1. ฐานเงินและปริมาณเงิน
- ฐานเงินและปริมาณเงินขยายตัวในอัตราที่ทรงตัว
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 อยู่ที่ระดับ 695.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 5.1 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อนหน้า ได้แก่(1)สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น (2)สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่รัฐบาลลดลงจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท.เป็นสำคัญ และ(3)สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่สถาบันการเงินเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตรลดลง
ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ในเดือนกันยายน 2547 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.5 7.4 และ 6.5 ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราที่ทรงตัวจากเดือนก่อน
2. อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
-เงินบาทอ่อนค่าลงจากความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. ของบริษัทน้ำมันและข่าวการระบาดของไข้หวัดนก
-อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดการเงินปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากสภาพคล่องที่ตึงตัว
-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางและระยะยาวปรับลดลงจากความต้องการลงทุนเพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่างประเทศ
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนกันยายน 2547 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 41.47 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ทรงตัวจากค่าเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมที่ระดับ 41.50 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยในช่วงครึ่งแรกของเดือนค่าเงินบาทโน้มอ่อนลงจากความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.ของบริษัทน้ำมันกอปรกับได้รับปัจจัยลบจากการปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลง อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทปรับแข็งขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนจากการที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นการปรับแข็งขึ้นตามค่าเงินในภูมิภาคทั้งนี้ เงินบาทได้อ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงปลายเดือน จากข่าวการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกและราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับค่าเงินบาทเฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-26 ตุลาคม 2547 แข็งค่าขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 41.36 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.แต่ค่อนข้างผันผวน โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ ทั้งดัชนีความเชื่อมั่น การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งข่าวลือจากการที่จีนจะปรับค่าเงินหยวน ส่งผลให้เงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทในเดือนนี้ยังคงได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนกันยายน 2547 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วัน ปรับเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยในเดือนสิงหาคม โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.43 และ 1.45 ต่อปี เนื่องจากสภาพคล่องในระบบตึงตัวขึ้น จากการที่ธนาคารพาณิชย์ต้องกันสำรองเพื่อรองรับการเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดครึ่งปี และการเบิกถอนของลูกค้าเพื่อชำระค่าพันธบัตรออมทรัพย์
สำหรับในช่วงวันที่ 1-26 ตุลาคม 2547 อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.51 และ 1.50 ต่อปี ตามลำดับ โดยสภาพคล่องในช่วงต้นเดือนมีค่อนข้างมาก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์บางแห่งได้รับเงินจากการขายหุ้นบริษัทไทยออยล์ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ในวันที่ 20 ตุลาคม อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน และและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วัน ได้ปรับสูงขึ้นตาม
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนกันยายน 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น ปรับเพิ่มขึ้น ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และผลการประมูลตั๋วเงินคลังในตลาดแรก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและระยะยาวปรับลดลง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีความต้องการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในพันธบัตรระยะยาวเพื่อได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน นอกจากนี้ นักลงทุนมีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับลดลงในระยะยาวภายหลัง ธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในช่วงวันที่ 1-26 ตุลาคม 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทุกระยะปรับขึ้น โดยเฉพาะในช่วงต้นเดือนและปลายเดือน ส่วนใหญ่เป็นไปตามการคาดการณ์ของนักลงทุนต่อการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ทั้งนี้ ในช่วงกลางเดือนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทุกระยะได้ปรับลดลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯภายหลังจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้
3. เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
-สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้น ขณะที่เงินฝากขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
-อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ไม่เปลี่ยนแปลง
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนกันยายน 2547 ขยายตัวร้อยละ 3.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงจากเดือนสิงหาคม โดยเงินฝากที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของภาคธุรกิจ
สินเชื่อภาคเอกชน(รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน)ของธนาคารพาณิชย์ ในเดือนกันยายน 2547 ขยายตัวร้อยละ 9.6 จากระยะเดียวกันปีก่อนและเร่งขึ้นจากเดือนสิงหาคม โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อจากภาคธุรกิจและบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ควบรวมกิจการกับธนาคารทหารไทย และธนาคารดีบีเอสไทยทนุ
สำหรับสินเชื่อภาคเอกชน (รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน)ของธนาคารพาณิชย์ ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนกันยายนมียอดคงค้าง 6,252.2 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนกันยายนและในช่วงวันที่ 1-26 ตุลาคม 2547 คงอยู่ระดับเดิมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
- ฐานเงินและปริมาณเงินขยายตัวในอัตราที่ทรงตัว
