แท็ก
ภาวะเศรษฐกิจ
ข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ 25 /2541
เรื่อง การสั่งลดทุน เพิ่มทุน และเปลี่ยนแปลงกรรมการของบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหา
สืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่องและการขาดสภาพคล่องในตลาดเงิน ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน
เสื่อมลง ประกอบกับการที่สถาบันการเงินมีความจำเป็นต้องกันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพตามนโยบายของทางการที่มุ่งยกมาตรฐานการจัดชั้นและ
การกันสำรองเข้าสู่มาตรฐานสากล จึงเป็นเหตุให้สถาบันการเงิน โดยเฉพาะบริษัทเงินทุนหลายแห่งมีผลขาดทุนและจำเป็นต้องเพิ่มทุนเพื่อ
เสริมสร้างความมั่นคงของบริษัท ปรากฏว่าสถาบันการเงินหลายแห่งสามารถเพิ่มทุนและมีฐานะมั่นคงขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีบริษัทเงินทุนบางแห่ง
ที่ผู้ถือหุ้นไม่สามารถเพิ่มทุนให้เพียงพอได้ภายในเวลาที่ได้มีบันทึกตกลงไว้กับทางการและมีหนี้ด้อยคุณภาพสูง ทำให้บริษัทไม่อยู่ในฐานะที่จะ
สามารถชำระหนี้ นอกจากนี้ หลายบริษัทยังมีปัญหาที่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ไม่มีความเชื่อมั่นในฐานะของบริษัท มีการถอนเงินเป็นจำนวนสูง
จนต้องมาพึ่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หากปล่อยให้บริษัทดำเนินการต่อไปโดยไม่แก้ไขปัญหาดังกล่าวจะเป็นเหตุให้
เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน ประกอบกับผู้ถือหุ้นเดิมได้เปิดโอกาสให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย ทางการจึงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการเพิ่มทุนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่บริษัทเหล่านี้อย่างเร่งด่วน
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 26 วรรคสอง และมาตรา 57 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 57 ตรี
วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 ที่แก้ไขแล้ว ให้บริษัทเงินทุน
และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหารวม 7 แห่ง ได้แก่บริษัทเงินทุนนวธนกิจ จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนเอราวัณทรัสต์ จำกัด บริษัทเงินทุน
มหาทุน จำกัด บริษัทเงินทุนบางกอกเอเชียน จำกัด บริษัทเงินทุนเศรษฐการ จำกัด บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ จำกัด (มหาชน)
และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เคสิท จำกัด (มหาชน) ลดทุนจดทะเบียนและชำระแล้วให้เหลือหุ้นละหนึ่งสตางค์ เพื่อล้างผลขาดทุนของบริษัท
หลังจากนั้น ให้ทุกบริษัทเพิ่มทุนตามความจำเป็นของแต่ละบริษัท เพื่อให้ทุกบริษัทมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9 โดยหุ้น
ที่เกิดจากการเพิ่มทุนดังกล่าวให้ขายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยโดยความ
เห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 57 ทวิ วรรคสอง ถอดถอนคณะกรรมการเดิมทั้งหมดทุกบริษัท
และแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เข้าไปแทน โดยคณะกรรมการชุดใหม่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้บริหารของบริษัท
เงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ให้เข้าดูแลและบริหารกิจการของทุกบริษัท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2541 เป็นต้นไป
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีธนาคารของรัฐ คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นอยู่กว่า
ร้อยละ 80 จะเข้าดูแลและบริหารกิจการของทุกบริษัทและจะได้ดำเนินการตรวจสอบและประเมินราคาสินทรัพย์ร่วมกับทางการ ก่อนที่จะรับซื้อ
และรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของทุกบริษัทเข้ารวมกับสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ต่อไป และ
เมื่อควบรวมแล้วบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) จะได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจธนาคาพาณิชย์ ทั้งนี้ กองทุนเพื่อการ
ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพร้อมที่จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นหุ้น
ในธนาคารดังกล่าวต่อไปด้วย การดำเนินการด้วยวิธีนี้จะช่วยลดความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เนื่องจาก
จะได้รับผลประโยชน์กลับคืนจากการขายหุ้นให้กับภาคเอกชนในอนาคต
การสั่งการดังกล่าวข้างต้นไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ต่อผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ของแต่ละบริษัท โดยทุกบริษัทยังคงเปิดดำเนินการตามปกติ
และเมื่อมีการควบรวมแต่ละบริษัทเข้ากับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ก็จะเปลี่ยน
สภาพเป็นผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน)
คณะกรรมการชุดใหม่จะเข้าดูแลและบริหารงานในแต่ละบริษัทให้เป็นไปโดยเรียบร้อย สำหรับกรรมการชุดเดิมหรือผู้บริหารในบาง
บริษัทซึ่งเป็นผู้ที่ทางการแต่งตั้งเข้าไปช่วยทางการดูแลบริษัทเป็นการชั่วคราวในระยะก่อนหน้า แต่ถูกถอดถอนในครั้งนี้ เป็นเพียงการสั่งการตาม
กฎหมายเพื่อให้สามารถแต่งตั้งผู้แทนจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ให้เข้าบริหารงานได้ทันทีเท่านั้น อย่างไรก็ดี
กรรมการหรือผู้บริหารรายอื่นหากทางการตรวจพบว่ามีการปฏิบัติมิชอบ จะมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไปและ การดำเนินการ
ดังกล่าว ไม่ใช่การเข้าไปอุ้มเจ้าของบริษัทเพราะการลดทุนทำให้ ผู้ถือหุ้นบริษัทต้องรับผิดชอบความเสียหาย ทางการจะติดตามดูแลการเพิ่มทุน
ตามแผนงานของบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รายอื่นอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกบริษัทมีฐานะมั่นคงและมีเงินกองทุนพอเพียง หากปรากฏ
ว่ามีบริษัทใดมีปัญหาฐานะการดำเนินงานและไม่สามารถเพิ่มทุนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้อีก ทางการก็จะเข้าแทรกแซงในลักษณะเดียว
กันนี้โดยทันที เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันการ ซึ่งจะช่วยให้ระบบสถาบันการเงินของไทยมีความมั่นคงและเป็นที่เชื่อถือ
ของผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ทั้งในและต่างประเทศ และทางการโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะยังคงคุ้มครองและ
ค้ำประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้อย่างเต็มที่ต่อไป
จึงแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
18 พฤษภาคม 2541
บริการตอบข้อซักถาม โปรดติดต่อ โทร 283 6121-6 และ 283 5825-8
การสั่งลดทุนและเพิ่มทุนบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหา
หน่วย: ล้านบาท
_______________________________________________________________________________________________
ที่ บริษัท ทุนจดทะเบียน ลดทุนรวม ทุนที่เหลือ เพิ่มทุนรวม ทุนจดทะเบียนใหม่ เงินกองทุน:
และชำระแล้วเดิม (ลดทุนเหลือหุ้นละ หลังจากการลดทุน สินทรัพย์และ
1 สตางค์) (บาท) ภาระผูกพัน
(ร้อยละ)
________________________________________________________________________________________________
1. บงล. ร่วมเสริมกิจ
(มหาชน) 812.32 811.51 812,322.90 3,900.00 3,900.81 9.06
2. บงล. นวธนกิจ
(มหาชน) 2,250.00 2,247.75 2,250,000.00 4,650.00 4,652.25 9.04
3. บง. มหาทุน 150.00 149.99 15,000.00 870.00 870.02 9.74
4. บง. บางกอก
เอเชียน 540.00 539.90 54,000.00 410.00 410.05 9.02
5. บงล. เคสิท
(มหาชน) 150.00 149.85 150,000.00 640.00 640.15 9.58
6. บง.เอราวัณทรัสต์ 325.00 324.87 130,000.00 375.00 375.13 9.84
7. บง.เศรษฐการ 200.00 199.98 20,000.00 620.00 620.02 9.45
_____________________________________________________________________________________________
11,465.00
_____________________________________________________________________________________________
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ฉบับที่ 25 /2541
