ต่อข้อถามที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์แจกหนังสือ 20 ที่สุดรัฐบาลทักษิณ แจกกับประชาชน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า หนังสือ 20 ที่รัฐบาล นายตรีพล เจาะจิตต์ เป็นผู้รวบรวมข้อมูล ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบของการทำงานรัฐบาล ซึ่งหนังสือเล่มนี้ เป็นความตั้งใจในการทำงานในการตรวจสอบ และเพื่อเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ
ต่อข้อถามเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายอภิสิทธิ กล่าวว่าความห่วงใยต่อสถานการณ์ภาคใต้ยังมีมาก ตนสังเกตจากการพบประประชาชนตามพื้นที่ต่าง ในการสนทนาจะมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นใน ตนคิดว่ารัฐบาลควรจะทบทวนและปรับท่าที เพราะตนเห็นจากการสัมภาษณ์ของนายกฯ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับท่าทีมาในทางที่ดีขึ้น ในแง่ที่บอกว่าสิ่งสำคัญคือว่าจะทำอย่างไรจะไม่ไปเข้าทางของผู้ก่อความไม่สงบ นั้นก็คือว่าไม่คิดเอาแต่ความสะใจ คิดจะใช้วิธีรุนแรง เพราะว่าแม้จะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่เป็นการยั่วยุ แต่หากรัฐตกหลุมไป จะทำให้เกิดปัญหามากขึ้น ถ้าหากท่าทีที่รัฐบาลแสดงขณะนี้มาจากความจริงใจ ตนคิดว่าจะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลงมา แต่ว่าตนอยากเห็นการเดินที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในแง่ของการดึง หรือตั้งเวทีการมีส่วนร่วมทั้งในและนอกพื้นที่ เพราะฉะนั้นการที่นักวิชาการเข้าชื่อกันยื่นนายกฯ ซึ่งนายกฯ ก็บอกว่ายินดีพบ ตนอยากให้ดำเนินออกมาเป็นรูปธรรม คือจัดทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ ต้องมีฝ่ายปฏิบัติ คือต้องทำอย่างไรเพื่ออุดช่องว่างระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน ส่วนการดำเนินการตามกฎหมายก็ต้องทำอย่างเต็มที่
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสถาบันพระปกเกล้า ได้จัดประชุมสัมมนาว่าด้วยเรื่องสันติวิธี กับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และผลออกมาเห็นได้ค่อนข้างชัดว่าไปในทางเดียวกัน อยู่ที่รัฐบาลจะสามารถทบทวนท่าที และแสดงออกว่ามีการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยแค่ไหน แต่หากพูดแต่ไม่มีการปฏิบัติตามคำพูด ตนเชื่อว่าปัญหานี้ก็ยังจะเดินหน้าต่อไป และจะเห็นว่าการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจทั้งจากองค์กรภายใน และภายนอกขณะนี้ ปัญหาสถานการณ์ภาคใต้ ถือเป็นความกังวลหลักเรื่องหนึ่ง เพราะมีผลกระทบทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม เพราะฉะนั้นตนคิดว่าจึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการในการปรับท่าที
ต่อข้อถามเรื่องเงินงบประมาณที่นายกฯ ได้อัดฉีดไปสู่ภาคใต้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าจริงๆแล้วแนวทางที่ให้ขวัญกำลังใจและไม่ให้ระบบราชการมาเป็นปัญหาในแง่อุปสรรค ในแง่การเร่งรัดพัฒนา ก็ต้องทำไป แต่ไม่ควรไปคิดว่าการอัดเงินลงไปแล้ว ต้องมีคำตอบต้องหนีความคิดที่คิดว่ามียาวิเศษสามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะระยะเวลา 3 ปียังทำไม่ได้ การทุ่มเงินลงไปมากๆก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ควรหันกลับมาปรับท่าทีของภาครัฐ ที่จะทำให้เกิดความไว้วางใจ ความมั่นใจในเจ้าหน้าที่ของรัฐ และควรระวังการแสดงท่าที ที่จะบอกว่าแบ่งฝ่าย แบ่งเขาแบ่งเรา กรณีการอัดฉีดเงินให้เป็นขวัญกำลังใจนั้นต้องเข้าใจว่าการพัฒนาเพื่อทำให้ความเป็นอยู่ที่ดี และเกิดขวัญกำลังใจเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าไปคิดว่านั้นคือทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าคิดว่าปัญหาจะแก้ไขได้ด้วยเงิน
