กรุงเทพ--7 มิ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ ว่า
เมื่อวันที่ 1-3 มิถุนายน 2548 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้เข้าร่วมงาน Drug Discovery & Development
Asia-Pacific ครั้งที่ 3 ซึ่งสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่โรงแรม Shangri-La Singapore การจัดงานดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อเน้นความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ของประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก และการ
ย้ำความสำคัญของสิงคโปร์ในการเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมในด้านนี้ โดยนายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูต และนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เลขานุการโท ได้เข้าร่วมในพิธีเปิดงานดังกล่าวด้วย เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. เป้าหมายของการจัดงาน ความสำคัญของการจัดงานอยู่ที่การส่งเสริมความร่วมมือในหมู่ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ การเพิ่มบทบาทของสิงคโปร์ในการเป็นศูนย์กลางงานวิจัยด้านสาธารณสุข การแข่งขันด้านการค้นคว้าวิจัยทางเวชศาสตร์ใหม่ๆ และการแสดงนิทรรศการ ที่รวมเอาเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีล่าสุดทางด้าน “life science” มาเปิดตัวต่อสาธารณชน นอกจากนี้ ในงาน ดังกล่าวยังเน้นการจัดสัมมนาเพื่อเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยถึงประเด็นทางด้านเวชภัณฑ์ใหม่ๆ อาทิ การค้นหาพันธมิตรในกลุ่มอุตสาหกรรมยาระหว่างประเทศ การลงทุนในธุรกิจเวชภัณฑ์ยาที่ใช้ป้องกันการ แพร่ระบาดของโรคติดต่อ การใช้วัสดุธรรมชาติมาเป็นส่วนประกอบของเวชภัณฑ์ การทดสอบคุณภาพยา และการวิจัยและพัฒนาสาขาเวชศาสตร์กายภาพและเทคโนโลยีเวชศาสตร์ (Biopharmaceuticals/Biotechnology R&D)
2. การกล่าวเปิดงานของ Dr. Balaji Sadasivan รัฐมนตรีอาวุโสด้านการสาธาณสุขสารนิเทศ คมนาคมและศิลปะของสิงคโปร์
- ดร. Sadasivan ได้กล่าวเปิดงานว่า จุดมุ่งหมายของการจัดงานอยู่ที่การค้นหา “insight” ในด้านการปฏิบัติการทางด้านเวชศาสตร์ การเน้นความพร้อมของเอเชียที่จะรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในภาคนี้ โดยเฉพาะสิงคโปร์ซึ่งมองตนเองว่าเป็นประตูไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค มีเที่ยวบินมากถึง 7,800 เที่ยวต่อสัปดาห์เชื่อมต่อทั่วโลก มีสาธารณูปโภคที่ครบครัน มีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ มีสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ดี มีกฎระเบียบที่มีผลบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ยึดถือหลักทรัพย์สินทางปัญญา มีสถาบันวิจัยจำนวนมาก และรัฐบาลส่งเสริมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างเต็มที่ปัจจัยเหล่านี้ได้ชักจูงให้บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของโลกเลือกสิงคโปร์เป็นสำนักงานภูมิภาค
- นาง Maggie Tan ประธานการจัดงานฯ ได้เน้นความสำคัญของการจัดงานในปีนี้คือ แนวทางป้องกันโรคระบาด การพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเวชภัณฑ์ และสิงคโปร์ก็พร้อมที่จะแสดงบทบาทของการเป็นศูนย์กลางทางด้านงานวิจัย ในการนำผู้เชี่ยวชาญด้านเวชภัณฑ์มาพบปะพูดคุยกัน ร่วมมือ หรือลงทุนร่วมเพื่อช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ของโลกเติบโตยิ่งขึ้น
3. การหารือระหว่างเอกอัครราชทูตไทยกับผู้แทนจากไทยที่เข้าร่วมในงานฯ นายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูต ได้แลกเปลี่ยนความเห็นและรับฟังปัญหาจาก ผู้เข้าร่วมงานของไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านสาธารณสุขทั้งในภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงสาธารณสุข องค์การอาหารและยา องค์การเภสัชกรรม สำนักงบประมาณ และจากผู้ผลิตเวชภัณฑ์จากหลายบริษัท เป็นต้น สาระสำคัญของผู้เข้าร่วมงานฝ่ายไทยมีดังนี้
