อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกของไทยมีอัตราการเจริญเติบโตสูงกว่าบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่นๆ และมีบทบาทสำคัญมากสำหรับการเป็นอุตสาหกรรมสนับสนุนของอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้บรรจุภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าอาหารแช่เยือกแข็ง และอาหารพร้อมรับประทาน ซึ่งมีการใช้บรรจุภัณฑ์ค่อนข้างมาก เนื่องจากบรรจุภัณฑ์พลาสติกมีข้อดีที่เป็นประโยชน์มากมาย คือ สามารถป้องกันการซึมผ่านของอากาศและก๊าชได้ระดับหนึ่ง ทนต่อความร้อนหรือเย็น ทนต่อกรดหรือด่าง พลาสติกจะมีลักษณะแข็ง เหนียวและมีความยืดหยุ่นสูง มีน้ำหนักเบา ไม่นำความร้อน ไม่นำไฟฟ้า สามารถขึ้นรูปทรงได้ง่ายหลากหลายรูปแบบและหลากหลายขนาด อีกทั้งยังสามารถปรับให้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานได้อย่างกว้างขวางตามความต้องการใช้ ซึ่งมีการนำมาใช้ทดแทนบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ ได้ เช่น ขวดแก้ว และกระป๋องโลหะ เป็นต้น
ภาวะการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก มีสัดส่วนการผลิตอยู่ในอันดับสองคิดเป็นร้อยละ 25 ของการผลิตบรรจุภัณฑ์รวมทั้งหมด ซึ่งแบ่งออกเป็นการผลิต ถุง กระสอบพลาสติก ขวดพลาสติก กล่องพลาสติก ถาดพลาสติก และถาดโฟม อย่างไรก็ตามบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีมูลค่าตลาดในสัดส่วนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 30-35 ของมูลค่ารวมของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด และมีการเติบโตโดยรวมสูงกว่าบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่นๆ โดยในปี 2546 มีจำนวนผู้ผลิตทั้งหมด 1,337 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ยกเว้นผู้ผลิตรายใหญ่ที่จะกระจายการลงทุนไปยังเขตส่งเสริมการลงทุนในเขตต่างๆ ส่วนผู้ผลิตขนาดกลางมีแนวโน้มจะกระจายการลงทุนไปยังนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ในภูมิภาคมากขึ้น เพื่อขอรับสิทธิการส่งเสริมการลงทุน บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีการผลิตมากที่สุด คือ ถุงพลาสติก มีสัดส่วนการผลิตประมาณร้อยละ 52 ของจำนวนผู้ผลิตทั้งหมด รองลงมาคือ การผลิตกระสอบพลาสติก
ภาวะการตลาดของบรรจุภัณฑ์พลาสติกไทยมีทั้งตลาดภายในประเทศ และต่างประเทศ โดยรวมแล้วมีการแข่งขันทั้งในด้านราคา ด้านคุณภาพและรูปแบบของบรรจุภัณฑ์ โดยผู้ผลิตแต่ละรายพยายามนำเทคนิคการผลิตใหม่ๆ มาใช้ เช่น เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ CAD/CAM/CAE มาช่วยในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้มีลักษณะเหมาะสม สวยงามและสะดวกต่อการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก ขณะที่ผู้ผลิตรายย่อยมุ่งตลาดในประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการผลิตตามคำสั่งซื้อเพื่อป้อนอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ เป็นสำคัญ บรรจุภัณฑ์พลาสติกนอกจากจะผลิตเพื่อสนองความต้องการใช้ภายในประเทศ ซึ่งมีถึงร้อยละ 70 แล้ว ยังเป็นการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ซึ่งปัจจุบันสามารถส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ และนำรายได้เข้าประเทศเป็นมูลค่านับพันล้านบาทในแต่ละปี บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีแนวโน้มในการส่งออกที่ดี ได้แก่ ถุง กล่อง กระสอบ และขวด โดยภาวะการค้าระหว่างประเทศของบรรจุภัณฑ์พลาสติกตั้งแต่ปี 2542-2547(ม.ค.-มิ.ย.) มีดุลการค้าเกินดุลมาโดยตลอด โดยมีอัตราการเติบโตของการส่งออกเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี 2546 มีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 16,717.79 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39.75 จากปี 2545 อย่างไรก็ตามในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 การส่งออกมีอัตราการเติบโตลดลงถึงร้อยละ 29.03 เทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2546 ส่วนด้านการนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปีเช่นเดียวกัน โดยในช่วง 6 เดือนแรกมีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 29.74 เทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2546 (ตารางที่ 1)
ตลาดส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่สำคัญของไทยได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย โดยการส่งออกมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศเหล่านี้ในปี 2547(ม.ค.-มิ.ย.) เท่ากับร้อยละ 28.04, 18.89, 15.73 และ 7.04 ตามลำดับ โดยเฉพาะออสเตรเลียมีอัตราการเติบโตของการส่งออกไปในประเทศนี้สูงมากในปี 2546 ถึงร้อยละ 399.18 จากปี 2545 หรือมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 3,796.51 ล้านบาท ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 การส่งออกไปยังออสเตรเลียมีการลดลงถึงร้อยละ 86.10 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 สำหรับตลาดที่ไทยน่าจะมีการขยายตลาดส่งออกให้ได้มากขึ้น ได้แก่ประเทศกัมพูชา เยอรมนี เบลเยี่ยม สิงคโปร์ และนิวซีแลนด์ เนื่องจากมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546
ตารางที่ 1 สถิติการส่งออกและนำเข้าบรรจุภัณฑ์พลาสติก ปี 2542-2547(ม.ค.-มิ.ย.)
