สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--14 ต.ค.--บิสนิวส์
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
มันสำปะหลัง : คาดว่าราคาหัวมันสำปะหลังในปี 2541/42 จะตกต่ำ
ปี ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. เฉลี่ย
2539 1.04 1.00 1.00 0.92 0.86 0.83 0.74 0.70 0.69 0.76 0.73 0.75 0.84
2540 0.68 0.67 0.67 0.65 0.55 0.53 0.53 0.60 0.67 0.71 0.89 0.98 0.68
2541 1.08 1.29 1.55 1.66 1.67 1.68 1.84 1.47 1.27 1.04*
หมายเหตุ : * สัปดาห์ที่ 1
จากการที่คาดว่า ผลผลิตมันสำปะหลังของไทยจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 6.03 ขณะที่การใช้ภายในประเทศในส่วนของมันเส้นมันอัดเม็ดลดลงเนื่องจากผลผลิตข้าวโพดภายในประเทศเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการอาหารสัตว์หันไปใช้ข้าวโพดมากขึ้น และแป้งมันสำปะหลังคาดว่าจะลดลงเช่นกันเพราะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ สำหรับการส่งออกมันอัดเม็ดไปในอียูจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่นอกอียูคาดว่าจะลดลงเพราะเกาหลีใต้คงนำเข้าธัญพืชจากสหรัฐฯ แทนมันอัดเม็ดเพราะได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐตามโครงการ GSM 102 และแป้งมันสำปะหลังมีปริมาณลดลง เพราะอินโดนีเซียลดการนำเข้าจากไทย
ในด้านต่างประเทศ คาดว่าในปี 2541/42 ผลผลิตธัญพืชของโลกลดลงร้อยละ0.52 แต่ธัญพืชเมล็ดหยาบเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.55 ส่วนธัญพืชของสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ0.98โดยมีปริมาณการใช้ภายในประเทศประมาณ 171.80 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาส่งผลให้สต๊อกธัญพืชสูงขึ้นร้อยละ 36
จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้อุปทานมันสำปะหลังมีมากเกินความต้องการของตลาดประกอบกับราคาธัญพืชในสหภาพยุโรปมีแนวโน้มลดลงทำให้ราคาหัวมันสำปะหลังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์ที่ 1 เดือนตุลาคม เหลือเพียงกิโลกรัมละ 1.04 บาท ขณะที่ราคาส่งออก F.O.B. ของมันอัดเม็ดตันละ 83 ดอลล่าร์-สหรัฐฯ ซึ่งในปัจจุบันราคาซื้อขายล่วงหน้ามันอัดเม็ด F.O.B. เดือนมกราคม-ธันวาคม 2542 เหลือเพียงตันละ 70 - 75 ดอลล่าร์สหรัฐฯ รวมทั้งผลผลิตมันสำปะหลังฤดูใหม่จะเริ่มทยอย ออกสู่ตลาด จึงคาดว่าราคาหัวมันจะตกต่ำลงไปอีก
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังและผู้ประกอบการค้ากระทรวงพาณิชย์ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการยกร่างนโยบายและมาตรการมันสำปะหลังครั้งที่ 1 ในวันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2541 โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน เพื่อพิจารณานโยบายและมาตรการในปี 2542 ดังนี้
1) มาตรการภายในประเทศ เพื่อเป็นการตระเตรียมแก้ไขปัญหาล่วงหน้าประธานฯได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ ปรึกษาหารือกับกรมการค้าภายใน พิจารณาว่าราคาเป้าหมายนำควรอยู่ในระดับใดและหามาตรการ/วิธีการในการแทรกแซงตลาด โดยใช้เงิน คชก. ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการค้ามากที่สุด ซึ่งผู้แทนสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรได้ชี้แจงว่า ต้นทุนการผลิตมันสำปะหลังปี 2542 กิโลกรัมละ 0.83 บาท ราคาที่เกษตรกรควรจะได้รับคือ กิโลกรัมละ 1.00 บาท
2) นโยบายการส่งออกผลิตภัณฑ์มันอัดเม็ดไปยังสหภาพยุโรป ปี 2542 ที่ประชุมมีความเห็นว่าควรเป็นนโยบายการส่งออกเสรี โดยในปี 2541 เป็นนโยบายการส่งออกเสรีแต่มีเงื่อนไข โดยผู้ส่งออกจะต้องมีการเก็บสต็อกมันสำปะหลังในแต่ละเดือนกล่าวคือ กำหนดให้มีการตรวจสต็อกของผู้ส่งออกทุกวันสุดท้ายของเดือน เฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก คือ ธันวาคม 2540 - พฤษภาคม 2541 และจะอนุญาตให้ส่งออกในเดือนถัดไปทั้งหมด