- ผู้เข้าร่วมงานฝ่ายไทยมองว่า ความเป็นเลิศทางด้านสาธารณสุขของสิงคโปร์มิได้ขึ้นอยู่กับการคิดค้นทางด้านเวชศาสตร์ใหม่ๆ แต่เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ของสิงคโปร์มีส่วนช่วยสร้างสถานะเป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ของประเทศ เช่น ความพร้อมด้านสาธารณูปโภค การลงทุนของรัฐบาลในด้าน R&D และการศึกษา
- สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการพัฒนากระบวนการด้านสาธารณสุขแบบ เป็นขั้นเป็นตอน ในขณะที่รัฐบาลเน้นด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อค้นคว้าวิจัยเวชภัณฑ์ใหม่ๆ ก็ได้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาคอุตสาหกรรมนี้ มีการปรับปรุงกฎระเบียบด้านภาษีให้กับผู้ประกอบการต่างชาติ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เข้าไปเปิดสำนักงานภูมิภาคในสิงคโปร์ และสิงคโปร์ก็มองเห็นศักยภาพของภาค การสาธารณสุข โดยเฉพาะเอเชียซึ่งเป็นตลาดใหญ่ มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น และมีความต้องการยารักษาโรคใหม่ๆ ตลอดเวลา
- นายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูต ได้กล่าวว่า ไทยสามารถเรียนรู้แนวทางที่ดี (best practices) จากสิงคโปร์เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมของไทยได้ ขณะเดียวกัน ไทยควร ให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์งานด้านสาธารณสุขมากขึ้น อีกทั้งงบประมาณของไทย ที่ยังมีไม่เพียงพอ เพราะการพัฒนาด้านสาธารณสุขในปัจจุบันขึ้นอยู่กับการค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก หากภาครัฐของไทยให้การสนับสนุนก็จะทำให้อุตสาหกรรม เวชภัณฑ์นี้ประสบความสำเร็จต่อไป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-
กระทรวงการต่างประเทศได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ สิงคโปร์ ว่า
เมื่อวันที่ 1-3 มิถุนายน 2548 สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้เข้าร่วมงาน Drug Discovery & Development
Asia-Pacific ครั้งที่ 3 ซึ่งสิงคโปร์เป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่โรงแรม Shangri-La Singapore การจัดงานดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อเน้นความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ของประเทศในเอเชีย-แปซิฟิก และการ
ย้ำความสำคัญของสิงคโปร์ในการเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมในด้านนี้ โดยนายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูต และนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ เลขานุการโท ได้เข้าร่วมในพิธีเปิดงานดังกล่าวด้วย เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2548 โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. เป้าหมายของการจัดงาน ความสำคัญของการจัดงานอยู่ที่การส่งเสริมความร่วมมือในหมู่ผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ การเพิ่มบทบาทของสิงคโปร์ในการเป็นศูนย์กลางงานวิจัยด้านสาธารณสุข การแข่งขันด้านการค้นคว้าวิจัยทางเวชศาสตร์ใหม่ๆ และการแสดงนิทรรศการ ที่รวมเอาเวชภัณฑ์และเทคโนโลยีล่าสุดทางด้าน “life science” มาเปิดตัวต่อสาธารณชน นอกจากนี้ ในงาน ดังกล่าวยังเน้นการจัดสัมมนาเพื่อเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยถึงประเด็นทางด้านเวชภัณฑ์ใหม่ๆ อาทิ การค้นหาพันธมิตรในกลุ่มอุตสาหกรรมยาระหว่างประเทศ การลงทุนในธุรกิจเวชภัณฑ์ยาที่ใช้ป้องกันการ แพร่ระบาดของโรคติดต่อ การใช้วัสดุธรรมชาติมาเป็นส่วนประกอบของเวชภัณฑ์ การทดสอบคุณภาพยา และการวิจัยและพัฒนาสาขาเวชศาสตร์กายภาพและเทคโนโลยีเวชศาสตร์ (Biopharmaceuticals/Biotechnology R&D)
