แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ชี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่องเพิ่มเติม นางจิตติมา ดุริยะพันธ์
ผอ.อาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธปท. เปิดเผยถึงวงเงินการออกพันธบัตร 2.5 แสนล้า
บาท เพื่อดูดซับสภาพคล่องนั้น ล่าสุด ณ สิ้นเดือน ก.ค.48 ธปท. ได้ออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องไปแล้ว
ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยวงเงินดังกล่าวได้กำหนดระยะเวลาให้ออกได้ภายในปี 49 ซึ่ง ธปท. พิจารณาแล้ว
พบว่ายังไม่มีความจำเป็นจะต้องออกพันธบัตรเพิ่มเติมแต่อย่างใด เนื่องจากสภาพคล่องในระบบที่ปัจจุบันมีอยู่
ประมาณ 4-5 แสนล้านบาท ได้ทยอยปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 48 สังเกตได้จากการที่ ธ.พาณิชย์ขนาด
ใหญ่ 4-5 แห่ง ได้เริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปบ้างแล้ว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ได้
เพิ่มขึ้นตามสภาพตลาด อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ธปท. ได้ออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องในระบบไปแล้ว 5
แสนล้านบาท ซึ่งเดิมมีกำหนดใช้วงเงินภายในปี 49 แต่ ธปท. ได้ออกพันธบัตรดังกล่าวไปหมดแล้ว จึงได้ขออนุมัติ
จาก ก.คลังเพิ่มเติมในการดูแลสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในวัฎจักรขาขึ้น
อาจทำให้ต้นทุนในการออกพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นทิศทางของตลาดซึ่งถือว่ากลไกตลาดได้ทำงาน
ด้วยตัวเองจึงไม่น่าเป็นห่วงอะไร และ ธปท. สามารถรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ไม่มีปัญหา (ผู้จัดการรายวัน)
2. ก.คลังตั้งเป้าดึงการลงทุนจากจีนให้ย้ายฐานการผลิตมาไทย นายนริศ ชัยสูตร ผอ.สนง.
เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า หากรัฐบาลสามารถกระตุ้นภาคการส่งออกทั้งปีให้ขยายตัวได้ร้อยละ 20
ตามเป้าหมาย รวมทั้งทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีขาดดุลไม่เกิน 2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และสามารถดึงการลงทุน
จากจีนให้ย้ายฐานการผลิตมายังไทยได้ ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 5 ก็มีความเป็นไปได้
สูง ซึ่งการย้ายฐานการผลิตของจีนจะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาทันที เพราะลักษณะการลงทุนของจีนไม่ได้เริ่มต้นนับ
หนึ่ง แต่เริ่มจาก 10 เห็นได้จากที่จีนเข้าไปซื้อบริษัทใน สรอ. ซึ่งตรงนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจของไทยทันทีเหมือนกัน
ทั้งนี้ สศค. ประมาณการขยายตัวจีดีพีในครั้งก่อนไว้ที่ร้อยละ 4.6-5.1 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างทบทวนปัจจัยบวกและ
ลบต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น อัตราดอกเบี้ยในประเทศมีแนวโน้มปรับ
ตัวสูงขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มขาดดุลตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หรือเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบริบทเหล่านี้แตกต่างจากใน
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดย ธปท. จะต้องเข้ามามี
บทบาทสำคัญในการใช้นโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ขณะที่ ก.คลังใช้นโยบายการคลังเพื่อลด
การชะลอตัวของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมานโยบายการ
เงินไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสภาพคล่องในระบบมีสูง ดังนั้น ไม่ว่า ธปท. จะปรับอัตราดอกเบี้ย
พันธบัตรระยะ 14 วัน ขึ้นกี่ครั้ง ธ.พาณิชย์ก็ไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยตาม แต่ปัจจุบันสภาพคล่องในระบบเริ่มหมดไป ทำ
ให้ในระยะต่อไปนโยบายการเงินจะมีบทบาทมาก ส่วนนโยบายการคลังต้องหันมาเน้นด้านการลงทุนแทนการกระตุ้น
ความต้องการซื้อของประชาชน หรือหันมากระตุ้นทางด้านซัพพลาย แทนการกระตุ้นทางด้านดีมานด์ (ผู้จัดการรายวัน)
3. เมกะโปรเจ็คต์อาจทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 6 ในปี 2552 ศูนย์วิเคราะห์
เศรษฐกิจมหภาค ธ.กรุงเทพ ได้ออกบทวิเคราะห์เรื่อง “เมกะโปรเจ็คต์ : เศรษฐกิจโตขึ้น เสถียรภาพยากขึ้น”
โดยระบุว่า หากรัฐบาลใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท ในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ระหว่างปี 48-52 จะ
ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.4 สูงกว่ากรณีที่ไม่ลงทุนประมาณร้อยละ 1 ต่อปี และหากไทยไม่
สามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยยังคงพึ่งพาการนำเข้าตามโครงสร้างปัจจุบันและราคาน้ำมันยังไม่ลดลง คาด
ว่าเมกะโปรเจ็คต์จะส่งผลให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดร้อยละ 3 ของจีดีพีในปี 49 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงร้อยละ 5-
6 ในปี 52 และหากมีการนำเข้าสูงกว่าร้อยละ 35 จะยิ่งทำให้ขาดดุลสูงขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ ซึ่งจากการศึกษา
ข้อมูลในอดีตพบว่า การลงทุนของรัฐที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 100 บาท จะทำให้นำเข้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 35 บาท ดังนั้น การลง
ทุน 1.7 ล้านล้านบาท จะทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น 5.8 แสนล้านบาท นอกจากนี้ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดใน
ระดับสูงดังกล่าวจะทำให้ไทยจำเป็นต้องชดเชยด้วยการกู้เงิน มิฉะนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศจะลดลง ส่วนการ
พึ่งพาการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศมีความไม่แน่นอนสูงและกดดันให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อจูงใจให้เงิน
ไหลเข้า ซึ่งจะทำให้การบริหารเสถียรภาพค่าเงินบาทไปได้ด้วยความยากลำบาก รัฐบาลจึงควรลำดับความสำคัญ
ของแผนการลงทุนเมกะโปรเจ็คต์ไว้ตั้งแต่ต้นเพื่อตัดทอน ก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยการ
เลื่อนออกไปทั้งโครงการ เพราะหากเริ่มโครงการแล้วต้องหยุดหรือชะลอจะทำให้การลงทุนเสียเปล่า รวมถึงการ
ลงทุนในส่วนที่เป็นเงินบาทจะทำให้สภาพคล่องลดลง กดดันให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงเร็วกว่ากรณีที่ไม่มีเมกะโปรเจ็ค
ต์ และส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 1 ตามที่คาดไว้ (มติชน)
4. กำไรจากการลงทุนของกลุ่ม ธ.พาณิชย์ในครึ่งปีแรกลดลงร้อยละ 70 ตัวเลขจากผลประกอบการ
งวดครึ่งปีแรกสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.48 ในส่วนกำไรจากการลงทุนในกลุ่ม ธ.พาณิชย์ 12 แห่ง มีกำไรรวมกัน
ประมาณ 2.61 พันล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 8.89 พันล้านบาท หรือลดลงร้อยละ
70.65 โดย ธ.ไทยพาณิชย์มีกำไรจากการลงทุนในครึ่งปีแรก 302.21 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อนที่มี
กำไร 5.67 พันล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 94.67 รองลงมา ได้แก่ ธ.กสิกรไทย กำไร 308.05 ล้านบาท
เทียบกับปีก่อน 650.54 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 52.65 ธ.นครหลวงไทย กำไร 552.18 ล้านบาท ลดลงร้อย
ละ 59 ธ.เอเชีย กำไร 96.91 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน 173.76 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 44.23 ธ.กรุง
ไทย กำไร 113.68 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน 176.07 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 35.43 และ ธ.กรุงเทพ กำไร
361.99 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน 462.41 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21.72 สำหรับธนาคารที่กำไรจากเงินลงทุน
เพิ่มขึ้นในงวดครึ่งปีแรกสูงสุด คือ ธ.ยูโอบี รัตนสิน กำไร 91.08 ล้านบาท จากเดิมขาดทุน 7.25 ล้านบาท เพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 1,356 ธ.ทหารไทย กำไร 557.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 165.81 ธ.สแตนดาร์ดชา
ร์เตอร์ดฯ กำไร 25.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.97 ธ.ไทยธนาคาร กำไร129.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 7.93 และ ธ.ธนชาติ กำไร 73.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.01 (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าธ.กลางสรอ. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ
รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 48 ภายหลังการประกาศตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดทำให้นัก