หน่วย: ล้านบาท
มูลค่าการค้า 2542 2543 2544 2545 2546 2546 2547
(ม.ค-มิ.ย.) (ม.ค-มิ.ย.)
มูลค่าการส่งออก 8,179.29 9,848.44 11,120.51 11,962.28 16,717.79 9,386.91 6,661.69
Growth 20.41 12.92 7.57 39.75 -29.03
มูลค่าการนำเข้า 1,643.51 2,119.12 2,809.30 2,997.80 4,107.17 1,963.84 2,547.81
Growth 28.94 32.57 6.71 37.01 29.74
ดุลการค้า 6,535.78 7,729.32 8,311.20 8,964.49 12,610.62 7,423.07 4,113.88
Growth 18.26 7.53 7.86 40.67 -44.58
ที่มา:กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
ถึงแม้ว่าการส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติกในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 จะมีอัตราการขยายตัวลดลง คาดว่าแนวโน้มในสิ้นปี 2547 จะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกไทยได้รับการพัฒนาจนมีคุณภาพได้มาตรฐานและมีรูปแบบเป็นที่นิยมของตลาดต่างประเทศมากขึ้น ประกอบกับผู้ผลิตภายในประเทศมีความได้เปรียบด้านต้นทุนในหลายด้านที่ต่ำกว่าประเทศผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่ง รวมทั้งการที่ไทยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจากประเทศผู้นำเข้าบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ทำให้ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกของไทยสามารถขยายตลาดส่งออกไปได้อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้อุตสาหกรรมที่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกส่วนใหญ่ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเคมี เช่น เครื่องสำอาง ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย และสารเคมีอื่นๆ มีแนวโน้มของการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งย่อมมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกกับสินค้ามากขึ้นเช่นกัน
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ภาวะการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก มีสัดส่วนการผลิตอยู่ในอันดับสองคิดเป็นร้อยละ 25 ของการผลิตบรรจุภัณฑ์รวมทั้งหมด ซึ่งแบ่งออกเป็นการผลิต ถุง กระสอบพลาสติก ขวดพลาสติก กล่องพลาสติก ถาดพลาสติก และถาดโฟม อย่างไรก็ตามบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นบรรจุภัณฑ์ที่มีมูลค่าตลาดในสัดส่วนสูงที่สุดเมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ โดยมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 30-35 ของมูลค่ารวมของบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด และมีการเติบโตโดยรวมสูงกว่าบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่นๆ โดยในปี 2546 มีจำนวนผู้ผลิตทั้งหมด 1,337 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ผลิตขนาดเล็กกระจัดกระจายอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ยกเว้นผู้ผลิตรายใหญ่ที่จะกระจายการลงทุนไปยังเขตส่งเสริมการลงทุนในเขตต่างๆ ส่วนผู้ผลิตขนาดกลางมีแนวโน้มจะกระจายการลงทุนไปยังนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ในภูมิภาคมากขึ้น เพื่อขอรับสิทธิการส่งเสริมการลงทุน บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีการผลิตมากที่สุด คือ ถุงพลาสติก มีสัดส่วนการผลิตประมาณร้อยละ 52 ของจำนวนผู้ผลิตทั้งหมด รองลงมาคือ การผลิตกระสอบพลาสติก
ภาวะการตลาดของบรรจุภัณฑ์พลาสติกไทยมีทั้งตลาดภายในประเทศ และต่างประเทศ โดยรวมแล้วมีการแข่งขันทั้งในด้านราคา ด้านคุณภาพและรูปแบบของบรรจุภัณฑ์ โดยผู้ผลิตแต่ละรายพยายามนำเทคนิคการผลิตใหม่ๆ มาใช้ เช่น เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์ CAD/CAM/CAE มาช่วยในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้มีลักษณะเหมาะสม สวยงามและสะดวกต่อการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก ขณะที่ผู้ผลิตรายย่อยมุ่งตลาดในประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการผลิตตามคำสั่งซื้อเพื่อป้อนอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ เป็นสำคัญ บรรจุภัณฑ์พลาสติกนอกจากจะผลิตเพื่อสนองความต้องการใช้ภายในประเทศ ซึ่งมีถึงร้อยละ 70 แล้ว ยังเป็นการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า ซึ่งปัจจุบันสามารถส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ และนำรายได้เข้าประเทศเป็นมูลค่านับพันล้านบาทในแต่ละปี บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่มีแนวโน้มในการส่งออกที่ดี ได้แก่ ถุง กล่อง กระสอบ และขวด โดยภาวะการค้าระหว่างประเทศของบรรจุภัณฑ์พลาสติกตั้งแต่ปี 2542-2547(ม.