สรุปภาวะการค้าไทย-อินเดียระหว่างเดือน ม.ค.-ก.ย.2547

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 4, 2004 15:00 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. อินเดียเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 23 ของโลก โดยมีมูลค่าการนำเข้า 21,606,012,350 เหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.34 (ม.ค.-มี.ค. 2547) 2. แหล่งผลิตสำคัญที่อินเดียนำเข้าในปี 2547 (ม.ค.-มี.ค.) ได้แก่ -สหรัฐฯ ร้อยละ 5.68 มูลค่า 1,227.890 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.51 -จีน ร้อยละ 5.56 มูลค่า 1,202.065 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.89 -เบลเยี่ยม ร้อยละ 5.17 มูลค่า 1,117.143 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.25 -อังกฤษ ร้อยละ 4.38 มูลค่า 946.307 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.67 -ออสเตรเลีย ร้อยละ 4.13 มูลค่า 891.909 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 198.23 ส่วนการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 24 สัดส่วนร้อยละ 0.78 มูลค่า 168.961 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.74 3. อินเดียเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 22 ของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดนี้ (ม.ค.-ก.ย 2547) สัดส่วนการส่งออก 0.93 มีมูลค่าการส่งออก 676.13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.80 หรือร้อยละ 68.29 ของเป้าหมายการส่งออกที่มูลค่า 990.00 ล้านเหรียญสหรัฐ 4. สินค้าไทยส่งออกไปอินเดีย (ม.ค.-ก.ย. 2547) 25 อันดับแรกมีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 80.91 ของมูลค่าการส่งออกโดยรวมไปตลาดนี้ สินค้าสำคัญที่มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 100 มี 8 รายการ คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์สายไฟฟ้า สายเคเบิล สินค้าสำคัญที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกินกว่าร้อยละ 80 มี 3 รายการ คือเม็ดพลาสติก เส้นใยประดิษฐ์ ผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้าที่มีมูลค่าลดลงเกินกว่าร้อยละ 25 มี 1 รายการ คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ความคืบหน้าเรื่องการเจรจา FTA ไทย-อินเดียในช่วงสัปดาห์วันที่ 27 กันยายน-1 ตุลาคม 2547ไทยได้เป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการเจรจาเขตการค้าเสรี (Trade Negotiating Committee: TNC) ไทย-อินเดีย ครั้งที่ 4 ในระหว่างวันที่ 20-22 กันยายน 2547 ณ จังหวัดขอนแก่น สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ - การค้าสินค้า : ทั้งสองฝ่ายตกลงให้แบ่งกลุ่มสินค้าที่จะลด/เลิกภาษี เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มสินค้าปกติ (Normal Track) และกลุ่มสินค้าอ่อนไหว (Sensitive Track) กลุ่มสินค้าอ่อนไหว : ทั้งสองฝ่ายได้หารือเรื่องเพดานจำนวนรายการสินค้า(maximum ceiling)โดยอินเดียเสนอให้กำหนดเพดานที่ร้อยละ 20-25 ของจำนวนรายการสินค้า ซึ่งไทยเห็นว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายจะนำกลับไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในประเทศก่อนที่จะกำหนดรายการสินค้าในกลุ่มอ่อนไหวดังกล่าว - การค้าบริการ ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นต่อร่างความตกลงด้านการค้าบริการที่ฝ่ายอินเดียเป็นผู้ยกร่างขึ้น โดยส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากความตกลงด้านการค้าบริการภายใต้องค์การการค้าโลก (GATS) - การลงทุน ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าร่างข้อบทการลงทุนควรครอบคลุมเนื้อหามากกว่าความตกลงว่าด้วยการ ส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน (Bilateral Investment Protection and Promotion Agreement: BIPA) ที่ไทยและอินเดียได้ลงนามเมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 และยังคงมีผลบังคับใช้ - การนำเข้าสินค้าเกษตรภายใต้ EHS ทั้งสองฝ่ายเห็นควรจัดตั้งคณะทำงานความร่วมมือด้านมาตรการสุขอนามัย รวมทั้งการจัดทำ MRA โดยฝ่ายไทยจะเสนอร่างตัวบทในเรื่องดังกล่าวให้อินเดียพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ อินเดียได้อธิบายขั้นตอนระเบียบปฏิบัติในเรื่อง Plant Quarantine Order 2003 ที่จะต้องมีการจัดทำ Pest Risk Analysis (PRA) สำหรับรายการสินค้าที่นำเข้า ซึ่งไทยได้ขอให้อินเดียเร่งจัดทำ PRA สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญของไทยที่อยู่ภายใต้ Early Harvest Scheme คือ มังคุด ทุเรียน เงาะ ลำไย ทั้งนี้ อินเดียแจ้งว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ - การประชุมครั้งต่อไป กำหนดให้มีขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 พฤศจิกายน 2547 ณ ประเทศไทย กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ข้อคิดเห็น 1. อินเดียเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่เหมาะสมต่อการดำเนินธุรกิจการค้าและการลงทุนแต่เป็นตลาดที่มีความแข่งขันค่อนข้างสูง ผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าไปร่วมทำธุรกิจในตลาดนี้ต้องมี ความพร้อมรวมทั้งจะต้องศึกษากฎหมายและระบบภาษีอย่างละเอียด เพราะระบบการปกครองอินเดียมีทั้งรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ตลอดจนกฎหมายแรงงานที่แตกต่างจากกฎหมายแรงงานของไทย 2. ไทยมีนโยบายเปิดเสรีการค้ากับอินเดีย เนื่องจากมีทรัพยากรจำนวนมากโดยเฉพาะเหล็ก อัญมณี และอื่นๆ ขณะนี้ไทย-อินเดียได้ลงนามในข้อตกลงเร่งรัดภาษีระหว่างกัน ในสินค้า 82 รายการครอบคลุมทั้งภาคอุตสาหกรรมและเกษตร สินค้าไทยที่มีศักยภาพในตลาดอินเดียหลายรายการ เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ ส่วนสินค้าเกษตรที่ภาครัฐบาลพยายามผลักดัน เช่น ผลไม้และผลไม้กระป๋อง เป็นต้น 3. อินเดียและไทยนอกจากจะเป็นคู่ค้าในสินค้าชิ้นส่วนรถยนต์และเครื่องประดับระหว่างกัน และยังเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของทั้งสองประเทศอีกด้วย ดังนั้นจึงควรร่วมมือซึ่งกันและกันในการผลิตเพื่อส่งออกสู่ตลาดโลก ส่วนอุตสาหกรรมอื่นที่มีการร่วมมือกันแล้ว เช่น อุตสาหกรรมไอที ไบโอเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาการเกษตรและยารักษาโรคเป็นต้น 4. อินเดียมองประเทศไทยว่าเป็นประเทศพันธมิตรทั้งด้านการค้าและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เนื่องจากนักธุรกิจอินเดียได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นจำนวนมากและส่วนใหญ่ได้รับการยอมรับจากนักธุรกิจไทย ดังนั้นอินเดียจึงมุ่งสร้างความสัมพันธ์กับประเทศไทยทั้งด้านนโยบายการต่างประเทศ การเมือง วัฒนธรรม รวมทั้งวิทยาศาสตร์ด้วย ที่มา: http://www.depthai.go.th-ดท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