2. การกล่าวเปิดงานของ Dr. Balaji Sadasivan รัฐมนตรีอาวุโสด้านการสาธาณสุขสารนิเทศ คมนาคมและศิลปะของสิงคโปร์
- ดร. Sadasivan ได้กล่าวเปิดงานว่า จุดมุ่งหมายของการจัดงานอยู่ที่การค้นหา “insight” ในด้านการปฏิบัติการทางด้านเวชศาสตร์ การเน้นความพร้อมของเอเชียที่จะรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในภาคนี้ โดยเฉพาะสิงคโปร์ซึ่งมองตนเองว่าเป็นประตูไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค มีเที่ยวบินมากถึง 7,800 เที่ยวต่อสัปดาห์เชื่อมต่อทั่วโลก มีสาธารณูปโภคที่ครบครัน มีทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพ มีสิ่งแวดล้อมทางสังคมที่ดี มีกฎระเบียบที่มีผลบังคับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ ยึดถือหลักทรัพย์สินทางปัญญา มีสถาบันวิจัยจำนวนมาก และรัฐบาลส่งเสริมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์อย่างเต็มที่ปัจจัยเหล่านี้ได้ชักจูงให้บริษัทเวชภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ของโลกเลือกสิงคโปร์เป็นสำนักงานภูมิภาค
- นาง Maggie Tan ประธานการจัดงานฯ ได้เน้นความสำคัญของการจัดงานในปีนี้คือ แนวทางป้องกันโรคระบาด การพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเวชภัณฑ์ และสิงคโปร์ก็พร้อมที่จะแสดงบทบาทของการเป็นศูนย์กลางทางด้านงานวิจัย ในการนำผู้เชี่ยวชาญด้านเวชภัณฑ์มาพบปะพูดคุยกัน ร่วมมือ หรือลงทุนร่วมเพื่อช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมเวชภัณฑ์ของโลกเติบโตยิ่งขึ้น
3. การหารือระหว่างเอกอัครราชทูตไทยกับผู้แทนจากไทยที่เข้าร่วมในงานฯ นายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูต ได้แลกเปลี่ยนความเห็นและรับฟังปัญหาจาก ผู้เข้าร่วมงานของไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านสาธารณสุขทั้งในภาครัฐและเอกชน อาทิ กระทรวงสาธารณสุข องค์การอาหารและยา องค์การเภสัชกรรม สำนักงบประมาณ และจากผู้ผลิตเวชภัณฑ์จากหลายบริษัท เป็นต้น สาระสำคัญของผู้เข้าร่วมงานฝ่ายไทยมีดังนี้
- ผู้เข้าร่วมงานฝ่ายไทยมองว่า ความเป็นเลิศทางด้านสาธารณสุขของสิงคโปร์มิได้ขึ้นอยู่กับการคิดค้นทางด้านเวชศาสตร์ใหม่ๆ แต่เพียงอย่างเดียว แต่ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ของสิงคโปร์มีส่วนช่วยสร้างสถานะเป็นศูนย์กลางทางด้านการแพทย์ของประเทศ เช่น ความพร้อมด้านสาธารณูปโภค การลงทุนของรัฐบาลในด้าน R&D และการศึกษา
- สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการพัฒนากระบวนการด้านสาธารณสุขแบบ เป็นขั้นเป็นตอน ในขณะที่รัฐบาลเน้นด้านวิจัยและพัฒนา เพื่อค้นคว้าวิจัยเวชภัณฑ์ใหม่ๆ ก็ได้มีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในภาคอุตสาหกรรมนี้ มีการปรับปรุงกฎระเบียบด้านภาษีให้กับผู้ประกอบการต่างชาติ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เข้าไปเปิดสำนักงานภูมิภาคในสิงคโปร์ และสิงคโปร์ก็มองเห็นศักยภาพของภาค การสาธารณสุข โดยเฉพาะเอเชียซึ่งเป็นตลาดใหญ่ มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น และมีความต้องการยารักษาโรคใหม่ๆ ตลอดเวลา
- นายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูต ได้กล่าวว่า ไทยสามารถเรียนรู้แนวทางที่ดี (best practices) จากสิงคโปร์เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับอุตสาหกรรมของไทยได้ ขณะเดียวกัน ไทยควร ให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์งานด้านสาธารณสุขมากขึ้น อีกทั้งงบประมาณของไทย ที่ยังมีไม่เพียงพอ เพราะการพัฒนาด้านสาธารณสุขในปัจจุบันขึ้นอยู่กับการค้นคว้าเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก หากภาครัฐของไทยให้การสนับสนุนก็จะทำให้อุตสาหกรรม เวชภัณฑ์นี้ประสบความสำเร็จต่อไป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th--จบ--
-พห-