แต่สำหรับปี 2542 นี้ จากการเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินส่งผลให้ผู้ส่งออกขาดสภาพคล่อง หากยังคงเป็นนโยบายการส่งออกเช่นปี 2541 เกรงว่าจะก่อให้เกิดปัญหาแก่ผู้ส่งออกประธานฯจึงได้มอบหมายให้สมาคมการค้ามันสำปะหลังทั้ง 3 สมาคม รวมทั้งสมาคมอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังไทยจัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของผู้ส่งออกเพื่อขอสินเชื่อการส่งออกจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแต่จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการรับสินเชื่อนั้น
ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในข้อ 1.) และ 2.) นำเสนอรายละเอียดของโครงการ/มาตรการในการประชุมครั้งต่อไป
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ : การแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาตกต่ำ
ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2541/42 (กรกฎาคม 2541 - มิถุนายน 2542) คาดว่าจะได้ประมาณ 5.00 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 3.84 ล้านตัน ในปี 2540/41 ร้อยละ 30 ในขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดลดลงจาก 3.94 ล้านตัน ในปีก่อนเหลือเพียง 3.83 ล้านตัน เนื่องจากการเลี้ยงสัตว์ในประเทศมีปริมาณลดลง
จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาผลผลิตในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว (กันยายน-ตุลาคม) มีปริมาณมากเกินความต้องการและราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ตกต่ำลงจากกิโลกรัมละประมาณ 4-5 บาท ในช่วงต้นปีเหลือประมาณกิโลกรัมละ 2.90 - 3.82 บาท และเกษตรกรได้ร้องเรียนขอให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงตลาดโดยได้ยื่นข้อเรียกร้องให้ทางราชการเข้าไปรับซื้อข้าวโพดในราคากิโลกรัมละ 5.00 บาท โดยไม่กำหนดความชื้นรัฐบาลโดยคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และมีมติเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2541 ให้แทรกแซงตลาดด้วยวิธีรับจำนำข้าวโพดจากเกษตรกรจำนวน 5 แสนตัน โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรองค์การคลังสินค้าและภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกับกรมการค้าภายในดำเนินการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ณ ในราคาที่ยุ้งฉางเกษตรกรกิโลกรัมละ 3.80 บาท และราคารับจำนำหน้าคลังองค์การคลังสินค้า และโกดัง/ไซโลของเอกชนกิโลกรัมละ 4.00 บาท ระยะเวลาโครงการกันยายน 2541 - มิถุนายน 2542
ผลการดำนินงาน
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รับจำนำข้าวโพดจากเกษตรกรตั้งแต่ 18 กันยายน - 2 ตุลาคม 2541 จำนวน 2,495 ตัน
- องค์การคลังสินค้า รับจำนำข้าวโพดจากเกษตรกรตั้งแต่ 18 กันยายน -6 ตุลาคม 2541 จำนวน 7,366 ตัน
- ภาคเอกชนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ ยื่นความจำนงต่อกรมการค้าภายใน 41 ราย และได้รับการคัดเลือก 39 ราย เนื่องจากมีคุณสมบัติตรงตามที่ประกาศไว้ ทั้งนี้จะได้รับการจัดสรรปริมาณการรับจำนำทั้งสิ้น 299,050 ตัน
ปัญหาในการดำเนินงาน
1. การดำเนินการในระยะแรก ขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เกษตรกร และเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ไม่เข้าใจเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง การดำเนินการจึงล่าช้าและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมทั้งเกษตรกรเกรงจะถูก ธ.ก.ส. หักหนี้สิน จึงไม่เข้าร่วมโครงการ
2. ข้าวโพดส่วนหนึ่งที่พ่อค้าท้องถิ่นได้ตกเขียวไว้ก่อน จะไม่สามารถนำไปจำนำได้ เนื่องจากโครงการนี้จะรับจำนำจากเกษตรกรเท่านั้น
3. ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการกับกรมการค้าภายในจะต้องมี Bank guarantee เต็มจำนวนเงินซึ่งในทางปฏิบัติมีปัญหา และเป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการ แต่เงื่อนไขนี้ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแก้ปัญหาหนี้สูญ
จากปัญหาดังกล่าวคณะอนุกรรมการบริหารโครงการรับจำนำข้าวโพดฯ ได้มีมติในคราวประชุมเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2541 ดังนี้
