ความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติและ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำ 1. ความเป็นมา การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติและ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ เป็นประเด็นสำคัญของชาติ เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมและมีผลผลิตทางการเกษตรได้บริโภคกันอย่างพอเพียงกับคน 60 กว่าล้านคน และในเวลาเดียวกัน แม้ว่าจะเกิดภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจเมื่อปี พ.ศ. 2540 และประเทศได้สูญเสียความมั่งคั่งไปแล้ว ซึ่งความมั่งคั่งจะกลับคืนมาได้เมื่อไรก็ยังไม่มีใครที่จะยืนยันในเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ตามประเทศก็มีความอุดมสมบูรณ์เป็นเอกลักษณ์ การที่จะรักษาผลผลิตทางการเกษตรและอาชีพเกษตรกรรมให้เป็นไปได้ด้วยดีนั้น น้ำเป็นปัจจัยสำคัญ ดังนั้นแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติและการจัดการ 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศอย่างสัมฤทธิผล เป็นประเด็นที่จะต้องเร่งรีบดำเนินการเพราะเป็นสิ่งสำคัญของชาติ ในเรื่องของการจัดการ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ ปัจจุบันดำเนินการเป็นแต่ละลุ่มน้ำ พิจารณาแบ่งตามภาคของเขตการปกครอง ทำให้เกิดความไม่ครบสมบูรณ์เป็นระบบทั้งลุ่มน้ำขนาดใหญ่หรือกลุ่มลุ่มน้ำตามลักษณะภูมิประเทศ ประเด็นที่สำคัญก็คือ หากมีการจัดการกลุ่มลุ่มน้ำโดยแบ่งตามลักษณะการไหลลงเป็น 9กลุ่มลุ่มน้ำก็จะทำให้การบริหารจัดการลุ่มน้ำเป็นแบบบูรณาการทั้งลุ่มน้ำ การจัดการ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ จำเป็นต้องมีแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นรูปธรรมและมีมาตรการที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ ซึ่งในการจัดทำแผนแม่บทนี้จำเป็นต้องมีการกำหนดและจัดทำแผนพัฒนาการใช้ที่ดินและผังเมืองที่ชัดเจน และในทุกขั้นตอนของการจัดทำแผนแม่บท และช่วงเวลาที่จะนำแผนแม่บทไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องให้ประชาชนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมด้วย สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคณะทำงานศึกษาและอนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง ได้เล็งเห็นความสำคัญและจำเป็นดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ดำเนินการศึกษาแนวทางที่จะดำเนินการในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ โดยเน้นใน 7 ปัจจัยที่สำคัญได้แก่ 1) นโยบายน้ำแห่งชาติ 2) คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ 3) คณะกรรมการลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำ 4) กระทรวงน้ำ 5) กฎหมายน้ำ 6) ฐานความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรน้ำและ 7) การจัดกลุ่มลุ่มน้ำเพื่อการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแนวทางการพัฒนา 9 กลุ่มลุ่มน้ำ 2. การดำเนินการของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยคณะทำงานศึกษาและอนุรักษ์แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำบางปะกง ร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ดำเนินการศึกษาโดย 