค้าชะลอตัวลง เนื่องจากระดับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อันส่งผลโดยตรงต่อการนำเข้าให้สูงขึ้นตาม รวมถึง ภาวะการส่งออกที่มีสัญญาณว่าจะชะลอตัวลง โดยในเดือน
ก.ย.ที่ผ่านมา การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 12.5 เทียบต่อปี แต่ลดลงร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบต่อเดือน ขณะที่
นำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.4 และ 2.5 เมื่อเทียบต่อปีและต่อเดือนตามลำดับ ทั้งนี้ หมวดสินค้าหลักที่สนับสนุนให้
การส่งออกขยายตัวคือ หมวด optical equipment และผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.6 และ
20.5 เทียบต่อปีตามลำดับ ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็มีการนำเข้าน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น
อย่างมากเช่นกัน อาทิเช่น นำเข้าน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.9 ถ่านหินเพิ่มขึ้นร้อยละ 53.0 และผลิตภัณฑ์น้ำมัน
เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.6 อย่างไรก็ตาม ภาวะการส่งออกของญี่ปุ่นไปยังประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศที่มีมูลค่าการสั่งซื้อ
สินค้าญี่ปุ่นเป็นอันดับ 2 นั้น มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.6 เทียบต่อปี ขณะที่ สรอ.ที่เป็นประเทศที่มียอด
การสั่งซื้อสินค้าเป็นอันดับหนึ่งมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.5 เทียบต่อปี (รอยเตอร์)
4. ทางการเกาหลีใต้คาดว่าการส่งออกในปี 47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 เทียบต่อปี รายงานจาก
โซลเมื่อ 20 ต.ค.47 ก.พาณิชย์ คาดการณ์ว่า การส่งออกของเกาหลีใต้ในปี 47 จะมีมูลค่า 245 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากมูลค่า 193.8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ในปี 46 แม้ว่าเกาหลีใต้จะประสบ
กับภาวะความเสี่ยงจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ อันเนื่องมาจากการชะลอตัวของความต้องการภายใน
ประเทศ รวมถึงการส่งออกซึ่งเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวเช่นกันสาเหตุจากความต้องการจากต่างประเทศลดลง
โดยเฉพาะจีนซึ่งพยายามลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจลง ทั้งนี้ ความต้องการภายในประเทศได้ชะลอตัวนับ
ตั้งแต่เกาหลีใต้ประสบกับภาวะฟองสบู่ในระบบสินเชื่อเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่การส่งออกในช่วง 9 เดือนแรก
ของปี (ม.ค.-ก.ย.) ก็เติบโตในอัตราต่ำสุดในรอบ 10 เดือน อย่างไรก็ตาม ทางการเกาหลีใต้ คาดหวังว่า
เศรษฐกิจจะสามารถเติบโตได้ถึงร้อยละ 5 ในปี 47 ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ภาคเอกชนคาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจจะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่านั้น อนึ่ง การส่งออกของเกาหลีใต้ ในช่วงระหว่าง 1 ม.ค.47 ถึง 17 ต.
ค.47 มีมูลค่ารวม 195.2 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. และคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 200 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ภายสิ้น
เดือน ต.ค.นี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21 ต.ค. 47 20 ต.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.341 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.1538/41.4394 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.6875-1.7500 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 652.46/ 13.80 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,250/8,350 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 39.22 38.52 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.39*/14.59 22.39*/14.59 16.99/14.59
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 20 ต.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-