1. ให้ ธ.ก.ส. และ อคส. และกรมการค้าภายใน ประชาสัมพันธ์เพื่อทำความเข้าใจกับเกษตรกร ผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนถึงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อให้โครงการฯ ดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว
2. ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ ราคาข้าวโพดในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก) ซึ่งมีการปรับตัวสูงขึ้นมาก
3. ให้ อคส.หาตลาดส่งออกที่ประเทศมาเลเซีย และเผยแพร่ข่าวการส่งออกข้าวโพดไปตลาดต่างประเทศ ทางสื่อสารมวลชน
4. ในกรณีที่ ธ.ก.ส. และ อคส. ไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายให้ประธานและฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจในการตัดสินใจเพื่อคัดเลือกผู้ประกอบการเข้าร่วมในโครงการของกรมค้าภายใน
ข้อคิดเห็น
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศแล้ว คาดว่าถ้าไม่มีการส่งออก จะมีข้าวโพดเกินความต้องการกว่า 1 ล้านตัน ดังนั้น หากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่บรรลุผลตามเป้าหมาย คาดว่าราคาข้าวโพดจะมีแนวโน้มลดต่ำลงไปได้อีก เนื่องจากในเดือนตุลาคมจะมีผลลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุด ประกอบกับพฤติกรรมของโรงงานอาหารสัตว์ที่มักจะชะลอการรับซื้อในระยะแรกไว้ก่อน แล้วจะเข้ารับซื้อในช่วงปลายโครงการที่อาจต้องระบายผลผลิตออกสู่ตลาดซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ราคาข้าวโพดตกต่ำลงไปอีก ในสถานการณ์เช่นนี้นอกจากจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรโดยตรงแล้ว อาจมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงปริมาณการเพาะปลูกข้าวโพดในฤดูหน้าด้วย
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 การแปรรูปผลิตผลเกษตร : ทางเลือกอีกอาชีพหนึ่งของยุคเศรษฐกิจพึ่งตนเอง
ในอดีตที่ผ่านมา ผลผลิตเกษตรหลายชนิดของเกษตรกรต้องปล่อยให้เน่าทิ้งเสียหาย เพราะสินค้าล้นตลาดขายไม่ได้ กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เคหกิจในสำนักงานเกษตรจังหวัด ไปฝึกอบรมกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรให้รู้จักการถนอมอาหาร โดยการแปรรูปผลผลิตเกษตรไว้บริโภคในครัวเรือน และนำส่วนเกินมาจำหน่ายเป็นการเพิ่มรายได้จนกลายเป็นรายได้เสริมให้กับแม่บ้านเกษตรกรทั่วไป
สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจึงได้ทำการสำรวจรายได้และผลตอบแทนการแปรรูปผลิตผลเกษตรอย่างง่าย จากกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเร็ว ๆ นี้ จำนวน 21 กลุ่ม ผลิตภัณฑ์ที่ทำการสำรวจแบ่งเป็นกลุ่ม อาหารและกลุ่มไม่ใช่อาหารรวมจำนวนทั้งหมด 36 ผลิตภัณฑ์ ปรากฏว่า ผลิตจากเครื่องดื่มผงสมุนไพรมีอัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนสูงสุดคือ ร้อยละ 88.82 - 152.03 ผลิตภัณฑ์จากมะม่วงมีอัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนร้อยละ 120.65 - 122.86 ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มีรายละเอียดของแต่ละกลุ่มดังนี้
1. ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอาหาร จำนวน 31 ผลิตภัณฑ์ โดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ตามชนิดของวัตถุดิบดังนี้
1.1 ผลิตภัณฑ์จากกข้าวและแป้ง จำนวน 7 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กาละแม ขนมดอกจอก ขนมทองม้วน ข้าวเกรียบฟักทอง ขนมนางเล็ด กรอบเค็ม และครองแครงกรอบ มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิต ตั้งแต่ร้อยละ 22.55 - 70.94
1.2 ผลิตภัณฑ์จากพริก จำนวน 6 ผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย พริกแห้ง พริกป่น พริกดองเค็ม น้ำจิ้มจากพริกดองเค็ม น้ำพริกนรก และแจ่วบอง มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิต ตั้งแต่ร้อยละ 8.76 - 119.88
