ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. เอ็นพีแอลของสถาบันการเงินไทยในเดือน ก.ย.48 ลดลงเหลือร้อยละ 9.93 รายงานจาก
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.รายงานยอดหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของ
สถาบันการเงินในเดือน ก.ย.48 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 9.93 หรือคิดเป็นเงินจำนวน 576,894.46 ล้านบาท
ของยอดสินเชื่อ ซึ่งเป็นการลดลงเร็วกว่าเป้าหมายที่ ธปท.เคยคาดไว้ว่า จะลดเอ็นพีแอลในส่วนของ ธพ.และ
บง.ให้เหลือร้อยละ 10 ของสินเชื่อภายในสิ้นปีนี้ หากเทียบกับสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อในช่วงเดียวกันของปีก่อน
สถาบันการเงินทั้งระบบมีสัดส่วนเอ็นพีแอล 628,047.76 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.41 ของสินเชื่อรวม
ส่วนเดือน ส.ค.ที่ผ่านมามีเอ็นพีแอล 583,976.03 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.32 ของสินเชื่อรวม ขณะที่ ผอ.
ฝ่ายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธปท.กล่าวถึงสัดส่วนของเอ็นพีแอลว่า ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งน่าจะมีผลจากการที่ต้น
ทุนด้านดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และการที่มีเอ็นพีแอลใหม่เข้ามาในระบบน้อยลงรวมถึงการที่กรมบังคับคดีสามารถ
ขายสินทรัพย์ได้เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนแนวโน้มเอ็นพีแอลไตรมาส 4 ปีนี้จะมีสัดส่วนน้อยลงเพราะการ
ขยายตัวของเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อดีขึ้น และความสามารถการชำระหนี้ของภาค
ธุรกิจจะดีขึ้นด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน , โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์, มติชน, แนวหน้า)
2. ก.คลังเตรียมยกร่างแผนพัฒนาตลาดทุนระยะ 5 ปี รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วม
กับ นรม.และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือถึงมาตรการรองรับการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรีในอนาคต
ว่า วัตถุประสงค์ของมาตรการดังกล่าวคือ การดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศที่กระจายอยู่ทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านล้าน
ดอลลาร์ สรอ.เข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันตลาดทุนภาคเอกชนได้มีบทบาทและเปิดเสรีมากขึ้น
ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการต่าง ๆ ไว้รองรับการพัฒนาตลาดเงินตลาดทุนในประเทศให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะตลาดทุน
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างแผนพัฒนาระยะ 5 ปี โดยมาตรการระยะสั้น คือ ร่างแผนการพัฒนาตลาดทุนที่ ก.
คลังจะต้องทำรายละเอียดเพื่อเสนอ นรม.อีกครั้งภายในเดือน พ.ย.นี้ และจะบังคับใช้ในช่วงต้นปี 49 (ผู้จัดการ
รายวัน, โลกวันนี้, เดลินิวส์, แนวหน้า, ข่าวสด)
3. เอฟทีเอไทย-จีน ไทยประสบภาวะขาดดุลการค้า ขณะจีนกลับเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้น นายสม
เกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า หลังจากที่ไทยมี
ข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับจีนในรายการสินค้าเร่งลดภาษี พิกัด 01-08 (ผักและผลไม้) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.
