รัฐสภาสิงคโปร์ได้ให้ความเห็นชอบมาตรการพิเศษด้านงบประมาณประจำปี 2541 (Off-Budget Measures) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2541 ทั้งนี้ เพื่อรักษาสถานะทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ ตามที่ ดร. Richard Hu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสิงคโปร์ได้เสนอให้รัฐสภาสิงคโปร์พิจารณาสรุปสาระสำคัญดังนี้
1. โดยที่เศรษฐกิจสิงคโปร์กำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) ดังจะเห็นได้จากตัวเลขของผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) ในปีนี้ ในขณะนี้ได้ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 2.5-4.5 เป็นร้อยละ 0.5-1.5 ดังนั้นสิงคโปร์จึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องเสนอมาตรการพิเศษด้านงบประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากงบประมาณประจำปี 2541 ซึ่งส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดสิงคโปร์ในปีนี้ต้องขาดดุลประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สิงค์โปร์ และนับเป็นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครั้งแรกนับตั้งแต่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสิงคโปร์ เมื่อปี 2530
วัตถุประสงค์ของมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวคือ
1. ลดภาระค่าใช้จ่ายของภาคธุรกิจเป็นจำนวนเงินประมาณ 978 ล้านดอลลาร์สิงค์โปร์ เช่น การลดภาษีค่าเช่าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ การลดภาษีการใช้ท่าเรือและโรงงาน และการลดค่าบริการไฟฟ้าและน้ำประปา เป็นต้น
2. ส่งเสริมศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงินงบประมาณ 668 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษา และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาการศึกษา เป็นต้น
3. แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะด้าน เช่น อสังหาริมทรัพย์ การเงิน และการธนาคารและการโรงแรม เพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงแก่ระบบเศรษฐกิจ คิดเป็นเงินประมาณ 395 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ อาทิ
- การอนุญาตให้นักพัฒนาที่ดินสามารถขอต่ออายุโครงการต่าง ๆ ได้ถึง 8 ปี โดยไม่ต้องเสีย เงินค่าปรับ
- การอนุญาตให้ขายคืนที่ดินของรัฐบาลที่ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้จนถึงปี 2542
- การเลื่อนการเก็บอากรแสตมป์ที่ดินร้อยละ 3 ออกไปจนกว่าโครงการจะเสร็จสิ้นลง
- การกำหนดเพดานร้อยละ 3 ในส่วนของการลดภาษีจากเงินสำรองโดยรวมของธนาคาร และธนา
คารพาณิชย์ต่าง ๆ ตามข้อวินิจฉัยของธนาคารกลางสิงคโปร์
- การลดหย่อนการเก็บภาษีรายได้สำหรับโรงแรมที่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการปรับ ปรุงสถานที่และ
กิจกรรมของโรงแรมในช่วงนี้ไปจนถึง 5 ปีข้างหน้า
ข้อสังเกต
1. นักวิชาการและนักวิเคราะห์ต่างชาติในสิงคโปร์มองว่า การลดภาษี และการลดอัตราเงิน Central
Provident Fund (CPF) น่าจะอยู่ในมาตรการดังกล่าวด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศและภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เป็นรูปธรรมมากกว่า อย่างไรก็ดี คาดว่าการลดภาษีเงินได้ และการลดอัตราเงิน CPF คงจะเป็นมาตรการในลำดับต่อไปหากสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดีขึ้นไปกว่านี้
2. รัฐบาลสิงคโปร์พยายามโน้มน้าวให้ประชาชนสิงคโปร์ มองว่าสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นในปีนี้มีสาเหตุจากปัจจัยภายนอกคือ วิกฤตการ์การเงินและเศรษฐกิจในภูมิภาคซึ่งแตกต่างจากสถานการณืที่เกิดในปี 2530 ที่มาจากการขาดความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกปัญหาเงินเฟ้อและค่าแรงที่สูงในสิงคโปร์
3. รัฐบาลสิงคโปร์ ได้พยายามรณรงค์ให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ตื่นตระหนกและมองสถานการณ์ในแง่ลบจนเกินไป จนต้องเลิกดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่า หากประชาชนสิงคโปร์ประหยัดและออมทรัพย์ไว้อย่างเดียวแล้ว จะส่งผลต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
ที่มา : กรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศ
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 6/31 สิงหาคม 2541--
1. โดยที่เศรษฐกิจสิงคโปร์กำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย (Recession) ดังจะเห็นได้จากตัวเลขของผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) ในปีนี้ ในขณะนี้ได้ลดลงจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 2.5-4.5 เป็นร้อยละ 0.5-1.5 ดังนั้นสิงคโปร์จึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องเสนอมาตรการพิเศษด้านงบประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ จากงบประมาณประจำปี 2541 ซึ่งส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดสิงคโปร์ในปีนี้ต้องขาดดุลประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สิงค์โปร์ และนับเป็นการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครั้งแรกนับตั้งแต่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสิงคโปร์ เมื่อปี 2530
วัตถุประสงค์ของมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวคือ
1. ลดภาระค่าใช้จ่ายของภาคธุรกิจเป็นจำนวนเงินประมาณ 978 ล้านดอลลาร์สิงค์โปร์ เช่น การลดภาษีค่าเช่าที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ การลดภาษีการใช้ท่าเรือและโรงงาน และการลดค่าบริการไฟฟ้าและน้ำประปา เป็นต้น
2. ส่งเสริมศักยภาพโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจสิงคโปร์ เป็นจำนวนเงินงบประมาณ 668 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เช่น การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการศึกษา และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการพัฒนาการศึกษา เป็นต้น
3. แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะด้าน เช่น อสังหาริมทรัพย์ การเงิน และการธนาคารและการโรงแรม เพื่อสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงแก่ระบบเศรษฐกิจ คิดเป็นเงินประมาณ 395 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ โดยกำหนดมาตรการต่าง ๆ อาทิ
- การอนุญาตให้นักพัฒนาที่ดินสามารถขอต่ออายุโครงการต่าง ๆ ได้ถึง 8 ปี โดยไม่ต้องเสีย เงินค่าปรับ
- การอนุญาตให้ขายคืนที่ดินของรัฐบาลที่ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้จนถึงปี 2542
- การเลื่อนการเก็บอากรแสตมป์ที่ดินร้อยละ 3 ออกไปจนกว่าโครงการจะเสร็จสิ้นลง
- การกำหนดเพดานร้อยละ 3 ในส่วนของการลดภาษีจากเงินสำรองโดยรวมของธนาคาร และธนา
คารพาณิชย์ต่าง ๆ ตามข้อวินิจฉัยของธนาคารกลางสิงคโปร์
- การลดหย่อนการเก็บภาษีรายได้สำหรับโรงแรมที่มีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในการปรับ ปรุงสถานที่และ
กิจกรรมของโรงแรมในช่วงนี้ไปจนถึง 5 ปีข้างหน้า
ข้อสังเกต
1. นักวิชาการและนักวิเคราะห์ต่างชาติในสิงคโปร์มองว่า การลดภาษี และการลดอัตราเงิน Central
Provident Fund (CPF) น่าจะอยู่ในมาตรการดังกล่าวด้วย ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศและภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เป็นรูปธรรมมากกว่า อย่างไรก็ดี คาดว่าการลดภาษีเงินได้ และการลดอัตราเงิน CPF คงจะเป็นมาตรการในลำดับต่อไปหากสถานการณ์เศรษฐกิจไม่ดีขึ้นไปกว่านี้
2. รัฐบาลสิงคโปร์พยายามโน้มน้าวให้ประชาชนสิงคโปร์ มองว่าสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เกิดขึ้นในปีนี้มีสาเหตุจากปัจจัยภายนอกคือ วิกฤตการ์การเงินและเศรษฐกิจในภูมิภาคซึ่งแตกต่างจากสถานการณืที่เกิดในปี 2530 ที่มาจากการขาดความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกปัญหาเงินเฟ้อและค่าแรงที่สูงในสิงคโปร์
3. รัฐบาลสิงคโปร์ ได้พยายามรณรงค์ให้ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ตื่นตระหนกและมองสถานการณ์ในแง่ลบจนเกินไป จนต้องเลิกดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมด ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่า หากประชาชนสิงคโปร์ประหยัดและออมทรัพย์ไว้อย่างเดียวแล้ว จะส่งผลต่อการหดตัวทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
ที่มา : กรมเศรษฐกิจ กระทรวงการต่างประเทศ
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 6/31 สิงหาคม 2541--