ถึงจะอยู่ใกล้ แต่ศตวรรษก่อน จีนมีบทบาทน้อยมากในเอเชียกลาง ว่ากันทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมแล้ว คาซักสถาน คีร์จีซสถาน ทาจิกิสถาน อุซเบกีสถาน และเติร์กเมนีสถาน ล้วนอยู่ในวงโคจรของรัสเซีย แต่เอกราชในปี 1991 ทำให้เปลี่ยนแปลง มีการแง้มประตูไม้ไผ่ ไปทางตะวันออก ตอนแรก ก็เปิดแลกเปลี่ยนสินค้าบริโภคกับจีน และตามมาด้วย นักธุรกิจและนักการเมืองคนสำคัญ ๆ เพียงทศวรรษเดียว จีนซึ่งเติบใหญ่ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง ก็มีบทบาทมากมายในย่านนี้
ตามย่านร้านตลาดที่จอแจ เพลงยอดนิยมจากจีน ดังก้องลำโพง พ่อค้าแม่ขาย ส่งภาษาจีนเชิญชวนลูกค้า จีนเหรอ ? เปล่า เรากำลังอยู่ในย่านยา-เหลียน นครอัลมาตี เมืองหลวงทางพาณิชย์ของคาซักสถาน
นับตั้งแต่เปิดประเทศ ปี 1997 ยา-เหลียนกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ดึงดูดผู้คนนับพัน ๆ มาจับจ่ายใช้สอย ตามร้านค้าต่าง ๆ ที่ขายตั้งแต่เครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้า ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
ฉากตลาดจีนแบบนี้ มีเป็นร้อย ๆ เมือง ทั่วทั้งเอเชียกลาง ตอนแรก คนขายก็เป็นคนท้องถิ่น รับสินค้าหายากจากนอกพรมแดน เข้ามาวางขาย แต่หลายปีมานี้ ปรากฏว่ามีพ่อค้าแม่ค้าจีน ทะลักกันเข้ามาตั้งร้านรวง ผสมเป็นส่วนหนึ่งของคนเมืองในเอเชียกลาง
เรื่องบนท้องถนนเช่นนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอิทธิพลจีน ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในย่านนี้ ลึกลงไป เจ้าหน้าที่และนักธุรกิจจีน แวบไปโน้น มานี่กันไปทั้งย่าน ทำสัญญาร่วมมือตรงนั้น ตรงนี้ ขยายหัวหาดให้ปักกิ่ง ส่วนใหญ่ที่จีนสนใจ อย่างคาซักสถานและเติร์กเมนีสถาน ก็เพราะต้องการแหล่งพลังงาน เศรษฐกิจจีนกำลังขยายตัว แต่น้ำมันและเหมืองถ่านหินในประเทศ ตอบสนองอุปสงค์ได้ไม่ทัน ยังผลให้เจ้าหน้าที่จีน ต้องออกไปควานหาแหล่งสำรองไปทั่วโลก รวมทั้งในเอเชียกลาง ซู่ ยี่เหอ ผู้สื่อข่าวอาวุโสให้ดาวน์โจน ในสิงคโปร์ บอกกับเรา (สถานีวิทยุยุโรปเสรี) ว่า “บริษัทน้ำมันจีน แผ่ไปทั่วโลกแล้ว พวกเขาส่งคณะผู้เชี่ยวชาญ ไปเจรจากับโครงการสำรวจน้ำมันตามย่านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ในเอเชีย ตะวันออกกลาง อาฟริกา และอเมริกาเหนือ”
หลังจากเจรจากันมา 7 ปี ก็เริ่มมีผล คือจีนกับคาซักสถาน ตกลงที่จะสร้างท่อส่งน้ำมันยาว 1,000 กิโลเมตร จากเขตคารากันดาในตอนกลางของคาซักสถาน ไปยังมณฑลซินเจียงของจีน ในปลายปี 2005 นี้ ท่อส่งน้ำมันสายนี้ จะเป็นแกนในเครือข่ายท่อส่งน้ำมัน ที่เชื่อมจีนกับทะเลสาบคาสเปี้ยน ความยาวทั้งสิ้น 3,000 กิโลเมตร จีนยังเสนอจะช่วยคาซักสถาน พัฒนาบ่อน้ำมันขนาดเล็ก ในเขตหุบเขาเฟอร์กาน่าอีกด้วย