ค.46 และเอฟทีเอกรอบอาเซียน-จีน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.47 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งครบรอบ 2 ปีแล้วนั้น แม้ว่าเอฟทีเอ
ไทย-จีนจะไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยประสบภาวะขาดดุลการค้าในปัจจุบัน แต่การค้าของจีนกลับเกินดุลการค้า
เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อจีน โดยเฉพาะการเพิ่มสวัสดิการของประชาชนและการปรับโครงสร้างการผลิตของ
ประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจากการคำนวณสวัสดิการที่ประชาชนจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อจากการ
บริโภคเพิ่ม และเงินออมที่จะเป็นการบริโภคในอนาคตพบว่า เอฟทีเอไทย-จีน (กรณีเปิดทุกสินค้า) ไทยจะมี
สวัสดิการสังคม 580.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่จีนได้ 527 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ผลที่ได้จะยิ่งลดลงในการเปิด
เสรีกรอบอาเซียนกับจีน (ทุกสินค้า) โดยไทยมีสวัสดิการเศรษฐกิจเพียง 521 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่จีนมี
1,410 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายปลีกของญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ
การบริโภคส่วนบุคคล รายงานจากโตเกียวเมื่อ 27 ต.ค.48 The Ministry of Economy, Trade and
Industry เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เทียบต่อปี เป็นการเพิ่มขึ้นต่อ
เนื่องเป็นเดือนที่ 7 แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1.8 และเมื่อเทียบต่อเดือน
โดยปรับตามฤดูกาลแล้ว ยอดขายปลีกลดลงร้อยละ 0.8 โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง
ประกอบกับยอดขายของห้างสรรพสินค้า ร้านค้าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และร้านอาหาร ชะลอลง โดยเฉพาะยอดขาย
เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มสำหรับฤดูหนาว ซึ่งปกติจะเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงเดือน ก.ย.ของทุกปี แต่เนื่องจากอากาศที่ร้อน
เกินกว่าปกติในปีนี้ ส่งผลให้ยอดขายสินค้าดังกล่าวชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อนึ่ง ยอดขายปลีกที่
เพิ่มขึ้นต่ำกว่าความคาดหมาย ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่ง
นอกเหนือจากการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของธุรกิจและการส่งออก ที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ใน
ประเทศ (จีดีพี) ให้เติบโตต่อเนื่องมาเป็นไตรมาสที่ 3 แล้ว (รอยเตอร์)
2. ผลกำไรในภาคอุตสาหกรรมของจีนในช่วงเดือนม.ค — ก.ย. ชะลอลง รายงานจากปักกิ่งเมื่อ
วันที่ 26 ต.ค. 48 สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้กิจการอุตสาหกรรมของ
จีนมีกำไรรวม 988.3 พัน ล.หยวน (122.4 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ
20.1 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 20.7 ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ทั้งนี้สำนักงานสถิติมิได้รายงานตัวเลข
กำไรเฉพาะของเดือนก.ย. นักวิเคราะห์กล่าวว่าการชะลอลงของผลกำไรในภาคอุตสาหกรรมของปีนี้เทียบกับที่
กำไรถึงร้อยละ 38 เมื่อปีที่แล้วเป็นสัญญานที่บ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของอุปสงค์ในประเทศและเป็นการส่งสัญญานว่า
เศรษฐกิจโดยรวมลดความร้อนแรงลง อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าการที่ภาคอุตสาหกรรมมีกำไรมาก
ดังกล่าวเนื่องจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์จากระบบผูกขาดของทางการจีน ดังนั้นตัวเลขกำไร
อุตสาหกรรมจึงเป็นเพียงทิศทางอย่างเคร่าๆของแนวโน้มการทำกำไร อนึ่งในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้เศรษฐกิจจีนเติบ
โตร้อยละ 9.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 9 อย่างต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 9 แล้ว แต่นัก
เศรษฐศาสตร์บางคนคาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะชะลอลงท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนตัวลง อัตราเงินเฟ้อ และ
ผลกำไรที่ลดลง อย่างไรก็ตามการส่งออกที่แข็งแกร่งยังคงช่วยให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวต่อไปได้ ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 46
เป็นต้นมารัฐบาลจีนได้ใช้มาตรการการเงินเข้มงวดเพื่อชะลอภาวะความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีนที่ขยาย
ตัวอย่างมากเป็นบางภาคอุตสาหกรรมอาทิ อสังหาริมทรัพย์ เหล็กกล้า และซีเมนต์ เพื่อหลีกเลี่ยงประสิทธิภาพการ
ผลิตส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจ(รอยเตอร์)
3. ผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจาก
สิงคโปร์ เมื่อ 26 ต.ค.48 ผลผลิตอุตสาหกรรมยาที่หลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 จากเดือน
ก่อน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบต่อปีเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันและเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากปีก่อน จากความต้องการยาที่เพิ่มขึ้น
ใน สรอ.และยุโรป และผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของผลผลิตโรงงานทั้งหมด
และประมาณครึ่งหนึ่งของยอดส่งออกที่ไม่ใช่น้ำมันของสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.
