ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ชี้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูงสามารถแก้ปัญหาขาดดุลการค้าได้ นายบัณฑิต นิจถาวร รอง
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงการขาดดุลการค้าในเดือน เม.ย.48 ว่า เป็นผลมาจากการ
ขยายตัวของการใช้จ่ายและการบริโภคโดยรวมในประเทศ ที่ทำให้มีการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าอุปโภคบริโภคเข้า
มาจำนวนมาก รวมถึงการที่ราคาน้ำมันและการใช้น้ำมันอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นขึ้น นอกจาก
นี้ แนวโน้มการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้การส่งออก
ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่การนำเข้าสูงขึ้น ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้น สำหรับแนวทางรักษาดุลการค้า
ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม คือ การรักษาวินัยด้านการเงินและการคลัง โดยดูแลการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
และให้มีการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพยายามให้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวในระดับที่ใกล้เคียงกับตลาด
โลก ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดการประหยัดและลดการนำเข้าลงได้ สำหรับการดูแลด้านการเงิน ธปท.จะต้องดูแลอัตรา
ดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น
นั้น เป็นสิ่งที่เหมาะสม เนื่องจากจะช่วยให้เกิดการประหยัดและลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง รวมทั้งช่วยให้เกิดการ
ออมในประเทศมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.ไม่กำหนดอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำในเกณฑ์การควบคุมสินเชื่อส่วนบุคคล นายสามารถ บูรณ
วัฒนาโชค ผู้อำนวยการอาวุโส สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.
ไม่ได้มีการกำหนดอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำในเกณฑ์การควบคุมสินเชื่อส่วนบุคคลที่เสนอให้ ก.คลังพิจารณา หลัง
จากที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า ธปท.จะกำหนดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดคงค้าง เนื่องจากเกรงว่า
ลูกหนี้ที่เป็นลูกหนี้ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลจะไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ สำหรับวัตถุประสงค์ในการ
เข้ามาดูแลสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ผู้ประกอบการสินเชื่อต่างๆ คิดดอกเบี้ยในอัตรา
ที่สูงเกินไป หลังจากที่มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ไทยโพสต์, ข่าวสด)
3. ธปท.ชี้การที่ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินไม่ผ่านสภาทำให้การกำกับดูแลสถาบันการเงินใน
ปัจจุบันมีอุปสรรค นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยเกี่ยวกับร่าง
พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ผ่านเข้าสภาว่า คงจะต้องมีการร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับธุรกิจสถาบันการเงินใหม่ ซึ่งคิด
ว่าคงใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากจะนำร่างฉบับเดิมมาปรับแก้เพิ่มเติม สำหรับร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับ
เดิมที่ไม่ผ่านเข้าสภานั้น มีประเด็นสำคัญที่มีผลต่อการกำกับดูแลสถาบันการเงินในปัจจุบันคือ ในเรื่องการกำกับแบบ
รวมกลุ่ม (Consolidated Supervision) ซึ่งกำหนดให้ ธปท.สามารถเข้าตรวจสอบบริษัทในเครือของสถาบัน
การเงิน นอกเหนือจากการดูแลสถาบันการเงินที่เป็นบริษัทแม่เท่านั้น อีกเรื่องหนึ่งที่มีในร่าง พ.ร.บ.ที่ตกไป คือการ
ดูแลความเสี่ยง ซึ่งกำหนดให้ ธพ.ที่มีความเสี่ยงมากกว่ารายอื่น ต้องมีการดำรงกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงมากกว่าราย
อื่น แต่ปัจจุบันเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงนั้นมีอัตราเดียวสำหรับทุกกรณี ซึ่งหากกฎหมายที่ใช้ดูแลรวม
เรื่องการดูแลความเสี่ยงต่างๆ ไว้ด้วย จะทำให้การเข้าดูแลสถาบันการเงินทำได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ในร่าง พ.ร.
