สรุปภาวะการค้าระหว่างไทย-สหรัฐระหว่างเดือน ม.ค.- ก.ย. 2547

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 10, 2004 10:33 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 1 ของโลก ในช่วงม.ค.-ส.ค.47 มีมูลค่าการนำเข้ารวม 946,436,497,976 เหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.94 2. แหล่งผลิตสำคัญที่สหรัฐอเมริกานำเข้าในปี 2547 (ม.ค.-ส.ค.) ได้แก่ -แคนาดา ร้อยละ 17.73 มูลค่า 167,802.698 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.65 -จีน ร้อยละ 12.84 มูลค่า 121,476.340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.39 -เม็กซิโก ร้อยละ 10.71 มูลค่า 101,322.012 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.37 -ญี่ปุ่น ร้อยละ 8.99 มูลค่า 85,057.857 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.92 ส่วนการนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 16 สัดส่วนร้อยละ 1.18 มูลค่า 11,162.615 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.70 3. อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา บริษัทในตลาดวอลล์ สตรีทที่ร่วมการสำรวจของสมาคมพันธบัตรของประเทศสหรัฐอเมริกาคาดว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปี 2547 จะขยายตัวในอัตรา 4.7% เพิ่มขึ้นจากปี 2546 3.1% และคาดว่าในปี 2548 จะลดลงมาอยู่ที่ 3.9% 4. สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับหนึ่งของไทย โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปตลาดนี้ (ม.ค.-ก.ย 2547) ร้อยละ 15.89 มีมูลค่า 11,350.12 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.89 5. ข้อมูลเพิ่มเติมและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช และนายจอห์น เคอร์รี่ ที่มีคะแนนที่ใกล้เคียงกันมากและมีแนวโน้มว่าบุชจะได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์ได้ให้ข้อคิดเห็นว่า ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะก็ไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจมากนัก อีกทั้งยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาที่สหรัฐฯ กำลังเผชิญอยู่ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะภาวะขาดดุลงบประมาณ ดุลบัญชีเดินสะพัด และมีแนวโน้มสูงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจถดถอยเป็นเวลานาน เนื่องจากไม่มีผู้สมัครคนใดพูดถึงความท้าทายของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาว ทั้งนี้ปฎิเสธไม่ได้ว่าปัญหาส่วนหนึ่งมาจากประชากรและรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังใช้ชีวิตเกินกว่าเกณฑ์เฉลี่ย สำนักงานซินหัวไฟแนนเชียล-เอเชีย รายงานว่าวาณิชธนกิจเมอร์ริล ลินซ์ เชื่อว่าคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2547 และคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2548 จะทรงตัวอยู่ที่ ระดับ 3% ในส่วนสินค้ากุ้งส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้มีมติเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (antidumping หรือ AD) กุ้งไทยในเบื้องต้นอัตราภาษีระหว่าง 5.56-10.25% เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา ตามคำฟ้องของกลุ่มพันธมิตรชาวประมงกุ้งภาคใต้ 8 มลรัฐ (southern shrimp alliance หรือ SSA) และจะประกาศผลการไต่สวนขั้นสุดท้ายในวันที่ 17 ธันวาคม 2547 ทั้งนี้อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี สหรัฐฯ นางฉวีวรรณ จันทนภุมมะ กล่าวว่า -สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะนำวิธีการคำนวณแบบ “zeroing” คือไม่นำรายการขายในตลาดสหรัฐฯ ที่ราคาสูงกว่าตลาดต่างประเทศ หรือสูงกว่าต้นทุนการผลิตรวมกำไรมาคำนวณ ซึ่งจะส่งผลให้อัตรา AD ของผู้ส่งออกไทยสูงกว่าที่ควรจะเป็น -กลุ่มพันธมิตรชาวประมงกุ้งมีแนวโน้มว่า จะขอให้นำกฎหมาย “The U.S. Dumping and Subsidy Offset Act of 2000” หรือ “Byrd Amendment” มาใช้ เพื่อให้ศุลกากรสหรัฐฯ สามารถนำภาษี AD มาชดเชยให้กับอุตสาหกรรมกุ้งภายในที่ได้รับผลกระทบจากการทุ่มตลาดได้ ส่งผลให้กลุ่มผู้ฟ้องพยายามให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษี AD ในอัตราสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากมาตรการดังกล่าวกลุ่ม 9 สมาคมของไทย ที่นำเข้าถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบที่ใช้เลี้ยงปศุสัตว์และกุ้ง