1) จัดประชุมเสวนาร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน 2) การศึกษาดูงานด้านการพัฒนาแหล่งน้ำและการชลประทานในพื้นที่ภาคต่างๆ ของประเทศ และ 3) จัดประชุมกลุ่มย่อยเพื่อจัดทำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ และ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ และได้นำความรู้และความคิดเห็นที่ได้มาวิเคราะห์ และประมวลเพื่อจัดทำเป็นความเห็นและข้อเสนอแนะเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติและ 25 แม่น้ำสำคัญของประเทศ รวม 9 กลุ่มลุ่มน้ำนำเสนอสภาที่ปรึกษาฯและคณะรัฐมนตรีต่อไป 3. สภาพปัญหา และแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ จากการศึกษาของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เสนอให้เห็นถึงสภาพปัญหา และแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ ซึ่งสภาที่ปรึกษาฯ ได้นำเสนอนายกรัฐมนตรีไปแล้วเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2547 สรุปได้ดังนี้หัวข้อ สภาพและปัญหา แนวทางแก้ไข1. นโยบายน้ำแห่งชาติ - นโยบายน้ำแห่งชาติยังเป็นการมองภาพ - เสนอแนะแนวนโยบายที่เหมาะสม สอดคล้อง กว้าง ไม่บ่งชัดในแนวปฏิบัติ กับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและ - นโยบายในเรื่องน้ำเสีย ยังไม่ชัดเจน ทรัพยากรอื่นๆที่เกี่ยวข้อง - นโยบายและแผนหลักการจัดการ - ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นที่ขาด ทรัพยากรน้ำของรัฐแต่ละสมัยมีความไม่ หายไป เช่น เรื่องน้ำเสีย เป็นต้น ชัดเจนและไม่ครอบคลุมทุกด้านที่เกี่ยวข้อง - ให้ความชัดเจนในแต่ละข้อของนโยบาย - หน่วยงานราชการหลักของรัฐต่างเน้น และคำนึงถึงแนวทางปฏิบัติด้วย หนักในด้านการจัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำ - กำหนดนโยบายการใช้ที่ดิน และการ เป็นส่วนใหญ่ จึงขาดเครื่องมือทางด้าน พัฒนาในลุ่มน้ำให้เป็นไปอย่างเป็นรูปธรรมใน นโยบายการจัดสรรและการจัดการด้าน ในการสร้างความพร้อมในทุกปัจจัย อุปทาน - กำหนดนโยบายการบริหารจัดการทรัพยากร - นโยบายด้านน้ำขาดความเชื่อมโยงกับ น้ำ รวมทั้งการจัดสรรน้ำเพื่อประโยชน์ นโยบายด้านอื่นๆเช่น ป่าไม้ พื้นดิน และ สูงสุดอย่างมีหลักเกณฑ์ โดยความเห็นชอบ ผังเมือง เป็นต้น ร่วมกันโดยภาครัฐ ภาคเอกชนและภาค ประชาชน2. คณะกรรมการ - ในทางปฏิบัติคณะกรรมการทรัพยากรน้ำ - จะต้องมีกฎหมายรองรับอำนาจหน้าที่ของทรัพยากรน้ำแห่งชาติ แห่งชาติ ดำเนินการได้ยากเพราะเป็น คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อให้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ มีการนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยให้มี กฎหมายหรือมีพระราชบัญญัติรองรับ ภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในคณะ- - องค์ประกอบของคณะกรรมการทรัพยากร กรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติในอัตราส่วนที่ น้ำแห่งชาติ ไม่ค่อยชัดเจน ส่วนใหญ่เป็น สูงขึ้น ผู้แทนของส่วนราชการ และยังใช้ดุลพินิจ - ควรมีการระบุองค์ประกอบของคณะ ของนายกรัฐมนตรีในการแต่งตั้งคณะ กรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติให้ชัดเจน กรรมการฯ ไม่ต้องใช้ดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี และ - ในข้อเท็จจริง คณะกรรมการทรัพยากรน้ำ ควรจะต้องเพิ่มจำนวนตัวแทนผู้ใช้น้ำใน แห่งชาติ ควรจะต้องทำหน้าที่ในการ คณะกรรมการฯ ให้มากขึ้นเพื่อสะท้อน กำหนดนโยบายเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ แนวทางการจัดการทรัพยากรน้ำโดยการมี แห่งชาติ เพราะเป็นองค์กรสูงสุดเกี่ยวกับ ส่วนร่วมในทุกระดับให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทรัพยากรน้ำสถานภาพการทำงานใน - คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติควรเร่ง ปัจจุบันยังไม่ได้ดำเนินงานตามอำนาจ ดำเนินการปรับปรุงนโยบายการบริหารจัด หน้าที่อย่างสมบูรณ์ การทรัพยากรน้ำของชาติให้มีความชัดเจน - หน่วยงานฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ ยัง และครอบคลุมทุกด้านพร้อมทั้งระบุแนวทาง ขาดประสบการณ์ในการปฏิบัติในฐานะ การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมและสัมฤทธิผล ฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการระดับ - ควรพิจารณาแต่งตั้งฝ่ายเลขานุการของ ชาติ และมีนโยบายเป็นกลาง คณะกรรมการฯ ที่มีประสบการณ์ มีวิสัยทัศน์ - อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการทรัพยากร มีความเป็นกลาง และเป็นที่ยอมรับของทั้ง น้ำแห่งชาติที่มีตามระเบียบสำนักนายกฯว่า หน่วยงานและภาคเอกชน ด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ - ควรปรับปรุงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ค่อนข้างเป็นไปในลักษณะการประสาน ทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ให้มีความสำคัญใน งานและไม่ได้กำหนดวิธีปฏิบัติที่ชัดเจน การกำหนดนโยบายหลักของการบริหารจัด ในแต่ละเรื่อง จึงทำให้ไม่มีการปฏิบัติตาม การทรัพยากรน้ำแห่งชาติมากยิ่งขึ้น และ อำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ กำหนดวิธีการปฏิบัติให้ชัดเจนในทุกเรื่อง3. คณะกรรมการ - บทบาท หน้าที่ของคณะกรรมการลุ่มน้ำ - ควรดำเนินการให้มีกฎหมายรองรับ และเพิ่มลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำสำคัญ ยังไม่ค่อยชัดเจน และขาดการรองรับทาง บทบาทของคณะกรรมการลุ่มน้ำฯ และสำนัก ด้านกฎหมาย เลขาฯในคณะดำเนินงานและส่งเสริมในด้าน - ขอบเขตพื้นที่การดำเนินงานของคณะ งบค่าใช้จ่ายและขวัญกำลังใจในการปฏิบัติ กรรมการลุ่มน้ำ 25 ลุ่มน้ำสำคัญ หน้าที่อย่างจริงจัง จะครอบคลุมเฉพาะแต่ละลุ่มน้ำเท่านั้น - กำหนดอำนาจ บทบาท หน้าที่ของคณะกรรม- ไม่คำนึงถึงกลุ่มลุ่มน้ำที่เกี่ยวข้องกันตาม การลุ่มน้ำให้ชัดเจน รวมถึงขอบเขตพื้นที่ใน สภาพภูมิศาสตร์หรือการไหลลงทะเลหรือ ในการดำเนินงานด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ แม่น้ำนานาชาติ พิจารณาเป็นภาพรวมในลักษณะกลุ่มลุ่มน้ำ - การพิจารณาคัดเลือกบุคลากร และผู้แทน และพิจารณาทรัพยากรอื่นๆ ร่วมด้วย ภาคประชาชนยังไม่มีมาตรฐาน และยัง - มีหลักเกณฑ์และกระบวนการคัดเลือก คำนึงถึงผู้ที่มีความรู้เรื่องน้ำและสภาพพื้น บุคลากร และผู้แทนภาคประชาชน โดยคำนึง ที่ลุ่มน้ำค่อนข้างน้อย ตัวแทนของชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมและผู้ใช้ ประโยชน์ทรัพยากรน้ำในลุ่มน้ำ รวมถึงให้ ความรู้และทำความเข้าใจในเรื่องน้ำและการ บริหารจัดการ และมีประสบการณ์ก่อนการ คัดเลือกตัวบุคคล4. กระทรวงน้ำ - การขาดองค์กรและโครงสร้างหลักในการ - ศึกษาแนวทางการจัดตั้งกระทรวงน้ำ และ บริหารจัดการ ดำเนินการจัดตั้งกระทรวงน้ำ เพื่อเป็นเจ้าภาพ - โครงสร้างองค์กรบริหารจัดการทรัพยากร และองค์กรหลักในการบริหารจัดการเพื่อการ น้ำยังกระจัดกระจาย บริหารจัดการอย่างบูรณาการและเป็นเอกภาพ - การขาดเจ้าภาพในการบริหารจัดการที่แท้ - ดำเนินการจัดทำ วางแผนด้านงบประมาณ จริงและเป็นรูปธรรม - สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรน้ำ สามารถ - ขาดความเป็นเอกภาพและความชัดเจน ทำหน้าที่เป็นเลขานุการของคณะกรรมการ ในการบริหารจัดการและการปฏิบัติ ทรัพยากรน้ำแห่งชาติด้วย - การขาดงบประมาณและแผนงบประมาณ - ควรใช้ชื่อ “กระทรวงน้ำ” จะเหมาะสมกว่า ในการดำเนินการ “กระทรวงทรัพยากรน้ำ” เพราะจะครอบคลุม มากกว่า และเน้นในเรื่องบริหารจัดการน้ำ5. กฎหมายน้ำ - การขาดกฎหมายแม่บทหรือพระราช- - ควรมีพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำขึ้นใน บัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ประเทศไทย - ความหลากหลายและไม่ครอบคลุมของ - ควรปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเก่าที่มี กฎหมายในปัจจุบัน และกฎหมายบาง อยู่ให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับ ฉบับล้าสมัย พระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ ทั้งนี้เพื่อให้เกิด - การขาดความเป็นเอกภาพและมีความ เอกภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ขัดแย้งของกฎหมายระหว่างหน่วยงาน ของประเทศ - การขาดการประชาสัมพันธ์ การมีส่วน - ควรแก้ไขเกี่ยวกับเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ร่วมของภาคประชาชน และบทลงโทษ - กฎหมายเน้นเรื่องการใช้ ไม่ได้เน้นเรื่อง - ควรถ่ายโอนอำนาจหน้าที่ไปสู่ส่วนท้องถิ่น การจัดการ และการบังคับใช้ยังไม่มีบทลง ให้มากขึ้น โทษที่มีประสิทธิผล - ควรมีการประชาสัมพันธ์ การมีส่วนร่วม - มีความไม่ชัดเจนในเรื่องอำนาจ หน้าที่ รณรงค์ และทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขาดการ และกฎระเบียบในการบริหารจัดการ กระจายอำนาจ ทรัพยากรน้ำ - แม้จะมีหน่วยงานดูแลจำนวนมาก แต่ - การดำเนินการของทางภาครัฐด้วยมาตรการ ทรัพยากรน้ำก็ยังอยู่ในระบบที่ทุกคน ทางกฎหมายควรคำนึงถึงผลกระทบ และ สามารถเข้าถึงได้โดยเสรี โดยปราศจาก สิทธิประโยชน์ของภาคประชาชนในพื้นที่เพื่อ กติกาในการจัดสรรน้ำ ความเป็นธรรมของท้องถิ่น6. ฐานความรู้ - ข้อมูลที่มีอยู่กระจัดกระจายในหลาย - มีการรวบรวมและจัดกลุ่มของข้อมูล จัดทำเกี่ยวกับการ หน่วยงาน และหลายครั้งมีการขัดแย้งของ เป็นศูนย์ระบบข้อมูลและฐานความรู้ด้านพัฒนาทรัพยากรน้ำ ข้อมูล ทรัพยากรน้ำ เชื่อมโยงทั้งระบบให้สมบูรณ์ - ข้อมูลมีความหลากหลาย และไม่มีการจัด - จัดอบรม พัฒนา เพิ่มทักษะความรู้ ความ กลุ่มของข้อมูล ทำให้ยากต่อการนำไปใช้ สามารถของบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ - การขาดการเชื่อมต่อ เชื่อมโยง ของข้อมูล มากขึ้น และสร้างจิตสำนึกให้ประชาชน ที่สมบูรณ์ ตระหนักถึงสิทธิ และหน้าที่ในการดูแลบำรุง - การขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ รักษาแหล่งน้ำให้กับประชาชนทุกพื้นที่และ - การขาดศูนย์ระบบข้อมูลทรัพยากรน้ำของ ทุกภาคส่วน ประเทศ - จัดให้มีการวิเคราะห์ข้อมูลและประมวลผล ในทุกระดับทั้งฝ่ายปฏิบัติและฝ่ายบริหาร7. การจัดกลุ่มลุ่มน้ำ - การจัดกลุ่มลุ่มน้ำเป็น 25 ลุ่มน้ำ (เดิม) ทำ - ควรจัดกลุ่มลุ่มน้ำเป็น 9 