ย.48 ส่งผลให้ผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน ก.ย.48 หลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 9.6 จากเดือนก่อน สูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.48 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ต่อเดือนในเดือน ส.
ค.48 ในขณะที่รอยเตอร์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลงร้อยละ 1.3 ต่อเดือน โดยหากเทียบต่อปีแล้ว ผลผลิตโรงงาน
เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.1 ต่อปี สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 ต่อปี ตัวเลขผลผลิตโรงงานที่เพิ่มขึ้นในเดือน
ก.ย.48 ทำให้คาดกันว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ปีนี้อีกร้อยละ
1 - 1.5 ต่อปี จากร้อยละ 3.2 ต่อปีที่คาดไว้เมื่อต้นเดือนนี้โดยมีกำหนดจะประกาศตัวเลขครั้งสุดท้ายในเดือน พ.ย.48 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 3.9 รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 26 ต.ค.48 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ 12 คน คาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 3.9 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับร้อยละ 3.6 ในการ
สำรวจเมื่อเดือน ก.ค.48 แต่ลดลงจากที่เติบโตร้อยละ 4.6 ในปี 47 ทั้งนี้ การปรับตัวเลขประมาณการจีดีพีเพิ่ม
ขึ้นในครั้งนี้มีขึ้นก่อนที่ทางการจะเปิดเผยข้อมูลการบริโภคภายในประเทศในไตรมาส 3 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ
เกือบ 2 ปี ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ธ.กลางเกาหลีใต้อาจจะจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ส่วน
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 49 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.8 ซึ่งต่ำกว่าที่ ธ.กลางเกาหลีใต้คาดการณ์
ไว้เมื่อเดือนก่อนที่ระดับร้อยละ 5.0 ในขณะที่สถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศ (Korea Development
Institute - KDI) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในปีนี้จะก้าวหน้าร้อยละ 3.9 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ
5.0 ในปี 49 โดย KDI มองว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.5 ในปีนี้หลังจากที่ชะลอลงในช่วง 2
ปีที่ผ่านมา สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับร้อยละ 3.0 เมื่อเดือน ก.ค.48 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.6 ในปี 49
ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะคงอยู่ในระดับดีทั้งในปีนี้และปีหน้าแม้ว่าราคาน้ำมันจะคงอยู่ในระดับสูงและความ
ต้องการบริโภคภายในประเทศจะกำลังฟื้นตัวขึ้น โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในปีนี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 อย่างไรก็
ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะทำให้การเกินดุลการค้าของเกาหลีใต้ลดลง เนื่องจากเกาหลีใต้ต้องนำเข้าน้ำมัน
ทั้งหมดจากต่างประเทศ โดยคาดว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ 1 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล จะทำให้เกาหลี
ใต้เกินดุลการค้าลดลงประมาณ 800 ล้านดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 ต.ค. 48 26ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.807 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6188/40.9092 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.79125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 685.04/ 11.04 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,100/9,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.34 54.51 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 26 ต.ค. 48 26.54*/23.79 26.54*/23.79 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 21 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. เอ็นพีแอลของสถาบันการเงินไทยในเดือน ก.ย.48 ลดลงเหลือร้อยละ 9.93 รายงานจาก
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.รายงานยอดหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของ
สถาบันการเงินในเดือน ก.ย.48 ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 9.93 หรือคิดเป็นเงินจำนวน 576,894.46 ล้านบาท
ของยอดสินเชื่อ ซึ่งเป็นการลดลงเร็วกว่าเป้าหมายที่ ธปท.เคยคาดไว้ว่า จะลดเอ็นพีแอลในส่วนของ ธพ.และ
บง.ให้เหลือร้อยละ 10 ของสินเชื่อภายในสิ้นปีนี้ หากเทียบกับสัดส่วนเอ็นพีแอลต่อสินเชื่อในช่วงเดียวกันของปีก่อน
สถาบันการเงินทั้งระบบมีสัดส่วนเอ็นพีแอล 628,047.76 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 11.41 ของสินเชื่อรวม
ส่วนเดือน ส.ค.ที่ผ่านมามีเอ็นพีแอล 583,976.03 ล้านบาท หรือร้อยละ 10.32 ของสินเชื่อรวม ขณะที่ ผอ.
ฝ่ายปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ธปท.กล่าวถึงสัดส่วนของเอ็นพีแอลว่า ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งน่าจะมีผลจากการที่ต้น
ทุนด้านดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับต่ำ และการที่มีเอ็นพีแอลใหม่เข้ามาในระบบน้อยลงรวมถึงการที่กรมบังคับคดีสามารถ
ขายสินทรัพย์ได้เกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ส่วนแนวโน้มเอ็นพีแอลไตรมาส 4 ปีนี้จะมีสัดส่วนน้อยลงเพราะการ
ขยายตัวของเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อดีขึ้น และความสามารถการชำระหนี้ของภาค
ธุรกิจจะดีขึ้นด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน , โพสต์ทูเดย์, เดลินิวส์, มติชน, แนวหน้า)
2. ก.คลังเตรียมยกร่างแผนพัฒนาตลาดทุนระยะ 5 ปี รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วม
กับ นรม.และตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือถึงมาตรการรองรับการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรีในอนาคต
ว่า วัตถุประสงค์ของมาตรการดังกล่าวคือ การดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศที่กระจายอยู่ทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านล้าน
ดอลลาร์ สรอ.เข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันตลาดทุนภาคเอกชนได้มีบทบาทและเปิดเสรีมากขึ้น
ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการต่าง ๆ ไว้รองรับการพัฒนาตลาดเงินตลาดทุนในประเทศให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะตลาดทุน
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างแผนพัฒนาระยะ 5 ปี โดยมาตรการระยะสั้น คือ ร่างแผนการพัฒนาตลาดทุนที่ ก.
คลังจะต้องทำรายละเอียดเพื่อเสนอ นรม.อีกครั้งภายในเดือน พ.ย.นี้ และจะบังคับใช้ในช่วงต้นปี 49 (ผู้จัดการ
รายวัน, โลกวันนี้, เดลินิวส์, แนวหน้า, ข่าวสด)
3. เอฟทีเอไทย-จีน ไทยประสบภาวะขาดดุลการค้า ขณะจีนกลับเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้น นายสม
เกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักวิชาการ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยว่า หลังจากที่ไทยมี
ข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับจีนในรายการสินค้าเร่งลดภาษี พิกัด 01-08 (ผักและผลไม้) ตั้งแต่วันที่ 1 ต.