นอกจากนี้ จีนยังเพิ่มการลงทุนด้านพลังงาน ในกิจการอื่น ๆ อีก เช่นโครงการไฟฟ้าพลังงานทางน้ำ ในทาจิกีสถานและคีร์จีซสถาน ซึ่งต้องเจรจากันอีกมาก
นิกลาส สวอนสตรอม ผู้อำนวยการโครงการศึกษาเส้นทางสายไหม ร่วมสมัย ประจำมหาวิทยาลัยอับสาลา ในสวีเดน ขณะนี้มาเป็นอาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ในปักกิ่ง กล่าวกับเราว่า ความประสงค์ในแหล่งพลังงานธรรมชาติ เป็นแกนในนโยบายของปักกิ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ขณะนี้ จีนกำลังกลายเป็นมหาอำนาจ ประเทศหนึ่งในโลก ภายใน 1-2 ทศวรรษ จีนจะขึ้นมาท้าทายอำนาจของทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป แต่ก่อนอื่น ผู้นำจีนต้องสร้างเขตมิตรภาพ กับประเทศที่อยู่ล้อมรอบจีนก่อน เพื่อหาการสนับสนุนทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ
แรงผลักดันนี้ ทำให้ปักกิ่งไปตั้งศูนย์การค้า ในทุกประเทศในเอเชียกลาง เข้าไปลงทุน บริจาคเงินทองให้องค์กรการกุศล และเสริมสร้างความมั่นคง ให้กับกรอบต่าง ๆ เช่น สนธิสัญญาความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ อันเป็นองค์การความร่วมมือของเอเชียกลาง กับจีนและรัสเซีย เป็นต้น
ศาสตราจารย์ สวอนสตรอมกล่าวว่า “พวกจีนต้องการทรัพยากรธรรมชาติจริง ๆ พวกเขาต้องการน้ำมันและก๊าซ เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่เหตุผลจริง ๆ มีมากกว่านั้น พวกเขาต้องการชายแดนที่ปลอดภัย ต้องการทำให้เอเชียกลางเป็นเขตที่มีความมั่นคง เพราะถ้าเอเชียกลางเกิดรบกัน มันจะลุกลามไปยังซินเจียง ทำให้เป็นปัญหาของรัฐบาลจีน ดังนั้น ส่วนหนึ่งในการสร้างเสถียรภาพในเอเชียกลาง ก็เป็นการสร้างเสถียรภาพในจีนเองด้วย ดังนั้น จีนจึงมีผลประโยชน์ ที่ต้องพัฒนาตลาด สร้างโครงสร้างพื้นฐานขึ้นในย่านนี้”
กล่าวสำหรับด้านความมั่นคง ศาสตราจารย์ จอห์น กราเวอร์ แห่งสถาบันเทคโนโลยี ที่จอร์เจีย ในสหรัฐ กล่าวว่า จีนก็เหมือนกับรัฐบาลในท้องถิ่น คือวิตกกังวลกับพวกหัวรุนแรงอิสลาม “ผมคิดว่า ผู้จีนมีความคิดเห็นเหมือนกับพวกผู้นำประเทศต่าง ๆ ในเอเชียกลาง การร่วมมือในด้านนี้ อาจมาในรูปการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง ร่วมมือกันด้านตำรวจ การฝึกตำรวจ-ทหาร และวางยุทธการร่วมกัน ปราบปรามการก่อการร้ายต่าง ๆ”
โมมูร์เบก เทเกเบฟ หัวหน้าพรรคสังคมนิยมมาตุภูมิ ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในคีร์กีซสถาน กล่าวกับเราว่าสหรัฐเองเป็นผู้ส่งเสริมอิทธิพลจีนในเอเชียกลาง เขากล่าวว่า หลังวันที่ 11 กันยายน 2001 มีการโจมตีสหรัฐในเอเชียกลาง เพิ่มมากขึ้น “หลังเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐก็ทิ้งแบบแผนของตัวเอง ส่งทหารเข้าในเอเชียกลาง และแถบทรานคอเคซัส พอสหรัฐเข้าไป จีนก็แสดงท่าทีสนใจในเอเชียกลางขึ้นมา ดังนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้นำจีนบอกกับที่ประชุมที่เมืองทาชเคนท์ว่า จีนจะลงทุนในประเทศแถบเอเชียกลาง เป็นเงินถึง US$4 พันล้านเหรียญ ตัวอย่างเช่น ผู้นำจีนรับปากว่าจะให้เงินสร้างทางหลวง จากจีน ผ่านคีร์กีซสถาน เข้าไปในเอเชียกลาง ที่มีมูลค่า $1.5 พันล้านเหรียญ”