ลุ่มน้ำ ตามการไหลเพื่อการบริหาร ให้เห็นภาพไม่ถูกต้องหรือไม่สอดคล้อง ลง เพื่อให้มองภาพได้ถูกต้องชัดเจนทั้งระบบจัดการอย่างมี ในเชิงการจัดการเป็นระบบภาพรวมทั้ง และมีรายละเอียดแยกเป็นแต่ละลุ่มน้ำหลักประสิทธิภาพ กลุ่มลุ่มน้ำ ทั้ง 25 ลุ่มน้ำสำคัญของประเทศเพื่อประโยชน์ ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในแหล่งน้ำ ที่มีความเชื่อมต่อ 4. แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติ จากการศึกษาของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาตินั้นได้แยกออกเป็นประเด็นหลักที่จะต้องดำเนินการ 2 ประเด็นด้วยกัน ดังนี้ 1) แนวทางและกรอบการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน 2) แนวทางการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ 4.1 แนวทางและกรอบการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุน จากการที่ประชากรของประเทศได้เพิ่มขึ้นจนถึง 62 ล้านคนในปัจจุบัน จึงทำให้มีความต้องการใช้น้ำมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นการขยายตัวทั้งเขตชุมชน อุตสาหกรรม และพื้นที่การเกษตร ทำให้เพิ่มความต้องการใช้น้ำมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ด้วยเหตุนี้ทำให้แหล่งน้ำต้นทุนที่ควบคุมได้ในปัจจุบันไม่เพียงพอและจะทวีความขาดแคลนมากยิ่งขึ้นตามลำดับในอนาคต จึงจำเป็นต้องมีการพัฒนาแหล่งน้ำต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยสามารถดำเนินการได้ในแหลายแนวทาง 4.1.1 ปริมาณความต้องการใช้น้ำในกิจกรรมต่างๆ 1) ปริมาณความต้องการใช้น้ำในปัจจุบัน ในภาพรวมของปริมาณความต้องการใช้น้ำในปัจจุบันพิจารณาความต้องการน้ำเพื่อการอุปโภค—บริโภค และอุตสาหกรรมในปี 2544 ปริมาณความต้องการน้ำเพื่อการชลประทานสำหรับพื้นที่โครงการชลประทานขนาดใหญ่และขนาดกลางที่มีอยู่ในปัจจุบัน และปริมาณความต้องการน้ำเพื่อใช้ในการรักษาระบบนิเวศท้ายน้ำ ดังสรุปผลการศึกษาปริมาณความต้องการน้ำแต่ละประเภทในแต่ละกลุ่มลุ่มน้ำหลักและเป็นรายลุ่มน้ำได้ดังนี้ ปริมาณความต้องการน้ำในปัจจุบัน 2544 (ล้าน ลบ.ม.)กลุ่มลุ่มน้ำหลัก อุปโภค อุตสาห- ชลประทาน ระบบ รวมปริมาณน้ำต้องการ บริโภค กรรม ฤดูฝน ฤดูแล้ง รวม นิเวศ ฤดูฝน ฤดูแล้ง ทั้งปี1.กลุ่มลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำโขง 571.07 310.36 4,766.39 3,324.05 8,090.44 3,520.20 6,967.20 5,524.87 12,492.072.กลุ่มลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำสาละวิน 12.33 3.95 70.66 43.63 114.29 1,453.04 805.32 778.29 1,583.613.กลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ท่าจีน 1,347.70 598.25 9,062.38 15,097.75 24,160.13 3,364.11 11,717.41 17,752.78 29,470.194.กลุ่มลุ่มน้ำแม่กลอง 47.04 63.26 1,033.82 3,176.55 4,210.37 1,500.48 1,839.21 3,981.94 5,821.155.กลุ่มลุ่มน้ำบางปะกง 54.74 87.02 816.69 1,073.56 1,890.25 147.44 961.29 1,218.16 2,179.456.กลุ่มลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตะวันออก 69.51 93.33 62.71 186.22 248.93 205.22 246.74 370.25 616.997.กลุ่มลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตะวันตก 27.43 34.14 650.07 264.02 914.08 269.36 815.54 429.48 1,245.028.