บ.ที่ไม่ผ่านสภายังมีมาตราที่เกี่ยวกับการดูแลธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินไว้ด้วย โดยระบุให้ ธปท.สามารถเข้าไป
กำกับดูแลธุรกิจที่อาจจะมีผลกระทบต่อความรุนแรงทางเศรษฐกิจและประชาชนได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้,
ไทยโพสต์, ข่าวสด)
4. ผลการวิจัยพบว่าหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในปี 47 ว่า ครัวเรือนไทยมี
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 12,115 บาทต่อครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ
82.9 ของรายได้ เป็นค่าใช้จ่ายการอุปโภคบริโภคร้อยละ 88.7 ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคร้อยละ 11.3
สำหรับสัดส่วนค่าใช้จ่ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยค่าใช้จ่ายหลักยังอยู่ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม ส่วน
พฤติกรรมการบริโภคพบว่า คนไทยมีพฤติกรรมเลียนแบบการบริโภคซึ่งกันและกันแม้มีรายได้ไม่เท่ากัน และแม้ว่าราย
ได้จะลดลงแต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงการบริโภค ในส่วนของหนี้ครัวเรือนมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 47 คิดเป็น
7.1 เท่าของรายได้เฉลี่ยครัวเรือนต่อเดือน หรือมียอดรวมทั้งสิ้น 1.9-2.4 ล.บาท คิดเป็นร้อยละ 37.8 ของจีดี
พี โดยครัวเรือนประมาณร้อยละ 62.6 มีหนี้สิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจได้หากไม่มีการบริหารจัดการที่
ดี สำหรับหนี้บัตรเครดิตแม้ว่าที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้นมากแต่ยังไม่น่าวิตก เพราะเอ็นพีแอลในส่วนของบัตรเครดิตลดลงต่อ
เนื่อง โดยลดลงร้อยละ 4, 3.4 และ 2.9 ในปี 45, 46 และ 47 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของหนี้ค้าง
ชำระหรือหนี้ที่ต้องผ่อนชำระขั้นต่ำกลับเพิ่มขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตเบิกเงินสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยปี
47 อยู่ที่ร้อยละ 18.9 และปี 48 ร้อยละ 32.4 ของยอดการใช้บัตรเครดิต (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, ไทยโพสต์, ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปีของสรอ. อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือน ก.พ.
รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 48 บริษัทสินเชื่อจำนอง Freddie Mac เปิดเผยว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
จำนองของสรอ. ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ค.อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.65 ลดลงจากร้อยละ 5.71 เมื่อสัปดาห์ก่อน
หน้าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 3 เดือนนับตั้งแต่สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 ก.พ. ที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองดัง
กล่าวอยู่ที่ร้อยละ 5.62 ส่งผลให้มีการ refinance มากขึ้น และทำให้ผู้ซื้อมีโอกาสในการซื้อบ้านหลังแรกเนื่องจาก
อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 15 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่
ปรับได้ระยะเวลา 1 ปี (ARM) อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.21 และร้อยละ 4.21 ลดลงจากร้อยละ 5.27 และร้อยละ
4.26 ในสัปดาห์ก่อนหน้าตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อช่วงเดียวกันปีที่แล้วอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปี , ระยะ
15 ปี และ ARM อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 6.32 , 5.69 และร้อยละ 3.87 ตามลำดับ และจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ
สรอ.ในสัปดาห์นี้แสดงถึงตลาดบ้านยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง แต่ยังคงมีความวิตกเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในตลาดบ้าน
เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูงในบางท้องทึ่ (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของธุรกิจในเยรอมนีลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ
2 ปี ที่ระดับ 92.9 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 25 พ.ค.48 The Ifo institute’เยอรมนี เปิดเผยผลสำรวจ
ความเชื่อมั่นของธุรกิจในเยอรมนี ที่ได้จากการสำรวจความเห็นของธุรกิจ 7,000 แห่งในเดือน พ.ค.48 ว่า ลดลง
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ระดับ 92.9 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี (ตั้งแต่ ส.ค.46) จากระดับ 93.3 ใน
เดือน เม.ย.48 และลดลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 93.5 อย่างไรก็
ตาม นักวิเคราะห์จาก Bear Stearns International (Mr.David Brown) ในอังกฤษ กล่าวแสดงความเห็น
ว่า รายงานจาก Ifo สามารถเป็นสัญญาณได้ว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีเริ่มชะลอตัว และไม่คาดว่าจะ
ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจจะฟื้นตัวในอนาคตอันใกล้ได้ นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ ธ.กลางยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก
ครั้ง ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายการเงินของ ธ.กลางยุโรปกล่าวปฏิเสธการเรียกร้องดังกล่าว โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย
นโยบายอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 เป็นเวลาเกือบ 2 ปีมาแล้ว หากปรับลดอีกจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจของ
ประเทศในเขตเศรษฐกิจยุโรปให้เลวร้ายลง (รอยเตอร์)
3. เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาสแรกปีนี้เติบโตสูงถึงร้อยละ 5.3 รายงานจากกรุงโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 พ.ค.48 Daniel Citrin รองผู้อำนวยการกรมแปซิฟิกและเอเชีย ของ IMF กล่าว