เรื่อง การสั่งลดทุน เพิ่มทุน และเปลี่ยนแปลงกรรมการของบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหา
สืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่องและการขาดสภาพคล่องในตลาดเงิน ส่งผลให้คุณภาพสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน
เสื่อมลง ประกอบกับการที่สถาบันการเงินมีความจำเป็นต้องกันสำรองหนี้ด้อยคุณภาพตามนโยบายของทางการที่มุ่งยกมาตรฐานการจัดชั้นและ
การกันสำรองเข้าสู่มาตรฐานสากล จึงเป็นเหตุให้สถาบันการเงิน โดยเฉพาะบริษัทเงินทุนหลายแห่งมีผลขาดทุนและจำเป็นต้องเพิ่มทุนเพื่อ
เสริมสร้างความมั่นคงของบริษัท ปรากฏว่าสถาบันการเงินหลายแห่งสามารถเพิ่มทุนและมีฐานะมั่นคงขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีบริษัทเงินทุนบางแห่ง
ที่ผู้ถือหุ้นไม่สามารถเพิ่มทุนให้เพียงพอได้ภายในเวลาที่ได้มีบันทึกตกลงไว้กับทางการและมีหนี้ด้อยคุณภาพสูง ทำให้บริษัทไม่อยู่ในฐานะที่จะ
สามารถชำระหนี้ นอกจากนี้ หลายบริษัทยังมีปัญหาที่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ไม่มีความเชื่อมั่นในฐานะของบริษัท มีการถอนเงินเป็นจำนวนสูง
จนต้องมาพึ่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หากปล่อยให้บริษัทดำเนินการต่อไปโดยไม่แก้ไขปัญหาดังกล่าวจะเป็นเหตุให้
เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของประชาชน ประกอบกับผู้ถือหุ้นเดิมได้เปิดโอกาสให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วย ทางการจึงได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการเพิ่มทุนเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่บริษัทเหล่านี้อย่างเร่งด่วน
ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงออกคำสั่งโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 26 วรรคสอง และมาตรา 57 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 57 ตรี
วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ.2522 ที่แก้ไขแล้ว ให้บริษัทเงินทุน
และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหารวม 7 แห่ง ได้แก่บริษัทเงินทุนนวธนกิจ จำกัด (มหาชน) บริษัทเงินทุนเอราวัณทรัสต์ จำกัด บริษัทเงินทุน
มหาทุน จำกัด บริษัทเงินทุนบางกอกเอเชียน จำกัด บริษัทเงินทุนเศรษฐการ จำกัด บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ร่วมเสริมกิจ จำกัด (มหาชน)
และบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เคสิท จำกัด (มหาชน) ลดทุนจดทะเบียนและชำระแล้วให้เหลือหุ้นละหนึ่งสตางค์ เพื่อล้างผลขาดทุนของบริษัท
หลังจากนั้น ให้ทุกบริษัทเพิ่มทุนตามความจำเป็นของแต่ละบริษัท เพื่อให้ทุกบริษัทมีอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 9 โดยหุ้น
ที่เกิดจากการเพิ่มทุนดังกล่าวให้ขายให้แก่กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยโดยความ
เห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังยังได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 57 ทวิ วรรคสอง ถอดถอนคณะกรรมการเดิมทั้งหมดทุกบริษัท
และแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เข้าไปแทน โดยคณะกรรมการชุดใหม่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย และผู้บริหารของบริษัท
เงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ให้เข้าดูแลและบริหารกิจการของทุกบริษัท ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2541 เป็นต้นไป
บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีธนาคารของรัฐ คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นอยู่กว่า
ร้อยละ 80 จะเข้าดูแลและบริหารกิจการของทุกบริษัทและจะได้ดำเนินการตรวจสอบและประเมินราคาสินทรัพย์ร่วมกับทางการ ก่อนที่จะรับซื้อ
และรับโอนสินทรัพย์และหนี้สินของทุกบริษัทเข้ารวมกับสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ต่อไป และ
เมื่อควบรวมแล้วบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) จะได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจธนาคาพาณิชย์ ทั้งนี้ กองทุนเพื่อการ
ฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินพร้อมที่จะเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนในบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นหุ้น
ในธนาคารดังกล่าวต่อไปด้วย การดำเนินการด้วยวิธีนี้จะช่วยลดความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เนื่องจาก
จะได้รับผลประโยชน์กลับคืนจากการขายหุ้นให้กับภาคเอกชนในอนาคต
การสั่งการดังกล่าวข้างต้นไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ต่อผู้ฝากเงินหรือเจ้าหนี้ของแต่ละบริษัท โดยทุกบริษัทยังคงเปิดดำเนินการตามปกติ
และเมื่อมีการควบรวมแต่ละบริษัทเข้ากับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ก็จะเปลี่ยน
สภาพเป็นผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน)
คณะกรรมการชุดใหม่จะเข้าดูแลและบริหารงานในแต่ละบริษัทให้เป็นไปโดยเรียบร้อย สำหรับกรรมการชุดเดิมหรือผู้บริหารในบาง
บริษัทซึ่งเป็นผู้ที่ทางการแต่งตั้งเข้าไปช่วยทางการดูแลบริษัทเป็นการชั่วคราวในระยะก่อนหน้า แต่ถูกถอดถอนในครั้งนี้ เป็นเพียงการสั่งการตาม
กฎหมายเพื่อให้สามารถแต่งตั้งผู้แทนจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) ให้เข้าบริหารงานได้ทันทีเท่านั้น อย่างไรก็ดี
กรรมการหรือผู้บริหารรายอื่นหากทางการตรวจพบว่ามีการปฏิบัติมิชอบ จะมีการดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวดต่อไปและ การดำเนินการ
ดังกล่าว ไม่ใช่การเข้าไปอุ้มเจ้าของบริษัทเพราะการลดทุนทำให้ ผู้ถือหุ้นบริษัทต้องรับผิดชอบความเสียหาย ทางการจะติดตามดูแลการเพิ่มทุน
ตามแผนงานของบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์รายอื่นอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทุกบริษัทมีฐานะมั่นคงและมีเงินกองทุนพอเพียง หากปรากฏ
ว่ามีบริษัทใดมีปัญหาฐานะการดำเนินงานและไม่สามารถเพิ่มทุนได้ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้อีก ทางการก็จะเข้าแทรกแซงในลักษณะเดียว
กันนี้โดยทันที เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็วและทันการ ซึ่งจะช่วยให้ระบบสถาบันการเงินของไทยมีความมั่นคงและเป็นที่เชื่อถือ
ของผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ทั้งในและต่างประเทศ และทางการโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินจะยังคงคุ้มครองและ
ค้ำประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้อย่างเต็มที่ต่อไป
จึงแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
18 พฤษภาคม 2541
บริการตอบข้อซักถาม โปรดติดต่อ โทร 283 6121-6 และ 283 5825-8
การสั่งลดทุนและเพิ่มทุนบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ที่มีปัญหา
หน่วย: ล้านบาท
_______________________________________________________________________________________________
ที่ บริษัท ทุนจดทะเบียน ลดทุนรวม ทุนที่เหลือ เพิ่มทุนรวม ทุนจดทะเบียนใหม่ เงินกองทุน:
และชำระแล้วเดิม (ลดทุนเหลือหุ้นละ หลังจากการลดทุน สินทรัพย์และ
1 สตางค์) (บาท) ภาระผูกพัน
(ร้อยละ)
________________________________________________________________________________________________
1. บงล. ร่วมเสริมกิจ
(มหาชน) 812.32 811.51 812,322.90 3,900.00 3,900.81 9.06
2. บงล. นวธนกิจ
(มหาชน) 2,250.00 2,247.75 2,250,000.00 4,650.00 4,652.25 9.04
3. บง. มหาทุน 150.00 149.99 15,000.00 870.00 870.02 9.74
4. บง. บางกอก
เอเชียน 540.00 539.90 54,000.00 410.00 410.05 9.02
5. บงล. เคสิท
(มหาชน) 150.00 149.85 150,000.00 640.00 640.15 9.58
6. บง.เอราวัณทรัสต์ 325.00 324.87 130,000.00 375.00 375.13 9.84
7. บง.เศรษฐการ 200.00 199.98 20,000.00 620.00 620.02 9.45
_____________________________________________________________________________________________
11,465.00
_____________________________________________________________________________________________
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--