ค.46 และเอฟทีเอกรอบอาเซียน-จีน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.47 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งครบรอบ 2 ปีแล้วนั้น แม้ว่าเอฟทีเอ
ไทย-จีนจะไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยประสบภาวะขาดดุลการค้าในปัจจุบัน แต่การค้าของจีนกลับเกินดุลการค้า
เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อจีน โดยเฉพาะการเพิ่มสวัสดิการของประชาชนและการปรับโครงสร้างการผลิตของ
ประเทศให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจากการคำนวณสวัสดิการที่ประชาชนจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นกำลังซื้อจากการ
บริโภคเพิ่ม และเงินออมที่จะเป็นการบริโภคในอนาคตพบว่า เอฟทีเอไทย-จีน (กรณีเปิดทุกสินค้า) ไทยจะมี
สวัสดิการสังคม 580.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่จีนได้ 527 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ผลที่ได้จะยิ่งลดลงในการเปิด
เสรีกรอบอาเซียนกับจีน (ทุกสินค้า) โดยไทยมีสวัสดิการเศรษฐกิจเพียง 521 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่จีนมี
1,410 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ยอดขายปลีกของญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 ก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับ
การบริโภคส่วนบุคคล รายงานจากโตเกียวเมื่อ 27 ต.ค.48 The Ministry of Economy, Trade and
Industry เปิดเผยว่า ยอดขายปลีกของญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เทียบต่อปี เป็นการเพิ่มขึ้นต่อ
เนื่องเป็นเดือนที่ 7 แต่ต่ำกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1.8 และเมื่อเทียบต่อเดือน
โดยปรับตามฤดูกาลแล้ว ยอดขายปลีกลดลงร้อยละ 0.8 โดยมีสาเหตุจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับสูง
ประกอบกับยอดขายของห้างสรรพสินค้า ร้านค้าเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม และร้านอาหาร ชะลอลง โดยเฉพาะยอดขาย
เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มสำหรับฤดูหนาว ซึ่งปกติจะเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงเดือน ก.ย.ของทุกปี แต่เนื่องจากอากาศที่ร้อน
เกินกว่าปกติในปีนี้ ส่งผลให้ยอดขายสินค้าดังกล่าวชะลอลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อนึ่ง ยอดขายปลีกที่
เพิ่มขึ้นต่ำกว่าความคาดหมาย ก่อให้เกิดความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคส่วนบุคคล ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่ง
นอกเหนือจากการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของธุรกิจและการส่งออก ที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ใน
ประเทศ (จีดีพี) ให้เติบโตต่อเนื่องมาเป็นไตรมาสที่ 3 แล้ว (รอยเตอร์)
2. ผลกำไรในภาคอุตสาหกรรมของจีนในช่วงเดือนม.ค — ก.ย. ชะลอลง รายงานจากปักกิ่งเมื่อ
วันที่ 26 ต.ค. 48 สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้กิจการอุตสาหกรรมของ
จีนมีกำไรรวม 988.3 พัน ล.หยวน (122.4 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ.) เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ
20.1 ชะลอลงจากที่ขยายตัวร้อยละ 20.7 ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ทั้งนี้สำนักงานสถิติมิได้รายงานตัวเลข
กำไรเฉพาะของเดือนก.ย. นักวิเคราะห์กล่าวว่าการชะลอลงของผลกำไรในภาคอุตสาหกรรมของปีนี้เทียบกับที่
กำไรถึงร้อยละ 38 เมื่อปีที่แล้วเป็นสัญญานที่บ่งชี้ถึงการอ่อนตัวของอุปสงค์ในประเทศและเป็นการส่งสัญญานว่า
เศรษฐกิจโดยรวมลดความร้อนแรงลง อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่าการที่ภาคอุตสาหกรรมมีกำไรมาก
ดังกล่าวเนื่องจากอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้รับประโยชน์จากระบบผูกขาดของทางการจีน ดังนั้นตัวเลขกำไร
อุตสาหกรรมจึงเป็นเพียงทิศทางอย่างเคร่าๆของแนวโน้มการทำกำไร อนึ่งในช่วงไตรมาสที่ 3 ปีนี้เศรษฐกิจจีนเติบ
โตร้อยละ 9.4 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 9 อย่างต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 9 แล้ว แต่นัก
เศรษฐศาสตร์บางคนคาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะชะลอลงท่ามกลางอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนตัวลง อัตราเงินเฟ้อ และ
ผลกำไรที่ลดลง อย่างไรก็ตามการส่งออกที่แข็งแกร่งยังคงช่วยให้เศรษฐกิจจีนขยายตัวต่อไปได้ ทั้งนี้นับตั้งแต่ปี 46
เป็นต้นมารัฐบาลจีนได้ใช้มาตรการการเงินเข้มงวดเพื่อชะลอภาวะความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีนที่ขยาย
ตัวอย่างมากเป็นบางภาคอุตสาหกรรมอาทิ อสังหาริมทรัพย์ เหล็กกล้า และซีเมนต์ เพื่อหลีกเลี่ยงประสิทธิภาพการ
ผลิตส่วนเกินในระบบเศรษฐกิจ(รอยเตอร์)
3. ผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน ก.ย.48 เพิ่มขึ้นสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจาก
สิงคโปร์ เมื่อ 26 ต.ค.48 ผลผลิตอุตสาหกรรมยาที่หลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 70 จากเดือน
ก่อน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบต่อปีเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันและเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าจากปีก่อน จากความต้องการยาที่เพิ่มขึ้น
ใน สรอ.และยุโรป และผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของผลผลิตโรงงานทั้งหมด
และประมาณครึ่งหนึ่งของยอดส่งออกที่ไม่ใช่น้ำมันของสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 ต่อปี สูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.