ว่า เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาสแรกปีนี้มีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 5.3 สูงกว่าที่ประมาณการของ
IMF และสูงเป็นสองเท่าจากที่นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ทำให้ IMF อาจต้องมีการทบทวน
และปรับการพยากรณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นให้สูงขึ้น แม้ว่าอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงในช่วง
เวลาที่เหลือของปีนี้ และภาวะเงินฝืดยังคงมีอยู่ โดยคาดว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปี 48 และ 49 จะมีอัตราการเติบ
โตมากกว่าร้อยละ 1.5 ส่วนการที่ ธ.กลางญี่ปุ่นตัดสินใจคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษไว้เป็นเรื่องที่
เหมาะสม ทั้งนี้ ในรายงานทางเศรษฐกิจของ IMF ที่จัดทำขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในเดือน เม.ย.48 คาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 0.8 และร้อยละ 1.9 ในปี 49 อย่างไรก็ตาม จากมุมมองที่ดี
ต่อการลงทุนทางธุรกิจและตลาดแรงงานคาดว่าญี่ปุ่นจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจพอประมาณ โดยจีดีพีจะขยาย
ตัวประมาณร้อยละ 1.5 — 2.0 ในช่วงไตรมาสต่อไป ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่จะมาจากภายนอก รวมถึงความ
เป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์
สรอ (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ในเดือน เม.ย.48 เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 13.4 เทียบต่อ
เดือน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 26 พ.ค.48 รัฐบาลสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ในเดือน
เม.ย.48 เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดถึงร้อยละ 13.4 จากเดือนก่อนหน้า (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาลแล้ว) หลัง
จากที่ลดลงร้อยละ 1.2 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 9.5 และหาก
เทียบต่อปี ผลผลิตโรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เนื่องจากผล
ผลิตอิเล็กทรอนิกส์และประดิษฐ์กรรมทางวิศวกรรมเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของ
ผลผลิตโรงงานและประมาณครึ่งหนึ่งของการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันในเดือน เม.ย.48 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9.8
เมื่อเทียบต่อปี ทั้งนี้ ตัวเลขผลผลิตโรงงานเมื่อเทียบต่อเดือนที่ไม่คงที่สม่ำเสมอมีความแปรปรวนอย่างมากเนื่องจาก
ผลผลิตยาผันผวน โดยในเดือน เม.ย.48 ผลผลิตยาลดลงร้อยละ 14.6 ซึ่งผลผลิตยามีสัดส่วนถึงร้อยละ 16 ของผล
ผลิตภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสิงคโปร์เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ต้นปี 48 หลังจากที่เคยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 414.3 ใน
เดือน ธ.ค.47 เมื่อเทียบต่อปี (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 พ.ค. 48 26 พ.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.239 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.0352/40.3129 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.34375 — 2.35 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 662.64/17.54 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,950/8,050 7,950/8,050 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 46.1 46.11 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.14*/18.19** 22.14*/18.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 17 พ.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 3 บาท เมื่อ 23 มี.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ชี้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูงสามารถแก้ปัญหาขาดดุลการค้าได้ นายบัณฑิต นิจถาวร รอง
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงการขาดดุลการค้าในเดือน เม.ย.48 ว่า เป็นผลมาจากการ
ขยายตัวของการใช้จ่ายและการบริโภคโดยรวมในประเทศ ที่ทำให้มีการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าอุปโภคบริโภคเข้า
มาจำนวนมาก รวมถึงการที่ราคาน้ำมันและการใช้น้ำมันอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นขึ้น นอกจาก
นี้ แนวโน้มการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าของไทย ทำให้การส่งออก
ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง ขณะที่การนำเข้าสูงขึ้น ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้น สำหรับแนวทางรักษาดุลการค้า
ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม คือ การรักษาวินัยด้านการเงินและการคลัง โดยดูแลการลงทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
และให้มีการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพยายามให้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวในระดับที่ใกล้เคียงกับตลาด
โลก ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดการประหยัดและลดการนำเข้าลงได้ สำหรับการดูแลด้านการเงิน ธปท.จะต้องดูแลอัตรา
ดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในทิศทางขาขึ้น
นั้น เป็นสิ่งที่เหมาะสม เนื่องจากจะช่วยให้เกิดการประหยัดและลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง รวมทั้งช่วยให้เกิดการ
ออมในประเทศมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ)
2. ธปท.ไม่กำหนดอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำในเกณฑ์การควบคุมสินเชื่อส่วนบุคคล นายสามารถ บูรณ
วัฒนาโชค ผู้อำนวยการอาวุโส สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.