วิเคราะห์ต่างเชื่อว่า ผู้ดำเนินนโยบายการเงินธ.กลางสรอ. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อ
สกัดภาวะเงินเฟ้อ โดยคาดว่า ธ.กลางสรอ.จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 3.5 จากร้อยละ
3.25 และอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นอีกในเดือนก.ย. พ.ย. หรือแม้แต่เดือนธ.ค. ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์บางคนเชื่อ
ว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 4.0 หรือสูงกว่านั้นในปลายปี 48 เนื่องจากภาวะร้อนแรงใน
ตลาดบ้านและมีสัญญานภาวะเงินเฟ้อในค่าจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมเนื่องจากภาวะการจ้างงานในเดือน
ก.ค. ที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 207,000 ตำแหน่งมากกว่าที่วอลสตรีทคาดไว้ว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
เพียง 183,000 ตำแหน่ง ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสรอ.ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับอัตราดอกเบี้ยที่สูง
ขึ้นได้ (รอยเตอร์)
2. สินเชื่อผู้บริโภคของ สรอ.เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายในเดือน มิ.ย.48 รายงานจากวอชิงตัน
เมื่อ 5 ส.ค.48 ธ.กลาง สรอ. เปิดเผยว่า สินเชื่อผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.48 เพิ่มขึ้น 14.51 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. เป็นจำนวน 2.146 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ลดลง 1.23 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ใน
เดือนก่อนหน้า นับเป็นการเพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายและเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งจาก
การคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าสินเชื่อผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน มิ.ย. จะมีจำนวนเพียง 6.75 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ การที่สินเชื่อผู้บริโภค สรอ.เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมาย มีสาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของ
nonrevolving credit เช่น เงินกู้ยืมเพื่อซื้อรถยนต์ เรือ และค่าใช้จ่ายในการศึกษา เพิ่มขึ้น 6.88 พันล้าน
ดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่ revolving credit ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตต่าง ๆ ก็เพิ่มขึ้นถึง 7.63
พันล้านดอลลาร์ สรอ. เช่นกัน (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของอังกฤษในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ดีกว่าที่คาดไว้ รายงานจากลอนดอน เมื่อ 5
ส.ค.48 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือน มิ.ย.48
สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 และ 0.8 ในเดือน พ.ค.48 และเม.
ย.48 ตามลำดับ โดยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นอาหาร เครื่องดื่มและบุหรี่ เคมีภัณฑ์และเส้นใยที่ใช้คนทำ ในขณะ
ที่ผลผลิตอุตสาหกรรมซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมทั้งหมดซึ่งรวมทั้งผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมด้วยนั้นอยู่ในระดับคงที่ใน
ไตรมาสที่ 2 ปีนี้ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 0.4 จากไตรมาสก่อน สนง.สถิติแห่งชาติคาดว่าผลผลิตที่ดีขึ้นใน
เดือน มิ.ย.48 และไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอังกฤษในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เพิ่มขึ้น
อีกร้อยละ 0.08 รายงานดังกล่าวข้างต้นถูกเผยแพร่ออกมา 1 วันหลังการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ
0.25 ต่อปี ของ ธ.กลางอังกฤษ เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 4.50 ต่อ
ปี (รอยเตอร์)
4. รอยเตอร์คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือน มิ.ย.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5
เทียบต่อปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 5 ส.ค.48 รอยเตอร์ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของ
มาเลเซียในเดือน มิ.ย.48 ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิต เหมืองแร่ และผลผลิตอิเล็กทรอนิกส์