ศาสตราจารย์ สวอนสตรอม แห่งมหาวิทยาลัยอับสาลา กล่าวว่า การที่รัสเซียกุมประเทศพวกนี้อยู่อย่างหลวม ๆ ก็เปิดทางให้ภายนอก รวมทั้งพวกอเมริกัน แต่พวกจีนมีประสิทธิภาพสูงสุด อาจจะเป็นเพราะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงในย่านนี้
“ความจริง ความอ่อนแอของรัสเซียในบ้านก็มีส่วน เปิดโอกาสให้จีน รวมทั้งสหรัฐกับยุโรป ได้ก้าวเข้ามาเล่นด้วย” ศาสตราจารย์สวอนสตรอมกล่าว “แต่ฝ่ายสหรัฐกับยุโรป ไม่ได้ใช้โอกาสนั้นมากเท่าจีน”
กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะมีความสุข ที่จีนสนใจย่านนี้ มีความกลัวแฝงที่ว่า จีนคิดจะฮุบดินแดนไป โดยเฉพาะในประเทศ ที่มีพรมแดนติดกัน หากความรู้สึกนี้เป็นจริง แม้จะมีคนจีนเพียงนิดหน่อย เข้าไปผสมกลมกลืนอยู่กับคนท้องถิ่น อย่างเช่น คาซักสถาน ที่มีพรมแดนกว้างใหญ่ ก็มีประชากรเพียง 14 ล้านคน หรือเพียงร้อยละ 1 ของประชากรจีน ที่มีมากถึง 1.4 พันล้านคน
เรื่องนี้เจ้าหน้าที่จีนออกมาปฏิเสธโดยสิ้นเชิง แต่มูรัต อออีซอฟ อดีตทูตคาซักประจำจีน เอาความวิตกมาพูดแทนลิ้นการทูตว่า “ผมรู้ประเพณีจีนดี เราไม่ควรเชื่อสิ่งใด ๆ ที่นักการเมืองจีนพูด ในฐานะที่ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ จีนในศตวรรษที่ 19, 20 และ 21 นั้น ต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ร้อยมันเข้าด้วยกัน คือการขยายดินแดน”
แต่สวอนสตรอม มองในแง่ดีกว่านี้ เขากล่าวว่า ตอนนี้รัสเซียมีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เหนือเอเชียกลางอยู่ หากจะทำลายการผูกขาดลง ก็ย่อมจะเป็นผลดีต่อเอเชียกลาง
“ไม่จำเป็นว่า นี่เป็นเกมแบบได้-เสีย แต่มองไปจากจุดยืนของเอเชียกลาง การที่รัสเซียจะลดอิทธิพลลง แล้วแทนที่ด้วยอิทธิพลจีน หรืออินเดีย หรือกระทั่งสหรัฐ และยุโรป ก็เป็นผลดีทั้งนั้น พวกเขารู้กันมานานแล้วว่าอิทธิพลมหาอำนาจเดี่ยว ๆ ในย่านนี้ไม่ดี พวกไม่ต้องการเป็นทั้งรัสเซีย หรือจีน พวกเขาอยากทำให้เกิดความหลากหลาย และตระหนักดีว่า ไม่ว่าจีน หรือรัสเซียก็ไม่ควรผูกขาดครอบงำย่านนี้”
สงครามแย่งน้ำมัน
ที่จีนยื่นมือเข้ามาในย่านนี้ ก็เพื่อตอบสนองอุปสงค์พลังงานของตน ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีโครงการมากมายลอยอยู่ แต่ท่อส่งน้ำมันจากคาซักสถาน จะเป็นโครงการแรกของจีนในเอเชียกลาง
เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในครึ่งปีแรกของปี 2004 นี้สูงถึงร้อยละ 10 จีนก็พยายามออกไปแสวงหาบ่อน้ำมันใหม่ ๆ ทั้งในเอเชียกลาง และในโลกมาเพิ่ม จีนเริ่มนำเข้าน้ำมันเป็นครั้งแรก ในปี 1996 พอมาปีนี้ จีนนำเข้าน้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 34 เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้จีนบริโภคน้ำมัน ล้ำหน้าญี่ปุ่น ขึ้นมาเป็นที่สอง รองจากสหรัฐ อุปสงค์ที่มีอย่างมากมาย ทำให้บริษัทน้ำมันจีน ต้องเข้าตลาดต่างประเทศ ที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังดูห่างไกลเหลือเกิน
ภายใต้นโยบาย “มุ่งตะวันตก” ของผู้นำจีน วิสาหกิจของรัฐ จึงรื้อฟื้นโครงการคาซักสถาน ที่ค้างเติ่งมาตั้งแต่ปี 1997 โดยบริษัทน้ำมันแห่งชาติจีน ประกาศจะใช้เงินลงทุน $9.5 พันล้านเหรียญ ในขุดบ่อ และวางท่อส่งน้ำมันนับ พันกิโลเมตรเข้ามาในประเทศ
โรเบิร์ต อีเบล ผู้อำนวยการโครงการน้ำมัน และความมั่นคงแห่งชาติ ประจำศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ และการระหว่างประเทศ ในวอชิงตัน กล่าวว่า เหตุที่จีนเข้าไปในเอเชียกลาง เป็นเพราะอุปสงค์ในบ้านเพิ่มขึ้น และไม่อยากเสี่ยงในตะวันออกกลาง ไปมากกว่านี้
“ผมคิดว่า จีนตระหนักว่าในอนาคต ตนต้องพึ่งการนำเข้าน้ำมันอย่างเดียว จึงยื่นมือออกไปจนทั่ว ไม่ว่าจะเป็น อเซอร์ไบจัน ซีเรีย รัสเซีย เอเชียกลาง เวเนซูเอล่า เพื่อให้แหล่งนำเข้า หลากหลายที่สุดเท่าที่จะทำได้”
และเสริมว่า การติดต่อเอเชียกลางทางภาคพื้นดิน ลดทอนความเสี่ยง ในการขนส่งทางทะเลลง ถึงผลได้ในเอเชียกลางตอนนี้ยังน้อย มีเพียงการนำเข้าจากคาซักสถานเท่านั้น โดยนำเข้าโดยทางรถไฟ เพียงร้อยละ 1 ต่อปี ของอุปสงค์ในประเทศ แต่ในไม่ช้า เรื่องนี้จะเปลี่ยนไป เพราะผลจากข้อตงลงในการวางท่อน้ำมัน จากคาซักสถานดังกล่าว
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-
ตามย่านร้านตลาดที่จอแจ เพลงยอดนิยมจากจีน ดังก้องลำโพง พ่อค้าแม่ขาย ส่งภาษาจีนเชิญชวนลูกค้า จีนเหรอ ? เปล่า เรากำลังอยู่ในย่านยา-เหลียน นครอัลมาตี เมืองหลวงทางพาณิชย์ของคาซักสถาน
นับตั้งแต่เปิดประเทศ ปี 1997 ยา-เหลียนกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง ดึงดูดผู้คนนับพัน ๆ มาจับจ่ายใช้สอย ตามร้านค้าต่าง ๆ ที่ขายตั้งแต่เครื่องใช้ภายในบ้าน เสื้อผ้า ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ
ฉากตลาดจีนแบบนี้ มีเป็นร้อย ๆ เมือง ทั่วทั้งเอเชียกลาง ตอนแรก คนขายก็เป็นคนท้องถิ่น รับสินค้าหายากจากนอกพรมแดน เข้ามาวางขาย แต่หลายปีมานี้ ปรากฏว่ามีพ่อค้าแม่ค้าจีน ทะลักกันเข้ามาตั้งร้านรวง ผสมเป็นส่วนหนึ่งของคนเมืองในเอเชียกลาง