ไม่ได้มีการกำหนดอัตราการผ่อนชำระหนี้ขั้นต่ำในเกณฑ์การควบคุมสินเชื่อส่วนบุคคลที่เสนอให้ ก.คลังพิจารณา หลัง
จากที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า ธปท.จะกำหนดอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดคงค้าง เนื่องจากเกรงว่า
ลูกหนี้ที่เป็นลูกหนี้ทั้งสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลจะไม่สามารถชำระคืนเงินกู้ได้ สำหรับวัตถุประสงค์ในการ
เข้ามาดูแลสินเชื่อส่วนบุคคลนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนไม่ให้ผู้ประกอบการสินเชื่อต่างๆ คิดดอกเบี้ยในอัตรา
ที่สูงเกินไป หลังจากที่มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาจำนวนมาก (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ไทยโพสต์, ข่าวสด)
3. ธปท.ชี้การที่ร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินไม่ผ่านสภาทำให้การกำกับดูแลสถาบันการเงินใน
ปัจจุบันมีอุปสรรค นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยเกี่ยวกับร่าง
พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินที่ไม่ผ่านเข้าสภาว่า คงจะต้องมีการร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับธุรกิจสถาบันการเงินใหม่ ซึ่งคิด
ว่าคงใช้เวลาไม่นาน เนื่องจากจะนำร่างฉบับเดิมมาปรับแก้เพิ่มเติม สำหรับร่าง พ.ร.บ.ธุรกิจสถาบันการเงินฉบับ
เดิมที่ไม่ผ่านเข้าสภานั้น มีประเด็นสำคัญที่มีผลต่อการกำกับดูแลสถาบันการเงินในปัจจุบันคือ ในเรื่องการกำกับแบบ
รวมกลุ่ม (Consolidated Supervision) ซึ่งกำหนดให้ ธปท.สามารถเข้าตรวจสอบบริษัทในเครือของสถาบัน
การเงิน นอกเหนือจากการดูแลสถาบันการเงินที่เป็นบริษัทแม่เท่านั้น อีกเรื่องหนึ่งที่มีในร่าง พ.ร.บ.ที่ตกไป คือการ
ดูแลความเสี่ยง ซึ่งกำหนดให้ ธพ.ที่มีความเสี่ยงมากกว่ารายอื่น ต้องมีการดำรงกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงมากกว่าราย
อื่น แต่ปัจจุบันเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงนั้นมีอัตราเดียวสำหรับทุกกรณี ซึ่งหากกฎหมายที่ใช้ดูแลรวม
เรื่องการดูแลความเสี่ยงต่างๆ ไว้ด้วย จะทำให้การเข้าดูแลสถาบันการเงินทำได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ในร่าง พ.ร.
