อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนของไทยเป็น 1 ใน 13 อุตสาหกรรมเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีนโยบายปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ซึ่งนำรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 4 หมื่นล้านบาท ก่อให้เกิดการสร้างงานรวมทั้งหมด 300,000 คน และมีผู้ผลิตโดยส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตขนาดเล็ก และขนาดกลางถึง 99% ของผู้ผลิตทั้งหมด ดังนั้นการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ จึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างมากที่จะทำให้อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของไทยมีการพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต
ภาวะความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ถ้าหากพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม่แน่นอน โดยมีค่าดัชนีสูงมากในเดือนมีนาคมถึง 125.7 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ดีมาก แต่ในเดือนเมษายน ค่าดัชนีมีการปรับตัวลดลงอย่างมากเท่ากับ 88.6 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีระดับความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก
สำหรับในเดือนพฤษภาคม 2547 ค่าดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนเป็น101.4 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของไทยมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ดีมากขึ้น จากค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการต่อภาวะอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์มีการปรับตัวขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ทีมีผลกระทบต่อกิจการของผู้ประกอบการ เช่น ภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และในกรณีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถ้าหากมีการปรับตัวสูงขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การตัดสินใจซื้อบ้านของผู้บริโภคมีการชะลอการตัดสินใจออกไป ซึ่งจะกระทบเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์โดยตรง เมื่อความต้องการซื้อบ้านลดลง ก็จะทำให้ความต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์ลดตามไปด้วยเช่นกัน
ภาวะการค้าของสินค้าอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน สินค้าที่มีการส่งออก ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์โลหะ ที่นอนหมอนฟูก เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ และชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของไทยตั้งแต่ปี 2544-2546 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยในปี 2546 มีมูลค่าการส่งออกรวม 43,192.60 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.74 เมื่อเทียบกับปี 2545 โดยมีตลาดส่งออกหลักๆ ที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และเนเธอร์แลนด์
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนใน 5 เดือนแรกของปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด 18,561.90 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.83 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 โดยสินค้าที่มีการส่งออกมากที่สุดคือ เฟอรนิเจอร์ไม้ มีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 10,521.80 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนของการส่งออกร้อยละ 56.68 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.75 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ และชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 21.65 และ 11.12 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด ตามลำดับ โดยเฉพาะการส่งออกชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ของไทยนั้นมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงมากถึงร้อยละ 28.78 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ และที่นอนหมอนฟูก คือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.50 และร้อยละ 2.88 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 ตามลำดับ
ส่วนสินค้าเฟอร์นิเจอร์โลหะของไทยนั้นมีอัตราการเติบโตของการส่งออกลดลงมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2544-2546 โดยการส่งออกใน 5 เดือนแรกของปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 1,218.50 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 24.41 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546
สำหรับแนวโน้มการส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนของไทยในปี 2547 ทางกรมส่งเสริมการส่งออก ได้ตั้งเป้าหมายให้มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 8.0 โดยจะทำการขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพมากขึ้น เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย สวีเดน นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้
โดยกรมส่งเสริมการส่งออกได้มีกลยุทธ์ต่างๆ ในการดำเนินการตลาดในต่างประเทศ เช่น 1) การสร้างภาพลักษณ์ของศูนย์กลางตลาดส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของไทยในเอเซียผ่านงาน TIFF และสื่อต่างๆ ในต่างประเทศ 2) การพัฒนาสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ในด้านรูปแบบ วัสดุ ประโยชน์ใช้สอย และคุณภาพให้มากขึ้น 3) การสร้างความแตกต่างของสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของไทย (Niche Market) โดยเน้นรูปแบบที่ทันสมัย และตราสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และ 4) มีการผลักดันและเจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและกำลังซื้อมากขึ้นส่วนทางด้านสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ. กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้มีนโยบายช่วยเหลือผู้ส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไม้ของไทยเช่นกัน โดยการให้ข้อมูล ทางด้านดีไซน์ หรือการออกแบบสินค้าให้มีความสอดคล้องตรงตามความต้องการของลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น และการจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้น โดยจะดำเนินการเป็นระยะเวลา 3 ปีติดต่อกันจากภาวะอุตสาหกรรมและการค้าของสินค้าเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ตลอดจนการส่งเสริมของทางภาครัฐ จึงนับได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ผลิตและผู้ส่งออกที่เป็นเอสเอ็มอีได้มีโอกาสปรับตัวและพัฒนากิจการของตนเองให้มีศักยภาพสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันในด้านราคา และรูปแบบผลิตภัณฑ์