ค.-มิ.ย.) มีดุลการค้าเกินดุลมาโดยตลอด โดยมีอัตราการเติบโตของการส่งออกเพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี 2546 มีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 16,717.79 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39.75 จากปี 2545 อย่างไรก็ตามในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 การส่งออกมีอัตราการเติบโตลดลงถึงร้อยละ 29.03 เทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2546 ส่วนด้านการนำเข้าสินค้าในกลุ่มนี้มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปีเช่นเดียวกัน โดยในช่วง 6 เดือนแรกมีการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 29.74 เทียบกับช่วงเดียวกันกับปี 2546 (ตารางที่ 1)
ตลาดส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่สำคัญของไทยได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย โดยการส่งออกมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศเหล่านี้ในปี 2547(ม.ค.-มิ.ย.) เท่ากับร้อยละ 28.04, 18.89, 15.73 และ 7.04 ตามลำดับ โดยเฉพาะออสเตรเลียมีอัตราการเติบโตของการส่งออกไปในประเทศนี้สูงมากในปี 2546 ถึงร้อยละ 399.18 จากปี 2545 หรือมีมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 3,796.51 ล้านบาท ส่วนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 การส่งออกไปยังออสเตรเลียมีการลดลงถึงร้อยละ 86.10 เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546 สำหรับตลาดที่ไทยน่าจะมีการขยายตลาดส่งออกให้ได้มากขึ้น ได้แก่ประเทศกัมพูชา เยอรมนี เบลเยี่ยม สิงคโปร์ และนิวซีแลนด์ เนื่องจากมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2546
ตารางที่ 1 สถิติการส่งออกและนำเข้าบรรจุภัณฑ์พลาสติก ปี 2542-2547(ม.ค.-มิ.ย.)
หน่วย: ล้านบาท
มูลค่าการค้า 2542 2543 2544 2545 2546 2546 2547
(ม.ค-มิ.ย.) (ม.ค-มิ.ย.)
มูลค่าการส่งออก 8,179.29 9,848.44 11,120.51 11,962.28 16,717.79 9,386.91 6,661.69
Growth 20.41 12.92 7.57 39.75 -29.03
มูลค่าการนำเข้า 1,643.51 2,119.12 2,809.30 2,997.80 4,107.17 1,963.84 2,547.81
Growth 28.94 32.57 6.71 37.01 29.74
ดุลการค้า 6,535.78 7,729.32 8,311.20 8,964.49 12,610.62 7,423.07 4,113.88
Growth 18.26 7.53 7.86 40.67 -44.58
ที่มา:กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
ถึงแม้ว่าการส่งออกบรรจุภัณฑ์พลาสติกในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2547 จะมีอัตราการขยายตัวลดลง คาดว่าแนวโน้มในสิ้นปี 2547 จะมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกไทยได้รับการพัฒนาจนมีคุณภาพได้มาตรฐานและมีรูปแบบเป็นที่นิยมของตลาดต่างประเทศมากขึ้น ประกอบกับผู้ผลิตภายในประเทศมีความได้เปรียบด้านต้นทุนในหลายด้านที่ต่ำกว่าประเทศผู้ผลิตรายอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่ง รวมทั้งการที่ไทยได้รับสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรจากประเทศผู้นำเข้าบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ทำให้ผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์พลาสติกของไทยสามารถขยายตลาดส่งออกไปได้อย่างกว้างขวาง นอกจากนี้อุตสาหกรรมที่ใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกส่วนใหญ่ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเคมี เช่น เครื่องสำอาง ยาฆ่าแมลง ปุ๋ย และสารเคมีอื่นๆ มีแนวโน้มของการขยายตัวของอุตสาหกรรมดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งย่อมมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกกับสินค้ามากขึ้นเช่นกัน
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-