บ.ที่ไม่ผ่านสภายังมีมาตราที่เกี่ยวกับการดูแลธุรกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินไว้ด้วย โดยระบุให้ ธปท.สามารถเข้าไป
กำกับดูแลธุรกิจที่อาจจะมีผลกระทบต่อความรุนแรงทางเศรษฐกิจและประชาชนได้ด้วย (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้,
ไทยโพสต์, ข่าวสด)
4. ผลการวิจัยพบว่าหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในปี 47 ว่า ครัวเรือนไทยมี
ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 12,115 บาทต่อครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ
82.9 ของรายได้ เป็นค่าใช้จ่ายการอุปโภคบริโภคร้อยละ 88.7 ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคร้อยละ 11.3
สำหรับสัดส่วนค่าใช้จ่ายไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก โดยค่าใช้จ่ายหลักยังอยู่ในส่วนของอาหารและเครื่องดื่ม ส่วน
พฤติกรรมการบริโภคพบว่า คนไทยมีพฤติกรรมเลียนแบบการบริโภคซึ่งกันและกันแม้มีรายได้ไม่เท่ากัน และแม้ว่าราย
ได้จะลดลงแต่ก็ไม่เปลี่ยนแปลงการบริโภค ในส่วนของหนี้ครัวเรือนมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 47 คิดเป็น
7.1 เท่าของรายได้เฉลี่ยครัวเรือนต่อเดือน หรือมียอดรวมทั้งสิ้น 1.9-2.4 ล.บาท คิดเป็นร้อยละ 37.8 ของจีดี
พี โดยครัวเรือนประมาณร้อยละ 62.6 มีหนี้สิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจได้หากไม่มีการบริหารจัดการที่
ดี สำหรับหนี้บัตรเครดิตแม้ว่าที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้นมากแต่ยังไม่น่าวิตก เพราะเอ็นพีแอลในส่วนของบัตรเครดิตลดลงต่อ
เนื่อง โดยลดลงร้อยละ 4, 3.4 และ 2.9 ในปี 45, 46 และ 47 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนของหนี้ค้าง
ชำระหรือหนี้ที่ต้องผ่อนชำระขั้นต่ำกลับเพิ่มขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมการใช้บัตรเครดิตเบิกเงินสดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยปี
47 อยู่ที่ร้อยละ 18.9 และปี 48 ร้อยละ 32.4 ของยอดการใช้บัตรเครดิต (โลกวันนี้, โพสต์ทูเดย์, ไทยโพสต์, ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปีของสรอ. อยู่ในระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือน ก.พ.
รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 48 บริษัทสินเชื่อจำนอง Freddie Mac เปิดเผยว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
จำนองของสรอ. ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 พ.ค.อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.65 ลดลงจากร้อยละ 5.71 เมื่อสัปดาห์ก่อน
หน้าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 3 เดือนนับตั้งแต่สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 17 ก.พ. ที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองดัง
กล่าวอยู่ที่ร้อยละ 5.62 ส่งผลให้มีการ refinance มากขึ้น และทำให้ผู้ซื้อมีโอกาสในการซื้อบ้านหลังแรกเนื่องจาก
อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 15 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่
ปรับได้ระยะเวลา 1 ปี (ARM) อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.21 และร้อยละ 4.21 ลดลงจากร้อยละ 5.27 และร้อยละ
4.26 ในสัปดาห์ก่อนหน้าตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อช่วงเดียวกันปีที่แล้วอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปี , ระยะ
15 ปี และ ARM อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 6.32 , 5.69 และร้อยละ 3.87 ตามลำดับ และจากตัวเลขทางเศรษฐกิจ
สรอ.ในสัปดาห์นี้แสดงถึงตลาดบ้านยังคงอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง แต่ยังคงมีความวิตกเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ในตลาดบ้าน
เนื่องจากมีราคาค่อนข้างสูงในบางท้องทึ่ (รอยเตอร์)
2. ความเชื่อมั่นของธุรกิจในเยรอมนีลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบเกือบ
2 ปี ที่ระดับ 92.9 รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 25 พ.ค.48 The Ifo institute’เยอรมนี เปิดเผยผลสำรวจ
ความเชื่อมั่นของธุรกิจในเยอรมนี ที่ได้จากการสำรวจความเห็นของธุรกิจ 7,000 แห่งในเดือน พ.ค.48 ว่า ลดลง
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ที่ระดับ 92.9 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี (ตั้งแต่ ส.ค.46) จากระดับ 93.3 ใน
เดือน เม.ย.48 และลดลงต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่าจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 93.5 อย่างไรก็
ตาม นักวิเคราะห์จาก Bear Stearns International (Mr.David Brown) ในอังกฤษ กล่าวแสดงความเห็น
ว่า รายงานจาก Ifo สามารถเป็นสัญญาณได้ว่า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเยอรมนีเริ่มชะลอตัว และไม่คาดว่าจะ
ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจจะฟื้นตัวในอนาคตอันใกล้ได้ นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้ ธ.กลางยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก
ครั้ง ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายการเงินของ ธ.กลางยุโรปกล่าวปฏิเสธการเรียกร้องดังกล่าว โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย
นโยบายอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 2.0 เป็นเวลาเกือบ 2 ปีมาแล้ว หากปรับลดอีกจะส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจของ
ประเทศในเขตเศรษฐกิจยุโรปให้เลวร้ายลง (รอยเตอร์)
3. เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาสแรกปีนี้เติบโตสูงถึงร้อยละ 5.3 รายงานจากกรุงโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 26 พ.ค.48 Daniel Citrin รองผู้อำนวยการกรมแปซิฟิกและเอเชีย ของ IMF กล่าว
ว่า เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในไตรมาสแรกปีนี้มีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 5.3 สูงกว่าที่ประมาณการของ
IMF และสูงเป็นสองเท่าจากที่นักวิเคราะห์ในตลาดการเงินส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ ทำให้ IMF อาจต้องมีการทบทวน
และปรับการพยากรณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นให้สูงขึ้น แม้ว่าอัตราการเติบโตจะชะลอตัวลงในช่วง
เวลาที่เหลือของปีนี้ และภาวะเงินฝืดยังคงมีอยู่ โดยคาดว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปี 48 และ 49 จะมีอัตราการเติบ
โตมากกว่าร้อยละ 1.5 ส่วนการที่ ธ.กลางญี่ปุ่นตัดสินใจคงนโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษไว้เป็นเรื่องที่
เหมาะสม ทั้งนี้ ในรายงานทางเศรษฐกิจของ IMF ที่จัดทำขึ้นปีละ 2 ครั้ง ในเดือน เม.ย.48 คาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตร้อยละ 0.8 และร้อยละ 1.9 ในปี 49 อย่างไรก็ตาม จากมุมมองที่ดี
ต่อการลงทุนทางธุรกิจและตลาดแรงงานคาดว่าญี่ปุ่นจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจพอประมาณ โดยจีดีพีจะขยาย
ตัวประมาณร้อยละ 1.5 — 2.0 ในช่วงไตรมาสต่อไป ในขณะที่ปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่จะมาจากภายนอก รวมถึงความ
เป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงเนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันและความผันผวนของค่าเงินดอลลาร์
สรอ (รอยเตอร์)
4. ผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ในเดือน เม.ย.48 เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดที่ร้อยละ 13.4 เทียบต่อ
เดือน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 26 พ.ค.48 รัฐบาลสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์ในเดือน
เม.ย.48 เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดถึงร้อยละ 13.4 จากเดือนก่อนหน้า (ตัวเลขหลังปรับปัจจัยทางฤดูกาลแล้ว) หลัง
จากที่ลดลงร้อยละ 1.2 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 9.5 และหาก
เทียบต่อปี ผลผลิตโรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เนื่องจากผล
ผลิตอิเล็กทรอนิกส์และประดิษฐ์กรรมทางวิศวกรรมเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของ
ผลผลิตโรงงานและประมาณครึ่งหนึ่งของการส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่น้ำมันในเดือน เม.ย.48 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9.8
เมื่อเทียบต่อปี ทั้งนี้ ตัวเลขผลผลิตโรงงานเมื่อเทียบต่อเดือนที่ไม่คงที่สม่ำเสมอมีความแปรปรวนอย่างมากเนื่องจาก
ผลผลิตยาผันผวน โดยในเดือน เม.ย.48 ผลผลิตยาลดลงร้อยละ 14.6 ซึ่งผลผลิตยามีสัดส่วนถึงร้อยละ 16 ของผล
ผลิตภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสิงคโปร์เริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ต้นปี 48 หลังจากที่เคยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 414.3 ใน
เดือน ธ.ค.47 เมื่อเทียบต่อปี (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 พ.ค. 48 26 พ.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.239 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.0352/40.3129 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.34375 — 2.35 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 662.64/17.54 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,950/8,050 7,950/8,050 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 46.1 46.11 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.14*/18.19** 22.14*/18.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 17 พ.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 3 บาท เมื่อ 23 มี.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--