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เทียบต่อปี หลังจากที่ลดลงถึงร้อยละ 0.4 ในเดือน พ.ค.48 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดใน
รอบมากกว่า 3 ปี (เคยลดลงถึงร้อยละ 2.4 เมื่อเดือน มี.ค.45) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากธ.สแตนดาร์
ดชาร์เตอร์ดเห็นว่าวัฎจักรของผลผลิตอิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำสุดแล้ว ทำให้คาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นใน
ครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ จากตัวเลขการส่งออกล่าสุดในเดือน มิ.ย.48 ก็ขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงร้อย
ละ 11.7 เนื่องจากการส่งออกภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของการส่ง
ออกโดยรวมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11.6 ทั้งนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเป็นตัวเลขหลักเดียว
ตั้งแต่เดือน ธ.ค.47 เนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก เช่น ชิ้นส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ กลุ่ม
เครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ รวมถึงสายเคเบิลและโลหะประกอบชะลอตัวลง อนึ่ง ผลผลิตในเดือน มิ.ย.48 ของผู้
ส่งออกในภูมิภาคเอเชียล้วนแต่ฟื้นตัวดีขึ้นอาทิเช่น ผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงร้อย
ละ 9.2 เทียบต่อเดือน หลังจากที่ลดลงร้อยละ 4.5 ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ตัวเลขที่แท้จริงจะประกาศอย่างเป็น
ทางการในวันจันทร์ที่ 8 ส.ค.48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 8 ส.ค. 48 5 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.226 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0282/41.3129 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.80472 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 686.01/ 12.66 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,500/8,600 8,450/8,550 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 54.31 54.41 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.74*/22.59** 25.74*/22.99** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ค. 48
**ปรับเลด 40 สตางค์เมื่อ 30 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ชี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องออกพันธบัตรดูดซับสภาพคล่องเพิ่มเติม นางจิตติมา ดุริยะพันธ์
ผอ.อาวุโส ฝ่ายตลาดการเงินและบริหารเงินสำรอง ธปท. เปิดเผยถึงวงเงินการออกพันธบัตร 2.5 แสนล้า
บาท เพื่อดูดซับสภาพคล่องนั้น ล่าสุด ณ สิ้นเดือน ก.ค.48 ธปท. ได้ออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องไปแล้ว
ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยวงเงินดังกล่าวได้กำหนดระยะเวลาให้ออกได้ภายในปี 49 ซึ่ง ธปท. พิจารณาแล้ว
พบว่ายังไม่มีความจำเป็นจะต้องออกพันธบัตรเพิ่มเติมแต่อย่างใด เนื่องจากสภาพคล่องในระบบที่ปัจจุบันมีอยู่
ประมาณ 4-5 แสนล้านบาท ได้ทยอยปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 48 สังเกตได้จากการที่ ธ.พาณิชย์ขนาด
ใหญ่ 4-5 แห่ง ได้เริ่มมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปบ้างแล้ว ขณะที่อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารพาณิชย์ได้
เพิ่มขึ้นตามสภาพตลาด อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ธปท. ได้ออกพันธบัตรเพื่อดูดซับสภาพคล่องในระบบไปแล้ว 5
แสนล้านบาท ซึ่งเดิมมีกำหนดใช้วงเงินภายในปี 49 แต่ ธปท. ได้ออกพันธบัตรดังกล่าวไปหมดแล้ว จึงได้ขออนุมัติ
จาก ก.คลังเพิ่มเติมในการดูแลสภาพคล่องในระบบธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ การที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในวัฎจักรขาขึ้น
อาจทำให้ต้นทุนในการออกพันธบัตรเพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นทิศทางของตลาดซึ่งถือว่ากลไกตลาดได้ทำงาน
ด้วยตัวเองจึงไม่น่าเป็นห่วงอะไร และ ธปท. สามารถรับมือกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ไม่มีปัญหา (ผู้จัดการรายวัน)
2. ก.คลังตั้งเป้าดึงการลงทุนจากจีนให้ย้ายฐานการผลิตมาไทย นายนริศ ชัยสูตร ผอ.สนง.
เศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า หากรัฐบาลสามารถกระตุ้นภาคการส่งออกทั้งปีให้ขยายตัวได้ร้อยละ 20
ตามเป้าหมาย รวมทั้งทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปีขาดดุลไม่เกิน 2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และสามารถดึงการลงทุน
จากจีนให้ย้ายฐานการผลิตมายังไทยได้ ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 5 ก็มีความเป็นไปได้
สูง ซึ่งการย้ายฐานการผลิตของจีนจะทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาทันที เพราะลักษณะการลงทุนของจีนไม่ได้เริ่มต้นนับ
หนึ่ง แต่เริ่มจาก 10 เห็นได้จากที่จีนเข้าไปซื้อบริษัทใน สรอ. ซึ่งตรงนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจของไทยทันทีเหมือนกัน
ทั้งนี้ สศค. ประมาณการขยายตัวจีดีพีในครั้งก่อนไว้ที่ร้อยละ 4.6-5.1 ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างทบทวนปัจจัยบวกและ
ลบต่าง ๆ ที่มีผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น อัตราดอกเบี้ยในประเทศมีแนวโน้มปรับ
ตัวสูงขึ้น ดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มขาดดุลตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หรือเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งบริบทเหล่านี้แตกต่างจากใน
ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดย ธปท. จะต้องเข้ามามี
บทบาทสำคัญในการใช้นโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ขณะที่ ก.คลังใช้นโยบายการคลังเพื่อลด
การชะลอตัวของการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้ ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมานโยบายการ
เงินไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสภาพคล่องในระบบมีสูง ดังนั้น ไม่ว่า ธปท. จะปรับอัตราดอกเบี้ย
พันธบัตรระยะ 14 วัน ขึ้นกี่ครั้ง ธ.พาณิชย์ก็ไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยตาม แต่ปัจจุบันสภาพคล่องในระบบเริ่มหมดไป ทำ
ให้ในระยะต่อไปนโยบายการเงินจะมีบทบาทมาก ส่วนนโยบายการคลังต้องหันมาเน้นด้านการลงทุนแทนการกระตุ้น
ความต้องการซื้อของประชาชน หรือหันมากระตุ้นทางด้านซัพพลาย แทนการกระตุ้นทางด้านดีมานด์ (ผู้จัดการรายวัน)
3. เมกะโปรเจ็คต์อาจทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 6 ในปี 2552 ศูนย์วิเคราะห์
เศรษฐกิจมหภาค ธ.กรุงเทพ ได้ออกบทวิเคราะห์เรื่อง “เมกะโปรเจ็คต์ : เศรษฐกิจโตขึ้น เสถียรภาพยากขึ้น”
โดยระบุว่า หากรัฐบาลใช้จ่ายเพื่อการลงทุน 1.7 ล้านล้านบาท ในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ระหว่างปี 48-52 จะ
ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.4 สูงกว่ากรณีที่ไม่ลงทุนประมาณร้อยละ 1 ต่อปี และหากไทยไม่
สามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยยังคงพึ่งพาการนำเข้าตามโครงสร้างปัจจุบันและราคาน้ำมันยังไม่ลดลง คาด
ว่าเมกะโปรเจ็คต์จะส่งผลให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดร้อยละ 3 ของจีดีพีในปี 49 และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนถึงร้อยละ 5-
6 ในปี 52 และหากมีการนำเข้าสูงกว่าร้อยละ 35 จะยิ่งทำให้ขาดดุลสูงขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ ซึ่งจากการศึกษา
ข้อมูลในอดีตพบว่า การลงทุนของรัฐที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 100 บาท จะทำให้นำเข้าเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 35 บาท ดังนั้น การลง
ทุน 1.7 ล้านล้านบาท จะทำให้การนำเข้าเพิ่มขึ้น 5.8 แสนล้านบาท นอกจากนี้ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดใน
ระดับสูงดังกล่าวจะทำให้ไทยจำเป็นต้องชดเชยด้วยการกู้เงิน มิฉะนั้นทุนสำรองระหว่างประเทศจะลดลง ส่วนการ
พึ่งพาการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศมีความไม่แน่นอนสูงและกดดันให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อจูงใจให้เงิน
ไหลเข้า ซึ่งจะทำให้การบริหารเสถียรภาพค่าเงินบาทไปได้ด้วยความยากลำบาก รัฐบาลจึงควรลำดับความสำคัญ
ของแผนการลงทุนเมกะโปรเจ็คต์ไว้ตั้งแต่ต้นเพื่อตัดทอน ก่อนที่จะเกิดอันตรายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยการ
เลื่อนออกไปทั้งโครงการ เพราะหากเริ่มโครงการแล้วต้องหยุดหรือชะลอจะทำให้การลงทุนเสียเปล่า รวมถึงการ
ลงทุนในส่วนที่เป็นเงินบาทจะทำให้สภาพคล่องลดลง กดดันให้อัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงเร็วกว่ากรณีที่ไม่มีเมกะโปรเจ็ค
ต์ และส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวไม่ถึงร้อยละ 1 ตามที่คาดไว้ (มติชน)
4. กำไรจากการลงทุนของกลุ่ม ธ.พาณิชย์ในครึ่งปีแรกลดลงร้อยละ 70 ตัวเลขจากผลประกอบการ
งวดครึ่งปีแรกสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.48 ในส่วนกำไรจากการลงทุนในกลุ่ม ธ.พาณิชย์ 12 แห่ง มีกำไรรวมกัน