เรื่องบนท้องถนนเช่นนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอิทธิพลจีน ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในย่านนี้ ลึกลงไป เจ้าหน้าที่และนักธุรกิจจีน แวบไปโน้น มานี่กันไปทั้งย่าน ทำสัญญาร่วมมือตรงนั้น ตรงนี้ ขยายหัวหาดให้ปักกิ่ง ส่วนใหญ่ที่จีนสนใจ อย่างคาซักสถานและเติร์กเมนีสถาน ก็เพราะต้องการแหล่งพลังงาน เศรษฐกิจจีนกำลังขยายตัว แต่น้ำมันและเหมืองถ่านหินในประเทศ ตอบสนองอุปสงค์ได้ไม่ทัน ยังผลให้เจ้าหน้าที่จีน ต้องออกไปควานหาแหล่งสำรองไปทั่วโลก รวมทั้งในเอเชียกลาง ซู่ ยี่เหอ ผู้สื่อข่าวอาวุโสให้ดาวน์โจน ในสิงคโปร์ บอกกับเรา (สถานีวิทยุยุโรปเสรี) ว่า “บริษัทน้ำมันจีน แผ่ไปทั่วโลกแล้ว พวกเขาส่งคณะผู้เชี่ยวชาญ ไปเจรจากับโครงการสำรวจน้ำมันตามย่านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ในเอเชีย ตะวันออกกลาง อาฟริกา และอเมริกาเหนือ”
หลังจากเจรจากันมา 7 ปี ก็เริ่มมีผล คือจีนกับคาซักสถาน ตกลงที่จะสร้างท่อส่งน้ำมันยาว 1,000 กิโลเมตร จากเขตคารากันดาในตอนกลางของคาซักสถาน ไปยังมณฑลซินเจียงของจีน ในปลายปี 2005 นี้ ท่อส่งน้ำมันสายนี้ จะเป็นแกนในเครือข่ายท่อส่งน้ำมัน ที่เชื่อมจีนกับทะเลสาบคาสเปี้ยน ความยาวทั้งสิ้น 3,000 กิโลเมตร จีนยังเสนอจะช่วยคาซักสถาน พัฒนาบ่อน้ำมันขนาดเล็ก ในเขตหุบเขาเฟอร์กาน่าอีกด้วย
นอกจากนี้ จีนยังเพิ่มการลงทุนด้านพลังงาน ในกิจการอื่น ๆ อีก เช่นโครงการไฟฟ้าพลังงานทางน้ำ ในทาจิกีสถานและคีร์จีซสถาน ซึ่งต้องเจรจากันอีกมาก
นิกลาส สวอนสตรอม ผู้อำนวยการโครงการศึกษาเส้นทางสายไหม ร่วมสมัย ประจำมหาวิทยาลัยอับสาลา ในสวีเดน ขณะนี้มาเป็นอาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยเหรินหมิน ในปักกิ่ง กล่าวกับเราว่า ความประสงค์ในแหล่งพลังงานธรรมชาติ เป็นแกนในนโยบายของปักกิ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ขณะนี้ จีนกำลังกลายเป็นมหาอำนาจ ประเทศหนึ่งในโลก ภายใน 1-2 ทศวรรษ จีนจะขึ้นมาท้าทายอำนาจของทั้งสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป แต่ก่อนอื่น ผู้นำจีนต้องสร้างเขตมิตรภาพ กับประเทศที่อยู่ล้อมรอบจีนก่อน เพื่อหาการสนับสนุนทางการเมือง และทางเศรษฐกิจ
แรงผลักดันนี้ ทำให้ปักกิ่งไปตั้งศูนย์การค้า ในทุกประเทศในเอเชียกลาง เข้าไปลงทุน บริจาคเงินทองให้องค์กรการกุศล และเสริมสร้างความมั่นคง ให้กับกรอบต่าง ๆ เช่น สนธิสัญญาความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ อันเป็นองค์การความร่วมมือของเอเชียกลาง กับจีนและรัสเซีย เป็นต้น
ศาสตราจารย์ สวอนสตรอมกล่าวว่า “พวกจีนต้องการทรัพยากรธรรมชาติจริง ๆ พวกเขาต้องการน้ำมันและก๊าซ เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่เหตุผลจริง ๆ มีมากกว่านั้น พวกเขาต้องการชายแดนที่ปลอดภัย ต้องการทำให้เอเชียกลางเป็นเขตที่มีความมั่นคง เพราะถ้าเอเชียกลางเกิดรบกัน มันจะลุกลามไปยังซินเจียง ทำให้เป็นปัญหาของรัฐบาลจีน ดังนั้น ส่วนหนึ่งในการสร้างเสถียรภาพในเอเชียกลาง ก็เป็นการสร้างเสถียรภาพในจีนเองด้วย ดังนั้น จีนจึงมีผลประโยชน์ ที่ต้องพัฒนาตลาด สร้างโครงสร้างพื้นฐานขึ้นในย่านนี้”