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 อยู่ที่ระดับ 695.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 5.1 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวร้อยละ 12.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อนหน้า ได้แก่(1)สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น (2)สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่รัฐบาลลดลงจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท.เป็นสำคัญ และ(3)สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่สถาบันการเงินเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในตลาดซื้อคืนพันธบัตรลดลง
ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ในเดือนกันยายน 2547 ขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 6.5 7.4 และ 6.5 ตามลำดับ ซึ่งเป็นอัตราที่ทรงตัวจากเดือนก่อน
2. อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
-เงินบาทอ่อนค่าลงจากความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ. ของบริษัทน้ำมันและข่าวการระบาดของไข้หวัดนก
-อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดการเงินปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากสภาพคล่องที่ตึงตัว
-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะกลางและระยะยาวปรับลดลงจากความต้องการลงทุนเพิ่มขึ้นของนักลงทุนต่างประเทศ
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนกันยายน 2547 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 41.47 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ทรงตัวจากค่าเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมที่ระดับ 41.50 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยในช่วงครึ่งแรกของเดือนค่าเงินบาทโน้มอ่อนลงจากความต้องการซื้อเงินดอลลาร์ สรอ.ของบริษัทน้ำมันกอปรกับได้รับปัจจัยลบจากการปรับประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยลง อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทปรับแข็งขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนจากการที่นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นการปรับแข็งขึ้นตามค่าเงินในภูมิภาคทั้งนี้ เงินบาทได้อ่อนค่าลงอีกครั้งในช่วงปลายเดือน จากข่าวการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกและราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับค่าเงินบาทเฉลี่ยในช่วงวันที่ 1-26 ตุลาคม 2547 แข็งค่าขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 41.36 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.แต่ค่อนข้างผันผวน โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับค่าเงินสกุลหลักอื่นๆ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าการคาดการณ์ ทั้งดัชนีความเชื่อมั่น การจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม และผลผลิตภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งข่าวลือจากการที่จีนจะปรับค่าเงินหยวน ส่งผลให้เงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทในเดือนนี้ยังคงได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนกันยายน 2547 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วัน ปรับเพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยในเดือนสิงหาคม โดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.43 และ 1.45 ต่อปี เนื่องจากสภาพคล่องในระบบตึงตัวขึ้น จากการที่ธนาคารพาณิชย์ต้องกันสำรองเพื่อรองรับการเรียกเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดครึ่งปี และการเบิกถอนของลูกค้าเพื่อชำระค่าพันธบัตรออมทรัพย์
สำหรับในช่วงวันที่ 1-26 ตุลาคม 2547 อัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.51 และ 1.50 ต่อปี ตามลำดับ โดยสภาพคล่องในช่วงต้นเดือนมีค่อนข้างมาก เนื่องจากธนาคารพาณิชย์บางแห่งได้รับเงินจากการขายหุ้นบริษัทไทยออยล์ อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ในวันที่ 20 ตุลาคม อัตราดอกเบี้ยในตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน และและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วัน ได้ปรับสูงขึ้นตาม
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนกันยายน 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้น ปรับเพิ่มขึ้น ตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และผลการประมูลตั๋วเงินคลังในตลาดแรก ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะกลางและระยะยาวปรับลดลง เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติมีความต้องการลงทุนเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในพันธบัตรระยะยาวเพื่อได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน นอกจากนี้ นักลงทุนมีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะปรับลดลงในระยะยาวภายหลัง ธปท.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ในช่วงวันที่ 1-26 ตุลาคม 2547 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทุกระยะปรับขึ้น โดยเฉพาะในช่วงต้นเดือนและปลายเดือน ส่วนใหญ่เป็นไปตามการคาดการณ์ของนักลงทุนต่อการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ทั้งนี้ ในช่วงกลางเดือนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทุกระยะได้ปรับลดลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯภายหลังจากการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้
3. เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
-สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้น ขณะที่เงินฝากขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
-อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ไม่เปลี่ยนแปลง
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนกันยายน 2547 ขยายตัวร้อยละ 3.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ชะลอลงจากเดือนสิงหาคม โดยเงินฝากที่ลดลงส่วนใหญ่เป็นเงินฝากของภาคธุรกิจ
สินเชื่อภาคเอกชน(รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน)ของธนาคารพาณิชย์ ในเดือนกันยายน 2547 ขยายตัวร้อยละ 9.6 จากระยะเดียวกันปีก่อนและเร่งขึ้นจากเดือนสิงหาคม โดยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อจากภาคธุรกิจและบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ที่ควบรวมกิจการกับธนาคารทหารไทย และธนาคารดีบีเอสไทยทนุ
สำหรับสินเชื่อภาคเอกชน (รวมการถือหลักทรัพย์ของเอกชน)ของธนาคารพาณิชย์ ที่บวกกลับการตัดหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไปบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ ณ สิ้นเดือนกันยายนมียอดคงค้าง 6,252.2 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนกันยายนและในช่วงวันที่ 1-26 ตุลาคม 2547 คงอยู่ระดับเดิมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ร้อยละ 1.00 และ 5.69 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--