กลุ่มลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออก 180.59 91.59 1,024.46 647.49 1,671.95 7,045.60 5,902.98 3,086.75 8,989.739.กลุ่มลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก 52.87 34.42 75.10 89.24 164.33 2,093.44 1,528.92 816.15 2,345.07รวมลุ่มน้ำทั้งประเทศ 2,363.28 1,316.33 17,562.26 23,902.52 41,464.78 19,598.89 30,784.59 33,958.68 64,743.27 จากตารางดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในภาพรวมทั้งประเทศมีปริมาณความต้องการน้ำเพื่อใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งสิ้นประมาณ 64,743.27 ล้าน ลบ.ม./ปี โดยกิจกรรมที่มีปริมาณความต้องการน้ำสูงสุดได้แก่ ปริมาณน้ำต้องการเพื่อการชลประทานซึ่งมีปริมาณความต้องการน้ำถึง 41,464.78 ล้าน ลบ.ม./ปี หรือประมาณร้อยละ 64.04 ของปริมาณน้ำต้องการทั้งหมด โดยปริมาณน้ำต้องการในส่วนนี้กว่าร้อยละ 50 จะอยู่ในกลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ท่าจีน ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ชลประทานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ 2) ปริมาณความต้องการใช้น้ำในอนาคต จากการพัฒนาพื้นที่ชลประทานในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาประมาณ 100 ปีกรมชลประทานสามารถพัฒนาพื้นที่ชลประทานขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วทั้งประเทศได้ประมาณ 21.876 ล้านไร่ เมื่อนำมารวมกับพื้นที่โครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่ดำเนินการโดยกรมเร่งรัดพัฒนาชนบท (ปัจจุบันโอนย้ายงานมาอยู่กับกรมทรัพยากรน้ำ) และโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าของกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน (ปัจจุบันโอนย้ายงานมาอยู่กับกรมชลประทาน) ส่งผลให้ในปัจจุบันมีพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาระบบชลประทานแล้วทั้งสิ้นประมาณ 26.884 ล้านไร่เมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่การเกษตรที่มีศักยภาพในการพัฒนาระบบชลประทานทั้งหมดทั่วประเทศ ซึ่งมีประมาณ 91,429.48 ตร.กม. หรือ 57.143 ล้านไร่ แล้วพบว่าในปัจจุบันสามารถพัฒนาระบบชลประทานได้ประมาณร้อยละ 47.05 ของพื้นที่ศักยภาพทั้งหมด ในการกำหนดเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่ชลประทานในอนาคตของทุกลุ่มน้ำ ได้พิจารณาจากข้อมูลการพัฒนาในอดีตซึ่งมีพื้นที่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาเป็นจำนวนมาก มีทรัพยากรน้ำต้นทุนมาก มีตำแหน่งก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่เหมาะสมเพียงพอ รวมถึงยังมีการต่อต้านจากองค์กรเอกชนบางองค์กรไม่เข้มข้นมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับสภาวะในปัจจุบัน ซึ่งเริ่มมีปัญหาการขาดแคลนปริมาณน้ำต้นทุนในช่วงฤดูแล้งการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่เพื่อเก็บกักน้ำต้นทุนเป็นไปได้ยากขึ้นทั้งในด้านการกำหนดตำแหน่งที่เหมาะสมและการต่อต้านจากองค์กรเอกชน เข้มข้นมากขึ้น รวมถึงปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอื่นๆ อีก แต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีในการนำน้ำขึ้นมาใช้ รวมถึงระบบส่งน้ำก็มีการพัฒนามากขึ้น มีการใช้ระบบเครื่องสูบน้ำและท่อส่งน้ำในการส่งน้ำชลประทาน เป็นต้น รวมถึงแนวโน้มในการพัฒนาในอดีตของแต่ละพื้นที่ลุ่มน้ำ จากการพิจารณาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้นำมากำหนดเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่ชลประทานในอนาคตในเบื้องต้นในแต่ละลุ่มน้ำและได้สรุปปริมาณความต้องการใช้น้ำในอนาคตไว้ 2 กรณี ดังนี้ (1) กรณีพัฒนาพื้นที่ชลประทานในช่วง 10 ปี สำหรับการประเมินปริมาณความต้องการน้ำเพื่อการชลประทานในช่วง 10 ปีข้างหน้าหรือปี พ.