1.3 ผลิตภัณฑ์จากกล้วย จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กล้วยตาก กล้วยฉาบ มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตร้อยละ 48.15 - 61.94
1.4 ผลิตภัณฑ์จากเครื่องดื่มผงสมุนไพร จำนวน 7 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ขิงผง มะตูมผง กระเจี๊ยบผง คำฝอยผง ฟ้าทะลายโจรผง เก๊กฮวยผง และใบบัวบกผง มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตตั้งแต่ร้อยละ 88.82 - 152.03
1.5 ผลิตภัณฑ์จากมะม่วง จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย มะม่วงดอง และมะม่วงแช่อิ่ม มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตร้อยละ 120.65 - 122.66
1.6 ผลิตภัณฑ์จากปลา จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย ปลาซิวแก้ว-ตากแห้ง ปลาส้ม ปลาย่างอบกรอบ หรือปลารมควัน มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตตั้งแต่ร้อยละ 23.99 - 44.01
1.7 ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ประกอบด้วยมะพร้าวแก้ว ถั่วกรอบแก้ว ไข่เค็ม และแคบหมู มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตร้อยละ 10.70 - 127.93
2. ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอาหาร จำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ไม้กวาดดอกหญ้า หมวกไม้ไผ่ ที่นึ่งข้าวเหนียว ตุ๊กตาสัตว์ทำจากเชือกปอ และเสื่อกก มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตตั้งแต่ร้อยละ 31.23 - 64.32 การแปรรูปผลิตผลการเกษตรจะเป็นอีกอาชีพที่จะช่วยให้เกษตรกรกลับคืนถิ่นได้ประกอบอาชีพจากวัตถุดิบที่หาได้ในไร่นาหรือในท้องถิ่น ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรควรให้สำนักงานเกษตรอำเภอทุกแห่งเปิดหลักสูตรการอบรมการแปรรูป ผลผลิตเกษตรให้กับแม่บ้านเกษตรกรหรือประชาชนที่สนใจ เพื่อเป็นทางเลือกอาชีพใหม่อีกอาชีพหนึ่งให้กับผู้ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน สำหรับผู้สนใจรายงานผลการสำรวจต้นทุนและรายได้จากการแปรรูปผลิตผลเกษตร สามารถขอรับได้ที่ส่วนวิจัยธุรกิจการเกษตร สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร โทร.5790612
2.2 การเปิดตลาดสินค้าเกษตร กระเทียม หอมหัวใหญ่และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ตามพันธกรณี WTO ปี 2542 คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง และหอมหัวใหญ่ ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเนวิน ชิดชอบ) เป็นประธาน ได้มีการประชุมครั้งที่ 3/2541 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2541 เพื่อพิจารณาเรื่องการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรกระเทียม หอมหัวใหญ่ และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ตามพันธกรณีข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2541 ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯพิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
1. กระเทียม
1) เปิดตลาดนำเข้าในโควตาจำนวน 63.33 ตัน อัตราภาษีร้อยละ 27 และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ 60.00
2) ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้า
2. หอมหัวใหญ่
1) เปิดตลาดนำเข้าในโควตา จำนวน 355.56 ตัน อัตราภาษีร้อยละ 27 และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ 150.00
2) ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้นำเข้า
3. เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
1) เปิดตลาดนำเข้าในโควตา จำนวน 6.311 ตัน อัตราภาษีร้อยละ 0 และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ 230.00
2) ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้นำเข้า
สำหรับปริมาณการนำเข้าในโควตาเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ จำกัด เป็นผู้นำเข้าผูกพันไว้ที่ 3.05 ตัน เนื่องจากความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่เพิ่มขึ้น ส่วนอัตราภาษีในโควตาลดลงจากที่ผูกพันไว้ที่ร้อยละ 30 เพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 5 - 11 ตุลาคม 2541--