กล่าวสำหรับด้านความมั่นคง ศาสตราจารย์ จอห์น กราเวอร์ แห่งสถาบันเทคโนโลยี ที่จอร์เจีย ในสหรัฐ กล่าวว่า จีนก็เหมือนกับรัฐบาลในท้องถิ่น คือวิตกกังวลกับพวกหัวรุนแรงอิสลาม “ผมคิดว่า ผู้จีนมีความคิดเห็นเหมือนกับพวกผู้นำประเทศต่าง ๆ ในเอเชียกลาง การร่วมมือในด้านนี้ อาจมาในรูปการแลกเปลี่ยนข่าวกรอง ร่วมมือกันด้านตำรวจ การฝึกตำรวจ-ทหาร และวางยุทธการร่วมกัน ปราบปรามการก่อการร้ายต่าง ๆ”
โมมูร์เบก เทเกเบฟ หัวหน้าพรรคสังคมนิยมมาตุภูมิ ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในคีร์กีซสถาน กล่าวกับเราว่าสหรัฐเองเป็นผู้ส่งเสริมอิทธิพลจีนในเอเชียกลาง เขากล่าวว่า หลังวันที่ 11 กันยายน 2001 มีการโจมตีสหรัฐในเอเชียกลาง เพิ่มมากขึ้น “หลังเหตุการณ์ 9/11 สหรัฐก็ทิ้งแบบแผนของตัวเอง ส่งทหารเข้าในเอเชียกลาง และแถบทรานคอเคซัส พอสหรัฐเข้าไป จีนก็แสดงท่าทีสนใจในเอเชียกลางขึ้นมา ดังนั้น เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้นำจีนบอกกับที่ประชุมที่เมืองทาชเคนท์ว่า จีนจะลงทุนในประเทศแถบเอเชียกลาง เป็นเงินถึง US$4 พันล้านเหรียญ ตัวอย่างเช่น ผู้นำจีนรับปากว่าจะให้เงินสร้างทางหลวง จากจีน ผ่านคีร์กีซสถาน เข้าไปในเอเชียกลาง ที่มีมูลค่า $1.5 พันล้านเหรียญ”
ศาสตราจารย์ สวอนสตรอม แห่งมหาวิทยาลัยอับสาลา กล่าวว่า การที่รัสเซียกุมประเทศพวกนี้อยู่อย่างหลวม ๆ ก็เปิดทางให้ภายนอก รวมทั้งพวกอเมริกัน แต่พวกจีนมีประสิทธิภาพสูงสุด อาจจะเป็นเพราะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงในย่านนี้
“ความจริง ความอ่อนแอของรัสเซียในบ้านก็มีส่วน เปิดโอกาสให้จีน รวมทั้งสหรัฐกับยุโรป ได้ก้าวเข้ามาเล่นด้วย” ศาสตราจารย์สวอนสตรอมกล่าว “แต่ฝ่ายสหรัฐกับยุโรป ไม่ได้ใช้โอกาสนั้นมากเท่าจีน”
กระนั้นก็ตาม ใช่ว่าทุกคนจะมีความสุข ที่จีนสนใจย่านนี้ มีความกลัวแฝงที่ว่า จีนคิดจะฮุบดินแดนไป โดยเฉพาะในประเทศ ที่มีพรมแดนติดกัน หากความรู้สึกนี้เป็นจริง แม้จะมีคนจีนเพียงนิดหน่อย เข้าไปผสมกลมกลืนอยู่กับคนท้องถิ่น อย่างเช่น คาซักสถาน ที่มีพรมแดนกว้างใหญ่ ก็มีประชากรเพียง 14 ล้านคน หรือเพียงร้อยละ 1 ของประชากรจีน ที่มีมากถึง 1.4 พันล้านคน
เรื่องนี้เจ้าหน้าที่จีนออกมาปฏิเสธโดยสิ้นเชิง แต่มูรัต อออีซอฟ อดีตทูตคาซักประจำจีน เอาความวิตกมาพูดแทนลิ้นการทูตว่า “ผมรู้ประเพณีจีนดี เราไม่ควรเชื่อสิ่งใด ๆ ที่นักการเมืองจีนพูด ในฐานะที่ผมเป็นนักประวัติศาสตร์ จีนในศตวรรษที่ 19, 20 และ 21 นั้น ต่างกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ร้อยมันเข้าด้วยกัน คือการขยายดินแดน”