ย.48 ส่งผลให้ผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ในเดือน ก.ย.48 หลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 9.6 จากเดือนก่อน สูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.48 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ต่อเดือนในเดือน ส.
ค.48 ในขณะที่รอยเตอร์คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลงร้อยละ 1.3 ต่อเดือน โดยหากเทียบต่อปีแล้ว ผลผลิตโรงงาน
เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.1 ต่อปี สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 ต่อปี ตัวเลขผลผลิตโรงงานที่เพิ่มขึ้นในเดือน
ก.ย.48 ทำให้คาดกันว่ารัฐบาลสิงคโปร์จะปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ปีนี้อีกร้อยละ
1 - 1.5 ต่อปี จากร้อยละ 3.2 ต่อปีที่คาดไว้เมื่อต้นเดือนนี้โดยมีกำหนดจะประกาศตัวเลขครั้งสุดท้ายในเดือน พ.ย.48 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 3.9 รายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 26 ต.ค.48 สำนักข่าวรอยเตอร์เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์ 12 คน คาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 3.9 เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับร้อยละ 3.6 ในการ
สำรวจเมื่อเดือน ก.ค.48 แต่ลดลงจากที่เติบโตร้อยละ 4.6 ในปี 47 ทั้งนี้ การปรับตัวเลขประมาณการจีดีพีเพิ่ม
ขึ้นในครั้งนี้มีขึ้นก่อนที่ทางการจะเปิดเผยข้อมูลการบริโภคภายในประเทศในไตรมาส 3 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ
เกือบ 2 ปี ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ธ.กลางเกาหลีใต้อาจจะจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ส่วน
อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 49 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.8 ซึ่งต่ำกว่าที่ ธ.กลางเกาหลีใต้คาดการณ์
ไว้เมื่อเดือนก่อนที่ระดับร้อยละ 5.0 ในขณะที่สถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศ (Korea Development
Institute - KDI) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในปีนี้จะก้าวหน้าร้อยละ 3.9 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ
5.0 ในปี 49 โดย KDI มองว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.5 ในปีนี้หลังจากที่ชะลอลงในช่วง 2
ปีที่ผ่านมา สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ระดับร้อยละ 3.0 เมื่อเดือน ก.ค.48 และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.6 ในปี 49
ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะคงอยู่ในระดับดีทั้งในปีนี้และปีหน้าแม้ว่าราคาน้ำมันจะคงอยู่ในระดับสูงและความ
ต้องการบริโภคภายในประเทศจะกำลังฟื้นตัวขึ้น โดยดัชนีราคาผู้บริโภคในปีนี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.0 อย่างไรก็
ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจะทำให้การเกินดุลการค้าของเกาหลีใต้ลดลง เนื่องจากเกาหลีใต้ต้องนำเข้าน้ำมัน
ทั้งหมดจากต่างประเทศ โดยคาดว่าการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ 1 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล จะทำให้เกาหลี
ใต้เกินดุลการค้าลดลงประมาณ 800 ล้านดอลลาร์ สรอ. (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 ต.ค. 48 26ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.807 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6188/40.9092 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.79125 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 685.04/ 11.04 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,100/9,200 9,100/9,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53.34 54.51 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 26 ต.ค. 48 26.54*/23.79 26.54*/23.79 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 21 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--