1. สถานการณ์สินค้า
1.1 สินค้าที่มีปัญหา
สัปดาห์นี้ไม่มีสินค้าที่มีปัญหา
1.2 สินค้าที่ต้องคอยเฝ้าระวัง
มันสำปะหลัง : คาดว่าราคาหัวมันสำปะหลังในปี 2541/42 จะตกต่ำ
ปี ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. เฉลี่ย
2539 1.04 1.00 1.00 0.92 0.86 0.83 0.74 0.70 0.69 0.76 0.73 0.75 0.84
2540 0.68 0.67 0.67 0.65 0.55 0.53 0.53 0.60 0.67 0.71 0.89 0.98 0.68
2541 1.08 1.29 1.55 1.66 1.67 1.68 1.84 1.47 1.27 1.04*
หมายเหตุ : * สัปดาห์ที่ 1
จากการที่คาดว่า ผลผลิตมันสำปะหลังของไทยจะเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วร้อยละ 6.03 ขณะที่การใช้ภายในประเทศในส่วนของมันเส้นมันอัดเม็ดลดลงเนื่องจากผลผลิตข้าวโพดภายในประเทศเพิ่มขึ้น เป็นเหตุให้ผู้ประกอบการอาหารสัตว์หันไปใช้ข้าวโพดมากขึ้น และแป้งมันสำปะหลังคาดว่าจะลดลงเช่นกันเพราะเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ สำหรับการส่งออกมันอัดเม็ดไปในอียูจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา แต่นอกอียูคาดว่าจะลดลงเพราะเกาหลีใต้คงนำเข้าธัญพืชจากสหรัฐฯ แทนมันอัดเม็ดเพราะได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐตามโครงการ GSM 102 และแป้งมันสำปะหลังมีปริมาณลดลง เพราะอินโดนีเซียลดการนำเข้าจากไทย
ในด้านต่างประเทศ คาดว่าในปี 2541/42 ผลผลิตธัญพืชของโลกลดลงร้อยละ0.52 แต่ธัญพืชเมล็ดหยาบเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.55 ส่วนธัญพืชของสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ0.98โดยมีปริมาณการใช้ภายในประเทศประมาณ 171.80 ล้านตัน ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาส่งผลให้สต๊อกธัญพืชสูงขึ้นร้อยละ 36
จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นส่งผลให้อุปทานมันสำปะหลังมีมากเกินความต้องการของตลาดประกอบกับราคาธัญพืชในสหภาพยุโรปมีแนวโน้มลดลงทำให้ราคาหัวมันสำปะหลังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในสัปดาห์ที่ 1 เดือนตุลาคม เหลือเพียงกิโลกรัมละ 1.04 บาท ขณะที่ราคาส่งออก F.O.B. ของมันอัดเม็ดตันละ 83 ดอลล่าร์-สหรัฐฯ ซึ่งในปัจจุบันราคาซื้อขายล่วงหน้ามันอัดเม็ด F.O.B. เดือนมกราคม-ธันวาคม 2542 เหลือเพียงตันละ 70 - 75 ดอลล่าร์สหรัฐฯ รวมทั้งผลผลิตมันสำปะหลังฤดูใหม่จะเริ่มทยอย ออกสู่ตลาด จึงคาดว่าราคาหัวมันจะตกต่ำลงไปอีก
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังและผู้ประกอบการค้ากระทรวงพาณิชย์ได้มีการประชุมคณะอนุกรรมการยกร่างนโยบายและมาตรการมันสำปะหลังครั้งที่ 1 ในวันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม 2541 โดยมีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน เพื่อพิจารณานโยบายและมาตรการในปี 2542 ดังนี้
1) มาตรการภายในประเทศ เพื่อเป็นการตระเตรียมแก้ไขปัญหาล่วงหน้าประธานฯได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศ ปรึกษาหารือกับกรมการค้าภายใน พิจารณาว่าราคาเป้าหมายนำควรอยู่ในระดับใดและหามาตรการ/วิธีการในการแทรกแซงตลาด โดยใช้เงิน คชก. ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรและผู้ประกอบการค้ามากที่สุด ซึ่งผู้แทนสำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรได้ชี้แจงว่า ต้นทุนการผลิตมันสำปะหลังปี 2542 กิโลกรัมละ 0.83 บาท ราคาที่เกษตรกรควรจะได้รับคือ กิโลกรัมละ 1.00 บาท
2) นโยบายการส่งออกผลิตภัณฑ์มันอัดเม็ดไปยังสหภาพยุโรป ปี 2542 ที่ประชุมมีความเห็นว่าควรเป็นนโยบายการส่งออกเสรี โดยในปี 2541 เป็นนโยบายการส่งออกเสรีแต่มีเงื่อนไข โดยผู้ส่งออกจะต้องมีการเก็บสต็อกมันสำปะหลังในแต่ละเดือนกล่าวคือ กำหนดให้มีการตรวจสต็อกของผู้ส่งออกทุกวันสุดท้ายของเดือน เฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก คือ ธันวาคม 2540 - พฤษภาคม 2541 และจะอนุญาตให้ส่งออกในเดือนถัดไปทั้งหมด
