ข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ 64/2541
เรื่อง การปรับปรุงการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของอุตสาหกรรมขนาดย่อมและอุตสาหกรรมขนาดกลาง
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินจากกิจการอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลางมาตั้งแต่ปี2507 และ 2521 ตามลำดับ และในปี 2541ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินจะเรียกเก็บจากผู้ประกอบการจากเดิมกำหนดไว้ร้อยละ10 ต่อปี เป็นให้เรียกเก็บได้ในอัตราดอกเบี้ย MLR - 2.75% ต่อปีและปรับสัดส่วนเงินสมทบของธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 50เป็นร้อยละ 60 ของจำนวนเงินที่ผู้ประกอบการขอกู้เงิน
ผู้ประกอบการยังมาขอใช้บริการทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มากนักโดยขณะนี้มียอดคงค้างผ่านธนาคารพาณิชย์ 410 ล้านบาทและผ่านบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บรรษัท) 3,505 ล้านบาททั้งนี้เนื่องจากผลตอบแทนที่สถาบันการเงินได้รับยังไม่สูงเท่าเทียมกับการที่สถาบันการเงินจะนำเงินของตนเองไปปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการโดยตรงและมีอัตราส่วน BIS ratio ซึ่งต้องดำรงทั้งสินเชื่อในส่วนของตนเองและในส่วนที่เป็นของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยส่วนบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไม่อยู่ในบังคับจากเกณฑ์ดังกล่าวจึงใช้สินเชื่อได้มาก
เพื่อจูงใจและกระตุ้นให้สถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์และบรรษัทสนใจที่จะขอใช้บริการตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยไปปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลางมากขึ้นธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ปรับปรุงดังนี้
1. กำหนดให้สถาบันการเงินเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการตามระเบียบอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมขนาดย่อมได้เพิ่มขึ้นจากเดิมกำหนดไว้ในอัตรา MLR - 2.75% ต่อปี เป็น MLR - 1% ต่อปีซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับการปล่อยสินเชื่อโดยทั่วไปของสถาบันการเงินเอง
2. ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้นจากเดิมร้อยละ 1.75 ต่อปีแต่อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายก็ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดจากผู้ประกอบการสำหรับสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เองอยู่มากซึ่งโดยปกติแล้วสถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยในอัตรา MRR + 3.25% ต่อปีหรือเท่ากับว่าสถาบันการเงินได้ margin ประมาณร้อยละ 7.31 ต่อปี
ผู้ประกอบการจะได้รับการช่วยเหลือโดยทั่วไปจากเดิมร้อยละ 6.75 ต่อปีเหลือร้อยละ 5 ต่อปีแต่ผู้ประกอบการจะได้รับความช่วยเหลือจริงเมื่อเทียบกับเดิมซึ่งไม่มีการให้กู้ยืมเกิดขึ้นจริงเนื่องจากสถาบันการเงินจะต้องเสียประโยชน์
3. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เตรียมวงเงินช่วยเหลือในส่วนนี้ไว้ทั้งสิ้น 12,000ล้านบาท
4. ในกรณีบรรษัทธนาคารแห่งประเทศไทยจะเพิ่มวงเงินรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่บรรษัทเป็นผู้ออกและมีกระทรวงการคลังรับอาวัลอีก7,200 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีโดยเพิ่มสัดส่วนเงินสมทบของธนาคารแห่งประเทศไทยจากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 60และกำหนดให้บรรษัทคิดดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ย MLR - 1%ต่อปีเช่นเดียวกันเพื่อมิให้มีความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างสถาบันการเงินทั้งสองประเภท
5. นอกจากนี้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2541ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุมัติให้ผู้ประกอบการที่ได้ใช้วงเงินไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้เป็นเวลาต่อไปอีก5 ปี ซึ่งเดิมมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการให้ความช่วยเหลือไว้ 5 ปีเนื่องจากต้องการให้ผู้ประกอบการปรับตัวให้ค้าขายได้อย่างปกติแต่ในภาวะปัจจุบันเนื่องจากเศรษฐกิจทรุดตัวมีผลกระทบไปถึงแม้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กจึงยังมีความจำเป็นต้องให้อุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลางใช้วงเงินได้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
จึงแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
25 กันยายน 2541
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ฉบับที่ 64/2541