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ภาวะความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ถ้าหากพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) ตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤษภาคม มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไม่แน่นอน โดยมีค่าดัชนีสูงมากในเดือนมีนาคมถึง 125.7 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ดีมาก แต่ในเดือนเมษายน ค่าดัชนีมีการปรับตัวลดลงอย่างมากเท่ากับ 88.6 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีระดับความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก
สำหรับในเดือนพฤษภาคม 2547 ค่าดัชนีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนเป็น101.4 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของไทยมีความเชื่อมั่นต่อภาวะอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ดีมากขึ้น จากค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการต่อภาวะอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์มีการปรับตัวขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา เนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ ทีมีผลกระทบต่อกิจการของผู้ประกอบการ เช่น ภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น และในกรณีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ถ้าหากมีการปรับตัวสูงขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำให้การตัดสินใจซื้อบ้านของผู้บริโภคมีการชะลอการตัดสินใจออกไป ซึ่งจะกระทบเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์โดยตรง เมื่อความต้องการซื้อบ้านลดลง ก็จะทำให้ความต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์ลดตามไปด้วยเช่นกัน
ภาวะการค้าของสินค้าอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน สินค้าที่มีการส่งออก ได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ไม้ เฟอร์นิเจอร์โลหะ ที่นอนหมอนฟูก เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ และชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของไทยตั้งแต่ปี 2544-2546 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด โดยในปี 2546 มีมูลค่าการส่งออกรวม 43,192.60 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.74 เมื่อเทียบกับปี 2545 โดยมีตลาดส่งออกหลักๆ ที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และเนเธอร์แลนด์
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนใน 5 เดือนแรกของปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด 18,561.90 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.83 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 โดยสินค้าที่มีการส่งออกมากที่สุดคือ เฟอรนิเจอร์ไม้ มีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 10,521.80 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนของการส่งออกร้อยละ 56.68 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด และมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.75 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ และชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกคิดเป็นร้อยละ 21.65 และ 11.12 ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมด ตามลำดับ โดยเฉพาะการส่งออกชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ของไทยนั้นมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นสูงมากถึงร้อยละ 28.78 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 รองลงมาได้แก่ เฟอร์นิเจอร์อื่นๆ และที่นอนหมอนฟูก คือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.50 และร้อยละ 2.88 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 ตามลำดับ
ส่วนสินค้าเฟอร์นิเจอร์โลหะของไทยนั้นมีอัตราการเติบโตของการส่งออกลดลงมาโดยตลอดตั้งแต่ปี 2544-2546 โดยการส่งออกใน 5 เดือนแรกของปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 1,218.50 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตลดลงร้อยละ 24.41 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546
สำหรับแนวโน้มการส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วนของไทยในปี 2547 ทางกรมส่งเสริมการส่งออก ได้ตั้งเป้าหมายให้มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจากปี 2546 ร้อยละ 8.0 โดยจะทำการขยายตลาดส่งออกไปยังตลาดที่มีศักยภาพมากขึ้น เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มาเลเซีย สวีเดน นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้
โดยกรมส่งเสริมการส่งออกได้มีกลยุทธ์ต่างๆ ในการดำเนินการตลาดในต่างประเทศ เช่น 1) การสร้างภาพลักษณ์ของศูนย์กลางตลาดส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของไทยในเอเซียผ่านงาน TIFF และสื่อต่างๆ ในต่างประเทศ 2) การพัฒนาสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ในด้านรูปแบบ วัสดุ ประโยชน์ใช้สอย และคุณภาพให้มากขึ้น 3) การสร้างความแตกต่างของสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของไทย (Niche Market) โดยเน้นรูปแบบที่ทันสมัย และตราสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง และ 4) มีการผลักดันและเจาะตลาดใหม่ที่มีศักยภาพและกำลังซื้อมากขึ้นส่วนทางด้านสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ. กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ได้มีนโยบายช่วยเหลือผู้ส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ไม้ของไทยเช่นกัน โดยการให้ข้อมูล ทางด้านดีไซน์ หรือการออกแบบสินค้าให้มีความสอดคล้องตรงตามความต้องการของลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น และการจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าเฟอร์นิเจอร์ของไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับมากขึ้น โดยจะดำเนินการเป็นระยะเวลา 3 ปีติดต่อกันจากภาวะอุตสาหกรรมและการค้าของสินค้าเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน ตลอดจนการส่งเสริมของทางภาครัฐ จึงนับได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ผลิตและผู้ส่งออกที่เป็นเอสเอ็มอีได้มีโอกาสปรับตัวและพัฒนากิจการของตนเองให้มีศักยภาพสามารถแข่งขันได้ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันในด้านราคา และรูปแบบผลิตภัณฑ์
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-