แต่สำหรับปี 2542 นี้ จากการเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินส่งผลให้ผู้ส่งออกขาดสภาพคล่อง หากยังคงเป็นนโยบายการส่งออกเช่นปี 2541 เกรงว่าจะก่อให้เกิดปัญหาแก่ผู้ส่งออกประธานฯจึงได้มอบหมายให้สมาคมการค้ามันสำปะหลังทั้ง 3 สมาคม รวมทั้งสมาคมอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังไทยจัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องของผู้ส่งออกเพื่อขอสินเชื่อการส่งออกจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแต่จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในการรับสินเชื่อนั้น
ซึ่งที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในข้อ 1.) และ 2.) นำเสนอรายละเอียดของโครงการ/มาตรการในการประชุมครั้งต่อไป
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ : การแก้ไขปัญหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาตกต่ำ
ผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2541/42 (กรกฎาคม 2541 - มิถุนายน 2542) คาดว่าจะได้ประมาณ 5.00 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 3.84 ล้านตัน ในปี 2540/41 ร้อยละ 30 ในขณะที่ความต้องการใช้ข้าวโพดลดลงจาก 3.94 ล้านตัน ในปีก่อนเหลือเพียง 3.83 ล้านตัน เนื่องจากการเลี้ยงสัตว์ในประเทศมีปริมาณลดลง
จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาผลผลิตในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว (กันยายน-ตุลาคม) มีปริมาณมากเกินความต้องการและราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ตกต่ำลงจากกิโลกรัมละประมาณ 4-5 บาท ในช่วงต้นปีเหลือประมาณกิโลกรัมละ 2.90 - 3.82 บาท และเกษตรกรได้ร้องเรียนขอให้รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงตลาดโดยได้ยื่นข้อเรียกร้องให้ทางราชการเข้าไปรับซื้อข้าวโพดในราคากิโลกรัมละ 5.00 บาท โดยไม่กำหนดความชื้นรัฐบาลโดยคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ได้ให้ความช่วยเหลือเกษตรกร และมีมติเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2541 ให้แทรกแซงตลาดด้วยวิธีรับจำนำข้าวโพดจากเกษตรกรจำนวน 5 แสนตัน โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรองค์การคลังสินค้าและภาคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการกับกรมการค้าภายในดำเนินการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% ณ ในราคาที่ยุ้งฉางเกษตรกรกิโลกรัมละ 3.80 บาท และราคารับจำนำหน้าคลังองค์การคลังสินค้า และโกดัง/ไซโลของเอกชนกิโลกรัมละ 4.00 บาท ระยะเวลาโครงการกันยายน 2541 - มิถุนายน 2542
ผลการดำนินงาน
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร รับจำนำข้าวโพดจากเกษตรกรตั้งแต่ 18 กันยายน - 2 ตุลาคม 2541 จำนวน 2,495 ตัน
- องค์การคลังสินค้า รับจำนำข้าวโพดจากเกษตรกรตั้งแต่ 18 กันยายน -6 ตุลาคม 2541 จำนวน 7,366 ตัน
- ภาคเอกชนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ ยื่นความจำนงต่อกรมการค้าภายใน 41 ราย และได้รับการคัดเลือก 39 ราย เนื่องจากมีคุณสมบัติตรงตามที่ประกาศไว้ ทั้งนี้จะได้รับการจัดสรรปริมาณการรับจำนำทั้งสิ้น 299,050 ตัน
ปัญหาในการดำเนินงาน
1. การดำเนินการในระยะแรก ขาดการประชาสัมพันธ์ที่ดี ทำให้เกษตรกร และเจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ไม่เข้าใจเงื่อนไขและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง การดำเนินการจึงล่าช้าและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย รวมทั้งเกษตรกรเกรงจะถูก ธ.ก.ส. หักหนี้สิน จึงไม่เข้าร่วมโครงการ
2. ข้าวโพดส่วนหนึ่งที่พ่อค้าท้องถิ่นได้ตกเขียวไว้ก่อน จะไม่สามารถนำไปจำนำได้ เนื่องจากโครงการนี้จะรับจำนำจากเกษตรกรเท่านั้น
3. ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการกับกรมการค้าภายในจะต้องมี Bank guarantee เต็มจำนวนเงินซึ่งในทางปฏิบัติมีปัญหา และเป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่ผู้ประกอบการ แต่เงื่อนไขนี้ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อแก้ปัญหาหนี้สูญ