ประมาณ 2.61 พันล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 8.89 พันล้านบาท หรือลดลงร้อยละ
70.65 โดย ธ.ไทยพาณิชย์มีกำไรจากการลงทุนในครึ่งปีแรก 302.21 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อนที่มี
กำไร 5.67 พันล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 94.67 รองลงมา ได้แก่ ธ.กสิกรไทย กำไร 308.05 ล้านบาท
เทียบกับปีก่อน 650.54 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 52.65 ธ.นครหลวงไทย กำไร 552.18 ล้านบาท ลดลงร้อย
ละ 59 ธ.เอเชีย กำไร 96.91 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน 173.76 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 44.23 ธ.กรุง
ไทย กำไร 113.68 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน 176.07 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 35.43 และ ธ.กรุงเทพ กำไร
361.99 ล้านบาท เทียบกับปีก่อน 462.41 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 21.72 สำหรับธนาคารที่กำไรจากเงินลงทุน
เพิ่มขึ้นในงวดครึ่งปีแรกสูงสุด คือ ธ.ยูโอบี รัตนสิน กำไร 91.08 ล้านบาท จากเดิมขาดทุน 7.25 ล้านบาท เพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 1,356 ธ.ทหารไทย กำไร 557.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 165.81 ธ.สแตนดาร์ดชา
ร์เตอร์ดฯ กำไร 25.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.97 ธ.ไทยธนาคาร กำไร129.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อย
ละ 7.93 และ ธ.ธนชาติ กำไร 73.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.01 (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าธ.กลางสรอ. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดภาวะเงินเฟ้อ
รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 7 ส.ค. 48 ภายหลังการประกาศตัวเลขการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดทำให้นัก
วิเคราะห์ต่างเชื่อว่า ผู้ดำเนินนโยบายการเงินธ.กลางสรอ. จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องเพื่อ
สกัดภาวะเงินเฟ้อ โดยคาดว่า ธ.กลางสรอ.จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 3.5 จากร้อยละ
3.25 และอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นอีกในเดือนก.ย. พ.ย. หรือแม้แต่เดือนธ.ค. ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์บางคนเชื่อ
ว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นร้อยละ 4.0 หรือสูงกว่านั้นในปลายปี 48 เนื่องจากภาวะร้อนแรงใน
ตลาดบ้านและมีสัญญานภาวะเงินเฟ้อในค่าจ้างแรงงาน ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมเนื่องจากภาวะการจ้างงานในเดือน
ก.ค. ที่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 207,000 ตำแหน่งมากกว่าที่วอลสตรีทคาดไว้ว่าจะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น
เพียง 183,000 ตำแหน่ง ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสรอ.ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับอัตราดอกเบี้ยที่สูง
ขึ้นได้ (รอยเตอร์)
2. สินเชื่อผู้บริโภคของ สรอ.เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายในเดือน มิ.ย.48 รายงานจากวอชิงตัน
เมื่อ 5 ส.ค.48 ธ.กลาง สรอ. เปิดเผยว่า สินเชื่อผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.48 เพิ่มขึ้น 14.51 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. เป็นจำนวน 2.146 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ลดลง 1.23 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ใน
เดือนก่อนหน้า นับเป็นการเพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายและเป็นการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนสูงสุดในรอบ 8 เดือน ซึ่งจาก
การคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์คาดว่าสินเชื่อผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน มิ.ย. จะมีจำนวนเพียง 6.75 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ การที่สินเชื่อผู้บริโภค สรอ.เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมาย มีสาเหตุจากการเพิ่มขึ้นของ
nonrevolving credit เช่น เงินกู้ยืมเพื่อซื้อรถยนต์ เรือ และค่าใช้จ่ายในการศึกษา เพิ่มขึ้น 6.88 พันล้าน
ดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่ revolving credit ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตต่าง ๆ ก็เพิ่มขึ้นถึง 7.63
พันล้านดอลลาร์ สรอ. เช่นกัน (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของอังกฤษในไตรมาสที่ 2 ปีนี้ดีกว่าที่คาดไว้ รายงานจากลอนดอน เมื่อ 5
ส.ค.48 สนง.สถิติแห่งชาติของอังกฤษรายงานผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในเดือน มิ.ย.48
สูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 และ 0.8 ในเดือน พ.ค.48 และเม.