ศ.2554 ซึ่งกำหนดเป้าหมายการพัฒนาในแต่ละลุ่มน้ำอยู่ระหว่างร้อยละ 20 ถึง 100 ของพื้นที่ศักยภาพการพัฒนาระบบชลประทานทั้งหมด โดยคิดเป็นพื้นที่รวมของการพัฒนาตามแผนเท่ากับ 46,572.45 ตร.กม.หรือ 29.108 ล้านไร่ ในขณะที่มีพื้นที่ชลประทานในปัจจุบัน (โครงการขนาดใหญ่-กลาง โครงการพัฒนาแหล่งน้ำโดย รพช. และโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้า) อยู่แล้ว 26.884 ล้านไร่ หรือคิดเป็นพื้นที่ที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติมอีกประมาณ 2.224 ล้านไร่ โดยมีปริมาณความต้องการน้ำสำหรับทุกกิจกรรมในอนาคตในแต่ละกลุ่มลุ่มน้ำหลักได้ดังนี้ ปริมาณความต้องการน้ำในอนาคตกรณีที่ 1 (2554) (ล้าน ลบ.ม.)กลุ่มลุ่มน้ำหลัก อุปโภค อุตสาห ชลประทาน ระบบ รวมปริมาณน้ำต้องการ บริโภค กรรม ฤดูฝน ฤดูแล้ง รวม นิเวศ ฤดูฝน ฤดูแล้ง ทั้งปี1. กลุ่มลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำโขง 646.13 628.14 5,672.03 4,225.57 9,897.60 3,520.20 8,069.26 6,622.80 14,692.06 2. กลุ่มลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำสาละวิน 17.09 9.68 70.66 43.63 114.29 1,453.04 810.57 783.53 1,594.10 3. กลุ่มลุ่มน้ำเจ้าพระยา-ท่าจีน 1,525.94 1,581.67 9,585.41 15,753.57 25,338.98 3,364.11 12,821.27 18,989.43 31,810.70 4. กลุ่มลุ่มน้ำแม่กลอง 54.55 177.92 1,033.82 3,176.55 4,210.37 1,500.48 1,900.29 4,043.03 5,943.32 5. กลุ่มลุ่มน้ำบางปะกง 70.47 260.47 1,017.62 1,473.62 2,491.25 147.44 1,256.81 1,712.82 2,969.63 6. กลุ่มลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตะวันออก 98.89 301.05 62.71 186.22 248.93 205.22 365.29 488.80 854.09 7. กลุ่มลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตะวันตก 31.17 164.21 671.97 305.54 977.52 269.36 904.34 537.91 1,442.25 8. กลุ่มลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออก 230.24 317.59 1,197.46 751.38 1,948.84 7,045.60 6,259.75 3,282.52 9,542.27 9. กลุ่มลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันตก 78.17 92.44 91.11 104.56 195.67 2,093.44 1,600.48 859.25 2,459.73 รวมลุ่มน้ำทั้งประเทศ 2,752.64 3,533.18 19,402.79 26,020.65 45,423.44 19,598.89 33,988.06 37,320.09 71,308.15 (2) กรณีพัฒนาพื้นที่ชลประทานเต็มศักยภาพ ในการสรุปปริมาณความต้องการน้ำชลประทานสำหรับพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาระบบชลประทานของทุกลุ่มน้ำซึ่งมีพื้นที่ที่มีศักยภาพ 91,429.48 ตร.กม. หรือ 57.143 ล้านไร่ ในขณะที่มีพื้นที่ชลประทานในปัจจุบันอยู่แล้ว 26.884 ล้านไร่ หรือคิดเป็นพื้นที่ที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติมอีกประมาณ 30.259 ล้านไร่ โดยมีปริมาณความต้องการน้ำสำหรับทุกกิจกรรมในอนาคตดังนี้ (ยังมีต่อ)