จากปัญหาดังกล่าวคณะอนุกรรมการบริหารโครงการรับจำนำข้าวโพดฯ ได้มีมติในคราวประชุมเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2541 ดังนี้
1. ให้ ธ.ก.ส. และ อคส. และกรมการค้าภายใน ประชาสัมพันธ์เพื่อทำความเข้าใจกับเกษตรกร ผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่ให้ชัดเจนถึงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อให้โครงการฯ ดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็ว
2. ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ ราคาข้าวโพดในตลาดต่างประเทศ (ตลาดชิคาโก) ซึ่งมีการปรับตัวสูงขึ้นมาก
3. ให้ อคส.หาตลาดส่งออกที่ประเทศมาเลเซีย และเผยแพร่ข่าวการส่งออกข้าวโพดไปตลาดต่างประเทศ ทางสื่อสารมวลชน
4. ในกรณีที่ ธ.ก.ส. และ อคส. ไม่สามารถดำเนินการได้ตามเป้าหมายให้ประธานและฝ่ายเลขานุการคณะอนุกรรมการฯ มีอำนาจในการตัดสินใจเพื่อคัดเลือกผู้ประกอบการเข้าร่วมในโครงการของกรมค้าภายใน
ข้อคิดเห็น
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์กับปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศแล้ว คาดว่าถ้าไม่มีการส่งออก จะมีข้าวโพดเกินความต้องการกว่า 1 ล้านตัน ดังนั้น หากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่บรรลุผลตามเป้าหมาย คาดว่าราคาข้าวโพดจะมีแนวโน้มลดต่ำลงไปได้อีก เนื่องจากในเดือนตุลาคมจะมีผลลผลิตออกสู่ตลาดมากที่สุด ประกอบกับพฤติกรรมของโรงงานอาหารสัตว์ที่มักจะชะลอการรับซื้อในระยะแรกไว้ก่อน แล้วจะเข้ารับซื้อในช่วงปลายโครงการที่อาจต้องระบายผลผลิตออกสู่ตลาดซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้ราคาข้าวโพดตกต่ำลงไปอีก ในสถานการณ์เช่นนี้นอกจากจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรโดยตรงแล้ว อาจมีผลกระทบต่อเนื่องไปถึงปริมาณการเพาะปลูกข้าวโพดในฤดูหน้าด้วย
2. สถานการณ์สินค้าเกษตรที่สำคัญ
2.1 การแปรรูปผลิตผลเกษตร : ทางเลือกอีกอาชีพหนึ่งของยุคเศรษฐกิจพึ่งตนเอง
ในอดีตที่ผ่านมา ผลผลิตเกษตรหลายชนิดของเกษตรกรต้องปล่อยให้เน่าทิ้งเสียหาย เพราะสินค้าล้นตลาดขายไม่ได้ กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เคหกิจในสำนักงานเกษตรจังหวัด ไปฝึกอบรมกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรให้รู้จักการถนอมอาหาร โดยการแปรรูปผลผลิตเกษตรไว้บริโภคในครัวเรือน และนำส่วนเกินมาจำหน่ายเป็นการเพิ่มรายได้จนกลายเป็นรายได้เสริมให้กับแม่บ้านเกษตรกรทั่วไป
สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตรสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจึงได้ทำการสำรวจรายได้และผลตอบแทนการแปรรูปผลิตผลเกษตรอย่างง่าย จากกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อเร็ว ๆ นี้ จำนวน 21 กลุ่ม ผลิตภัณฑ์ที่ทำการสำรวจแบ่งเป็นกลุ่ม อาหารและกลุ่มไม่ใช่อาหารรวมจำนวนทั้งหมด 36 ผลิตภัณฑ์ ปรากฏว่า ผลิตจากเครื่องดื่มผงสมุนไพรมีอัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนสูงสุดคือ ร้อยละ 88.82 - 152.03 ผลิตภัณฑ์จากมะม่วงมีอัตราผลตอบแทนต่อต้นทุนร้อยละ 120.65 - 122.86 ส่วนผลิตภัณฑ์อื่น ๆ มีรายละเอียดของแต่ละกลุ่มดังนี้
1. ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอาหาร จำนวน 31 ผลิตภัณฑ์ โดยแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ตามชนิดของวัตถุดิบดังนี้
1.1 ผลิตภัณฑ์จากกข้าวและแป้ง จำนวน 7 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กาละแม ขนมดอกจอก ขนมทองม้วน ข้าวเกรียบฟักทอง ขนมนางเล็ด กรอบเค็ม และครองแครงกรอบ มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิต ตั้งแต่ร้อยละ 22.55 - 70.94
1.2 ผลิตภัณฑ์จากพริก จำนวน 6 ผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย พริกแห้ง พริกป่น พริกดองเค็ม น้ำจิ้มจากพริกดองเค็ม น้ำพริกนรก และแจ่วบอง มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิต ตั้งแต่ร้อยละ 8.76 - 119.88