เช่น สมาคมกุ้งไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็ง สมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์น้ำไทย ฯลฯ ได้รวมตัวกันที่จะไม่นำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ ตัดสินใจในขั้นสุดท้ายที่จะเก็บภาษี AD จากไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อชาวไร่จนถึงผู้ส่งออกเมล็ดถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ประธานสมาคมถั่วเหลืองอเมริกัน (ASA) นายนีล เบรเดโฮฟท์ ได้ยื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ นายดอน อีแวนส์ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2547 แจ้งความประสงค์ให้รัฐบาลสหรัฐฯระงับเรื่องการเพิ่มภาษีศุลกากรต่อการนำเข้ากุ้งจากไทยก่อนจะทำการตัดสินชี้ขาดในวันที่ 17 ธันวาคม 2547 เนื่องจากอาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการส่งออกถั่วเหลืองมาไทยและอุตสาหกรรมถั่วเหลืองของสหรัฐฯ ประเด็นวิเคราะห์: หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากมอร์แกน สแตนเลย์ วานิชธนกิจ นายสตีเฟน รอช กล่าวเตือนเอเซียโดยเฉพาะจีน รับมือการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ ที่จะเข้มข้นขึ้นเตรียมตัวให้พร้อมกับความเป็นไปได้ที่จะเกิดความขัดแย้งทางการค้าอย่างรุนแรง ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากสหรัฐฯ ได้รับการกดดันให้ยอมรับการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมูลค่ามหาศาล เพื่อระดมเงินใส่ในงบประมาณที่ขาดแคลนซึ่งเกิดจากการดำเนินงานโดยรัฐบาล ประกอบกับการใช้จ่ายอย่างฟุ้มเฟือยของชาวอเมริกัน ภาคเอกชนไทยให้ความเห็นว่าเมื่อ “จอร์จ ดับเบิลยู บุช” จะกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 41 และเชื่อว่าจะส่งผลให้การค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกรอบเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สหรัฐฯ เดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ตามก็ยังมีหลายฝ่ายหวั่นผลกระทบทางเศรษฐกิจกล่าวคือ -การเปิดเสรีสิ่งทอหลังระบบโควต้าหมดในปี 2548 จะกระทบต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอโดยรวมของไทย เนื่องจากผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมบางรายยังไม่พร้อมปรับตัวรับสถาณการณ์ -ทั้งภาครัฐและเอกชนไทยจะต้องเตรียมความพร้อมและเร่งปรับโครงสร้างภายในเพื่อรับมือกับเอฟทีเอ เช่น เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ระบบภาษี ฯลฯ -ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษทหลักทรัพย์ (บล.)ภัทร ให้ความเห็นว่า เศรษฐกิจโลกไม่ได้ขึ้นกับผู้นำสหรัฐฯ ดังนั้นนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการคลังจะมีการนำมาใช้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รศ.ดร.สมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเตือนว่า ให้ประเทศไทยควรเตรียมรับการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้รศ.ดร.สมภพ ได้เปรียบเทียบถึงผลดีและผลเสียของนโยบายระหว่างนายจอร์จ ดับเบิลยู บุช และนายจอห์น เคอร์รี่ ดังนี้หัวข้อ นายจอร์จ ดับเบิลยู บุช นายจอห์น เคอร์รี่เศรษฐกิจ ผลดี : ยึดแนวคิดแบบเสรีนิยม จะทำให้มี ผลดี : จะบริหารจัดการความมั่นคง ความต่อเนื่องเรื่องการเจรจาการค้าเสรี และลดบทบาทความเป็นประเทศมหาอำนาจ แบบโดดเดี่ยวของสหรัฐฯ ลง ผลเสีย : นิยมใช้มาตรการเฉียบขาด ซึ่งจะ ผลเสีย : มีความพยายามในการปกป้อง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของโลก ตลาดในประเทศสูงขึ้นโดยใช้มาตรการกีดกัน ที่ไม่ใช่ภาษี มีมาตรการการปกป้องการย้าย ฐานแรงงาน และไม่เห็นด้วยกับการทำ เอฟทีเอทวิภาคี อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยสูง เป็นปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกลดลง จากปีนี้ที่คาดว่าจะเติบโตร้อยละ 4.3 ปี 2548 จะลดลงเหลือ ร้อยละ 3.4 ซึ่งทำให้คาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะอยู่ที่ร้อยละ 5.5 และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ อุตสาหกรรมภาคบริการ เช่น สถาบันการเงิน ขนส่ง การศึกษา ฯลฯ อาจได้รับผลกระทบต่อแนวทางการเปิดเสรีเอฟทีเอระหว่างประเทศไทย-สหรัฐฯ ที่มา: http://www.depthai.go.th-ดท-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