แต่สวอนสตรอม มองในแง่ดีกว่านี้ เขากล่าวว่า ตอนนี้รัสเซียมีความได้เปรียบทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม เหนือเอเชียกลางอยู่ หากจะทำลายการผูกขาดลง ก็ย่อมจะเป็นผลดีต่อเอเชียกลาง
“ไม่จำเป็นว่า นี่เป็นเกมแบบได้-เสีย แต่มองไปจากจุดยืนของเอเชียกลาง การที่รัสเซียจะลดอิทธิพลลง แล้วแทนที่ด้วยอิทธิพลจีน หรืออินเดีย หรือกระทั่งสหรัฐ และยุโรป ก็เป็นผลดีทั้งนั้น พวกเขารู้กันมานานแล้วว่าอิทธิพลมหาอำนาจเดี่ยว ๆ ในย่านนี้ไม่ดี พวกไม่ต้องการเป็นทั้งรัสเซีย หรือจีน พวกเขาอยากทำให้เกิดความหลากหลาย และตระหนักดีว่า ไม่ว่าจีน หรือรัสเซียก็ไม่ควรผูกขาดครอบงำย่านนี้”
สงครามแย่งน้ำมัน
ที่จีนยื่นมือเข้ามาในย่านนี้ ก็เพื่อตอบสนองอุปสงค์พลังงานของตน ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะมีโครงการมากมายลอยอยู่ แต่ท่อส่งน้ำมันจากคาซักสถาน จะเป็นโครงการแรกของจีนในเอเชียกลาง
เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในครึ่งปีแรกของปี 2004 นี้สูงถึงร้อยละ 10 จีนก็พยายามออกไปแสวงหาบ่อน้ำมันใหม่ ๆ ทั้งในเอเชียกลาง และในโลกมาเพิ่ม จีนเริ่มนำเข้าน้ำมันเป็นครั้งแรก ในปี 1996 พอมาปีนี้ จีนนำเข้าน้ำมันดิบ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 34 เศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้จีนบริโภคน้ำมัน ล้ำหน้าญี่ปุ่น ขึ้นมาเป็นที่สอง รองจากสหรัฐ อุปสงค์ที่มีอย่างมากมาย ทำให้บริษัทน้ำมันจีน ต้องเข้าตลาดต่างประเทศ ที่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยังดูห่างไกลเหลือเกิน
ภายใต้นโยบาย “มุ่งตะวันตก” ของผู้นำจีน วิสาหกิจของรัฐ จึงรื้อฟื้นโครงการคาซักสถาน ที่ค้างเติ่งมาตั้งแต่ปี 1997 โดยบริษัทน้ำมันแห่งชาติจีน ประกาศจะใช้เงินลงทุน $9.5 พันล้านเหรียญ ในขุดบ่อ และวางท่อส่งน้ำมันนับ พันกิโลเมตรเข้ามาในประเทศ
โรเบิร์ต อีเบล ผู้อำนวยการโครงการน้ำมัน และความมั่นคงแห่งชาติ ประจำศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ และการระหว่างประเทศ ในวอชิงตัน กล่าวว่า เหตุที่จีนเข้าไปในเอเชียกลาง เป็นเพราะอุปสงค์ในบ้านเพิ่มขึ้น และไม่อยากเสี่ยงในตะวันออกกลาง ไปมากกว่านี้
“ผมคิดว่า จีนตระหนักว่าในอนาคต ตนต้องพึ่งการนำเข้าน้ำมันอย่างเดียว จึงยื่นมือออกไปจนทั่ว ไม่ว่าจะเป็น อเซอร์ไบจัน ซีเรีย รัสเซีย เอเชียกลาง เวเนซูเอล่า เพื่อให้แหล่งนำเข้า หลากหลายที่สุดเท่าที่จะทำได้”
และเสริมว่า การติดต่อเอเชียกลางทางภาคพื้นดิน ลดทอนความเสี่ยง ในการขนส่งทางทะเลลง ถึงผลได้ในเอเชียกลางตอนนี้ยังน้อย มีเพียงการนำเข้าจากคาซักสถานเท่านั้น โดยนำเข้าโดยทางรถไฟ เพียงร้อยละ 1 ต่อปี ของอุปสงค์ในประเทศ แต่ในไม่ช้า เรื่องนี้จะเปลี่ยนไป เพราะผลจากข้อตงลงในการวางท่อน้ำมัน จากคาซักสถานดังกล่าว
--กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม--
-พห-