1.3 ผลิตภัณฑ์จากกล้วย จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย กล้วยตาก กล้วยฉาบ มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตร้อยละ 48.15 - 61.94
1.4 ผลิตภัณฑ์จากเครื่องดื่มผงสมุนไพร จำนวน 7 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ขิงผง มะตูมผง กระเจี๊ยบผง คำฝอยผง ฟ้าทะลายโจรผง เก๊กฮวยผง และใบบัวบกผง มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตตั้งแต่ร้อยละ 88.82 - 152.03
1.5 ผลิตภัณฑ์จากมะม่วง จำนวน 2 ผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย มะม่วงดอง และมะม่วงแช่อิ่ม มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตร้อยละ 120.65 - 122.66
1.6 ผลิตภัณฑ์จากปลา จำนวน 3 ผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย ปลาซิวแก้ว-ตากแห้ง ปลาส้ม ปลาย่างอบกรอบ หรือปลารมควัน มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตตั้งแต่ร้อยละ 23.99 - 44.01
1.7 ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ประกอบด้วยมะพร้าวแก้ว ถั่วกรอบแก้ว ไข่เค็ม และแคบหมู มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตร้อยละ 10.70 - 127.93
2. ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นอาหาร จำนวน 5 ผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย ไม้กวาดดอกหญ้า หมวกไม้ไผ่ ที่นึ่งข้าวเหนียว ตุ๊กตาสัตว์ทำจากเชือกปอ และเสื่อกก มีผลตอบแทนต่อต้นทุนการผลิตตั้งแต่ร้อยละ 31.23 - 64.32 การแปรรูปผลิตผลการเกษตรจะเป็นอีกอาชีพที่จะช่วยให้เกษตรกรกลับคืนถิ่นได้ประกอบอาชีพจากวัตถุดิบที่หาได้ในไร่นาหรือในท้องถิ่น ซึ่งกรมส่งเสริมการเกษตรควรให้สำนักงานเกษตรอำเภอทุกแห่งเปิดหลักสูตรการอบรมการแปรรูป ผลผลิตเกษตรให้กับแม่บ้านเกษตรกรหรือประชาชนที่สนใจ เพื่อเป็นทางเลือกอาชีพใหม่อีกอาชีพหนึ่งให้กับผู้ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน สำหรับผู้สนใจรายงานผลการสำรวจต้นทุนและรายได้จากการแปรรูปผลิตผลเกษตร สามารถขอรับได้ที่ส่วนวิจัยธุรกิจการเกษตร สำนักวิจัยเศรษฐกิจการเกษตร โทร.5790612
2.2 การเปิดตลาดสินค้าเกษตร กระเทียม หอมหัวใหญ่และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ตามพันธกรณี WTO ปี 2542 คณะอนุกรรมการจัดการการผลิตและการตลาดกระเทียม หอมแดง และหอมหัวใหญ่ ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเนวิน ชิดชอบ) เป็นประธาน ได้มีการประชุมครั้งที่ 3/2541 เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2541 เพื่อพิจารณาเรื่องการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรกระเทียม หอมหัวใหญ่ และเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ตามพันธกรณีข้อตกลงภายใต้องค์การการค้าโลก (WTO) ปี 2541 ซึ่งที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯพิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้
1. กระเทียม
1) เปิดตลาดนำเข้าในโควตาจำนวน 63.33 ตัน อัตราภาษีร้อยละ 27 และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ 60.00
2) ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้นำเข้า
2. หอมหัวใหญ่
1) เปิดตลาดนำเข้าในโควตา จำนวน 355.56 ตัน อัตราภาษีร้อยละ 27 และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ 150.00
2) ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้นำเข้า
3. เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่
1) เปิดตลาดนำเข้าในโควตา จำนวน 6.311 ตัน อัตราภาษีร้อยละ 0 และอัตราภาษีนอกโควตาร้อยละ 230.00
2) ให้ชุมนุมสหกรณ์ผู้ปลูกหอมหัวใหญ่แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นผู้นำเข้า
สำหรับปริมาณการนำเข้าในโควตาเมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ จำกัด เป็นผู้นำเข้าผูกพันไว้ที่ 3.05 ตัน เนื่องจากความต้องการใช้เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่เพิ่มขึ้น ส่วนอัตราภาษีในโควตาลดลงจากที่ผูกพันไว้ที่ร้อยละ 30 เพื่อลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 5 - 11 ตุลาคม 2541--