ต่อคำถามที่ว่ากับสถานการณ์ภาคใต้ และการส่งท่าทีของนายกฯส่งสัญญาณว่าจะไม่ประชุมเอเปก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าหากมองในภาพรวม ทุกครั้งก็จะมีการไปร่วม แต่หากไม่มีการเข้าร่วมและให้คำอธิบายว่าไม่ไปเพราะมีสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ตนคิดว่าไม่เป็นผลดี และตนคิดว่าขณะนี้ได้มีคำถามอยู่แล้ว หากมีโอกาสเช่นนี้นายกฯควรจะได้ไปอธิบาย หากวันนี้ไม่มีผู้นำประเทศไทยไปอธิบายแล้ว ซึ่งตนก็ไม่ทราบสาเหตุ เมื่อไม่ไปก็จะเกิดคำถามที่ไม่มีคำตอบ และอาจเกิดการมองว่าสถานการณ์หนักหน่วงจนผู้นำประเทศไม่สามารถเข้าร่วมได้
กับกรณีการจัดงานเหลียวหลัง แลหน้า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นหลักอยู่ที่ การจัดงานนี้มีการใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นการจัดงานด้วยเงินภาษีประชาชน เงินตรงนี้เมื่อใช้ไปแล้วเกิดประโยชน์กับประชนมากน้อยแค่ไหน เป็นไปเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ และควรคำนึงว่าควรใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่อประโยชน์ของประชาชนแท้จริงเพียงใด ประการที่ 2 การที่จะชี้แจงผลงานที่ตนแปลกใจคือว่าอธิบายว่าที่จัดงานนี้เพราะไม่สามารถที่จะมาแถลงผลงานกับสภาได้เมื่อครบ 4 ปี จริงแล้วตามรัฐธรรมนูญสามารถแถลงต่อสภาได้ ซึ่งการจัดเช่นนี้เป็นการสื่อสารทางเดียว ซึ่งมีการใช้กลไกลของรัฐในการเกณฑ์คน จึงเกิดคำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่
ส่วนทางกกต.ก็คงทำอะไรได้ยาก เพราะมีปัญหาว่า งานนี้ไม่ใช่การจัดงานของพรรคการเมือง แต่ประเด็นตรงนี้อยู่ที่กติกาการแข่งขันนั้นไม่รัดกุมร้อยเปอร์เซ็น ซึ่งการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือกีฬา การแข่งขันก็ควรมีมารยาท และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคืองานนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เกิดความสับสนว่าขณะปฏิบัติหน้าที่สวมหมวกผู้บริหารประเทศ หรือ บทบาทของผู้นำพรรคการเมือง ‘อาจจะไม่ได้ใช้อำนาจรัฐ โดยการใช้เจ้าหน้าที่รัฐไปเดินหาเสียงข่มขู่’ แต่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การใช้ทรัพยากรของรัฐในลักษณะดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นการแข่งขัน หรือการกระทำที่ชอบธรรมหรือไม่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
ต่อข้อถามเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายอภิสิทธิ กล่าวว่าความห่วงใยต่อสถานการณ์ภาคใต้ยังมีมาก ตนสังเกตจากการพบประประชาชนตามพื้นที่ต่าง ในการสนทนาจะมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นใน ตนคิดว่ารัฐบาลควรจะทบทวนและปรับท่าที เพราะตนเห็นจากการสัมภาษณ์ของนายกฯ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับท่าทีมาในทางที่ดีขึ้น ในแง่ที่บอกว่าสิ่งสำคัญคือว่าจะทำอย่างไรจะไม่ไปเข้าทางของผู้ก่อความไม่สงบ นั้นก็คือว่าไม่คิดเอาแต่ความสะใจ คิดจะใช้วิธีรุนแรง เพราะว่าแม้จะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่เป็นการยั่วยุ แต่หากรัฐตกหลุมไป จะทำให้เกิดปัญหามากขึ้น ถ้าหากท่าทีที่รัฐบาลแสดงขณะนี้มาจากความจริงใจ ตนคิดว่าจะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลายลงมา แต่ว่าตนอยากเห็นการเดินที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในแง่ของการดึง หรือตั้งเวทีการมีส่วนร่วมทั้งในและนอกพื้นที่ เพราะฉะนั้นการที่นักวิชาการเข้าชื่อกันยื่นนายกฯ ซึ่งนายกฯ ก็บอกว่ายินดีพบ ตนอยากให้ดำเนินออกมาเป็นรูปธรรม คือจัดทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่ ต้องมีฝ่ายปฏิบัติ คือต้องทำอย่างไรเพื่ออุดช่องว่างระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน ส่วนการดำเนินการตามกฎหมายก็ต้องทำอย่างเต็มที่
ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสถาบันพระปกเกล้า ได้จัดประชุมสัมมนาว่าด้วยเรื่องสันติวิธี กับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง และผลออกมาเห็นได้ค่อนข้างชัดว่าไปในทางเดียวกัน อยู่ที่รัฐบาลจะสามารถทบทวนท่าที และแสดงออกว่ามีการเปลี่ยนแปลงได้มากน้อยแค่ไหน แต่หากพูดแต่ไม่มีการปฏิบัติตามคำพูด ตนเชื่อว่าปัญหานี้ก็ยังจะเดินหน้าต่อไป และจะเห็นว่าการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจทั้งจากองค์กรภายใน และภายนอกขณะนี้ ปัญหาสถานการณ์ภาคใต้ ถือเป็นความกังวลหลักเรื่องหนึ่ง เพราะมีผลกระทบทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม เพราะฉะนั้นตนคิดว่าจึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการในการปรับท่าที
ต่อข้อถามเรื่องเงินงบประมาณที่นายกฯ ได้อัดฉีดไปสู่ภาคใต้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าจริงๆแล้วแนวทางที่ให้ขวัญกำลังใจและไม่ให้ระบบราชการมาเป็นปัญหาในแง่อุปสรรค ในแง่การเร่งรัดพัฒนา ก็ต้องทำไป แต่ไม่ควรไปคิดว่าการอัดเงินลงไปแล้ว ต้องมีคำตอบต้องหนีความคิดที่คิดว่ามียาวิเศษสามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะระยะเวลา 3 ปียังทำไม่ได้ การทุ่มเงินลงไปมากๆก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่ควรหันกลับมาปรับท่าทีของภาครัฐ ที่จะทำให้เกิดความไว้วางใจ ความมั่นใจในเจ้าหน้าที่ของรัฐ และควรระวังการแสดงท่าที ที่จะบอกว่าแบ่งฝ่าย แบ่งเขาแบ่งเรา กรณีการอัดฉีดเงินให้เป็นขวัญกำลังใจนั้นต้องเข้าใจว่าการพัฒนาเพื่อทำให้ความเป็นอยู่ที่ดี และเกิดขวัญกำลังใจเป็นเรื่องที่ดี แต่อย่าไปคิดว่านั้นคือทุกสิ่งทุกอย่าง อย่าคิดว่าปัญหาจะแก้ไขได้ด้วยเงิน
ต่อคำถามที่ว่ากับสถานการณ์ภาคใต้ และการส่งท่าทีของนายกฯส่งสัญญาณว่าจะไม่ประชุมเอเปก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าหากมองในภาพรวม ทุกครั้งก็จะมีการไปร่วม แต่หากไม่มีการเข้าร่วมและให้คำอธิบายว่าไม่ไปเพราะมีสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ตนคิดว่าไม่เป็นผลดี และตนคิดว่าขณะนี้ได้มีคำถามอยู่แล้ว หากมีโอกาสเช่นนี้นายกฯควรจะได้ไปอธิบาย หากวันนี้ไม่มีผู้นำประเทศไทยไปอธิบายแล้ว ซึ่งตนก็ไม่ทราบสาเหตุ เมื่อไม่ไปก็จะเกิดคำถามที่ไม่มีคำตอบ และอาจเกิดการมองว่าสถานการณ์หนักหน่วงจนผู้นำประเทศไม่สามารถเข้าร่วมได้
กับกรณีการจัดงานเหลียวหลัง แลหน้า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ประเด็นหลักอยู่ที่ การจัดงานนี้มีการใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นการจัดงานด้วยเงินภาษีประชาชน เงินตรงนี้เมื่อใช้ไปแล้วเกิดประโยชน์กับประชนมากน้อยแค่ไหน เป็นไปเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ และควรคำนึงว่าควรใช้เงินภาษีของประชาชนเพื่อประโยชน์ของประชาชนแท้จริงเพียงใด ประการที่ 2 การที่จะชี้แจงผลงานที่ตนแปลกใจคือว่าอธิบายว่าที่จัดงานนี้เพราะไม่สามารถที่จะมาแถลงผลงานกับสภาได้เมื่อครบ 4 ปี จริงแล้วตามรัฐธรรมนูญสามารถแถลงต่อสภาได้ ซึ่งการจัดเช่นนี้เป็นการสื่อสารทางเดียว ซึ่งมีการใช้กลไกลของรัฐในการเกณฑ์คน จึงเกิดคำถามว่าคุ้มค่าหรือไม่
ส่วนทางกกต.ก็คงทำอะไรได้ยาก เพราะมีปัญหาว่า งานนี้ไม่ใช่การจัดงานของพรรคการเมือง แต่ประเด็นตรงนี้อยู่ที่กติกาการแข่งขันนั้นไม่รัดกุมร้อยเปอร์เซ็น ซึ่งการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นการเมืองหรือกีฬา การแข่งขันก็ควรมีมารยาท และสิ่งที่น่าเป็นห่วงคืองานนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เกิดความสับสนว่าขณะปฏิบัติหน้าที่สวมหมวกผู้บริหารประเทศ หรือ บทบาทของผู้นำพรรคการเมือง ‘อาจจะไม่ได้ใช้อำนาจรัฐ โดยการใช้เจ้าหน้าที่รัฐไปเดินหาเสียงข่มขู่’ แต่ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ การใช้ทรัพยากรของรัฐในลักษณะดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นการแข่งขัน หรือการกระทำที่ชอบธรรมหรือไม่
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-