เรื่อง การปรับปรุงการรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินของอุตสาหกรรมขนาดย่อมและอุตสาหกรรมขนาดกลาง
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับซื้อลดตั๋วสัญญาใช้เงินจากกิจการอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลางมาตั้งแต่ปี2507 และ 2521 ตามลำดับ และในปี 2541ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินจะเรียกเก็บจากผู้ประกอบการจากเดิมกำหนดไว้ร้อยละ10 ต่อปี เป็นให้เรียกเก็บได้ในอัตราดอกเบี้ย MLR - 2.75% ต่อปีและปรับสัดส่วนเงินสมทบของธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 50เป็นร้อยละ 60 ของจำนวนเงินที่ผู้ประกอบการขอกู้เงิน
ผู้ประกอบการยังมาขอใช้บริการทางการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มากนักโดยขณะนี้มียอดคงค้างผ่านธนาคารพาณิชย์ 410 ล้านบาทและผ่านบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บรรษัท) 3,505 ล้านบาททั้งนี้เนื่องจากผลตอบแทนที่สถาบันการเงินได้รับยังไม่สูงเท่าเทียมกับการที่สถาบันการเงินจะนำเงินของตนเองไปปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการโดยตรงและมีอัตราส่วน BIS ratio ซึ่งต้องดำรงทั้งสินเชื่อในส่วนของตนเองและในส่วนที่เป็นของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยส่วนบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไม่อยู่ในบังคับจากเกณฑ์ดังกล่าวจึงใช้สินเชื่อได้มาก
เพื่อจูงใจและกระตุ้นให้สถาบันการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์และบรรษัทสนใจที่จะขอใช้บริการตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยไปปล่อยกู้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลางมากขึ้นธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ปรับปรุงดังนี้
1. กำหนดให้สถาบันการเงินเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการตามระเบียบอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมขนาดย่อมได้เพิ่มขึ้นจากเดิมกำหนดไว้ในอัตรา MLR - 2.75% ต่อปี เป็น MLR - 1% ต่อปีซึ่งจะทำให้สถาบันการเงินได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับการปล่อยสินเชื่อโดยทั่วไปของสถาบันการเงินเอง
2. ผู้ประกอบการจะมีต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้นจากเดิมร้อยละ 1.75 ต่อปีแต่อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายก็ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดจากผู้ประกอบการสำหรับสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เองอยู่มากซึ่งโดยปกติแล้วสถาบันการเงินจะคิดดอกเบี้ยในอัตรา MRR + 3.25% ต่อปีหรือเท่ากับว่าสถาบันการเงินได้ margin ประมาณร้อยละ 7.31 ต่อปี
ผู้ประกอบการจะได้รับการช่วยเหลือโดยทั่วไปจากเดิมร้อยละ 6.75 ต่อปีเหลือร้อยละ 5 ต่อปีแต่ผู้ประกอบการจะได้รับความช่วยเหลือจริงเมื่อเทียบกับเดิมซึ่งไม่มีการให้กู้ยืมเกิดขึ้นจริงเนื่องจากสถาบันการเงินจะต้องเสียประโยชน์
3. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เตรียมวงเงินช่วยเหลือในส่วนนี้ไว้ทั้งสิ้น 12,000ล้านบาท
4. ในกรณีบรรษัทธนาคารแห่งประเทศไทยจะเพิ่มวงเงินรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่บรรษัทเป็นผู้ออกและมีกระทรวงการคลังรับอาวัลอีก7,200 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปีโดยเพิ่มสัดส่วนเงินสมทบของธนาคารแห่งประเทศไทยจากร้อยละ 50 เป็นร้อยละ 60และกำหนดให้บรรษัทคิดดอกเบี้ยจากผู้ประกอบการได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ย MLR - 1%ต่อปีเช่นเดียวกันเพื่อมิให้มีความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างสถาบันการเงินทั้งสองประเภท
5. นอกจากนี้เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2541ธนาคารแห่งประเทศไทยได้อนุมัติให้ผู้ประกอบการที่ได้ใช้วงเงินไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้เป็นเวลาต่อไปอีก5 ปี ซึ่งเดิมมีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดการให้ความช่วยเหลือไว้ 5 ปีเนื่องจากต้องการให้ผู้ประกอบการปรับตัวให้ค้าขายได้อย่างปกติแต่ในภาวะปัจจุบันเนื่องจากเศรษฐกิจทรุดตัวมีผลกระทบไปถึงแม้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กจึงยังมีความจำเป็นต้องให้อุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลางใช้วงเงินได้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
จึงแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
25 กันยายน 2541
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--