ย.48 ตามลำดับ โดยผลผลิตที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นอาหาร เครื่องดื่มและบุหรี่ เคมีภัณฑ์และเส้นใยที่ใช้คนทำ ในขณะ
ที่ผลผลิตอุตสาหกรรมซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรมทั้งหมดซึ่งรวมทั้งผลผลิตโรงงานอุตสาหกรรมด้วยนั้นอยู่ในระดับคงที่ใน
ไตรมาสที่ 2 ปีนี้ดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลงร้อยละ 0.4 จากไตรมาสก่อน สนง.สถิติแห่งชาติคาดว่าผลผลิตที่ดีขึ้นใน
เดือน มิ.ย.48 และไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอังกฤษในไตรมาสที่ 2 ปีนี้เพิ่มขึ้น
อีกร้อยละ 0.08 รายงานดังกล่าวข้างต้นถูกเผยแพร่ออกมา 1 วันหลังการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงร้อยละ
0.25 ต่อปี ของ ธ.กลางอังกฤษ เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 4.50 ต่อ
ปี (รอยเตอร์)
4. รอยเตอร์คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของมาเลเซียในเดือน มิ.ย.48 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5
เทียบต่อปี รายงานจากกัวลาลัมเปอร์ เมื่อ 5 ส.ค.48 รอยเตอร์ เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของ
มาเลเซียในเดือน มิ.ย.48 ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิต เหมืองแร่ และผลผลิตอิเล็กทรอนิกส์
คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 เทียบต่อปี หลังจากที่ลดลงถึงร้อยละ 0.4 ในเดือน พ.ค.48 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดใน
รอบมากกว่า 3 ปี (เคยลดลงถึงร้อยละ 2.4 เมื่อเดือน มี.ค.45) อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์จากธ.สแตนดาร์
ดชาร์เตอร์ดเห็นว่าวัฎจักรของผลผลิตอิเล็กทรอนิกส์ปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำสุดแล้ว ทำให้คาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นใน
ครึ่งหลังของปีนี้ นอกจากนี้ จากตัวเลขการส่งออกล่าสุดในเดือน มิ.ย.48 ก็ขยายตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงร้อย
ละ 11.7 เนื่องจากการส่งออกภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งมีสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของการส่ง
ออกโดยรวมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 11.6 ทั้งนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเป็นตัวเลขหลักเดียว
ตั้งแต่เดือน ธ.ค.47 เนื่องจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก เช่น ชิ้นส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ กลุ่ม
เครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ รวมถึงสายเคเบิลและโลหะประกอบชะลอตัวลง อนึ่ง ผลผลิตในเดือน มิ.ย.48 ของผู้
ส่งออกในภูมิภาคเอเชียล้วนแต่ฟื้นตัวดีขึ้นอาทิเช่น ผลผลิตโรงงานของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงร้อย
ละ 9.2 เทียบต่อเดือน หลังจากที่ลดลงร้อยละ 4.5 ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ตัวเลขที่แท้จริงจะประกาศอย่างเป็น
ทางการในวันจันทร์ที่ 8 ส.ค.48 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 8 ส.ค. 48 5 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.226 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.0282/41.3129 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.80472 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 686.01/ 12.66 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,500/8,600 8,450/8,550 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 54.31 54.41 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.74*/22.59** 25.74*/22.99** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ค. 48
**ปรับเลด 40 สตางค์เมื่อ 30 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--