ภาวะเศรษฐกิจปี 2541 เศรษฐกิจภาคเหนือปี 2541 หดตัวลงประมาณร้อยละ 3.9 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เศรษฐกิจภาคเหนือหดตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยภายนอกทั้งปัญหาสถาบันการเงินและเศรษฐกิจ โดยรวมของประเทศที่หดตัวลง ธุรกิจส่วนใหญ่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องจากการเข้มงวดให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการสูงขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในเกณฑ์สูง โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกของปี ขณะเดียวกันภาครัฐบาลปรับลดการใช้จ่ายลงแม้จะเร่งเบิกจ่ายในช่วงปลายปีงบประมาณ แต่การใช้จ่ายโดยรวมยังคงลดลง นอกจากนี้การใช้จ่ายของประชาชนลดลงมาก จากปัญหาการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง จึงระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น การผลิตสาขานอกภาคเกษตรลดลงร้อยละ 5.5 โดยลดลงเกือบทุกสาขา มีเพียงภาคบริการยังคงขยายตัว แต่การผลิตภาคเกษตรยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยขยายตัวในอัตราที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 จากสาขาพืชผลเป็นสำคัญจากแรงจูงใจของราคาและสภาพฝนที่กระจายตัวดี ประกอบกับราคาพืชผลส่วนใหญ่สูงขึ้นจากปีก่อน รายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นมากประมาณร้อยละ 21.7 ส่วนการส่งออกผ่านด่านศุลกากรภาคเหนือลดลงร้อยละ 0.6 โดยเฉพาะช่วงครึ่งหลังของปีจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น การแข่งขันด้านราคาจากประเทศคู่แข่งวิกฤติการณ์เศรษฐกิจของตลาดในประเทศแถบเอเชีย และประเทศพม่าเข้มงวดการนำเข้าสินค้าจากชายแดนไทย ทางด้านดัชนีราคาผู้บริโภคจากอุปสงค์โดยรวมที่ลดลง ประกอบกับช่วงครึ่งหลังของปีดัชนีราคาเริ่มปรับตัวลดลงตามลำดับ ทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเฉลี่ยปีนี้เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 8.0 สำหรับภาคการเงินยอดคงค้างเงินฝากณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงร้อยละ 2.8 ส่วนเงินให้กู้ยืมยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องร้อยละ 11.6 ฐานะการคลังรัฐบาลภาคเหนือในปีงบประมาณ 2541 มีเงินสดเกินดุล 3,543.5 ล้านบาท ลดลงเทียบกับที่เกินดุล 14,590.5 ล้านบาทปีก่อน จากการปรับลดงบประมาณรายจ่ายและรายได้ที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง
การผลิตภาคเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประชาชนในภาคเหนือยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เทียบกับร้อยละ 2.4 ปีก่อน โดยสาขาพืชผลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.2 จากพืชหลักสำคัญ เช่น ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.5 ร้อยละ 52.1 และร้อยละ 31.2 ตามลำดับ สาเหตุจากราคาในปีก่อนจูงใจ ตลอดจนภาวะฝนที่กระจายตัวดี แม้ว่าช่วงต้นฤดูกาลเพาะปลูกจะประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงและมีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ปัญหาการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในแหล่งผลิตข้าวนาปี 2541/42 บริเวณภาคเหนือตอนล่างทำความเสียหายต่อพื้นที่เพาะปลูกเพียงเล็กน้อย ส่วนลำไยและลิ้นจี่ผลผลิตลดลงมาก เป็นประวัติการณ์ร้อยละ 92.0 และร้อยละ 97.3 จากภาวะอากาศหนาวเย็นไม่เพียงพอเมื่อปีก่อน สาขาปศุสัตว์เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงร้อยละ 5.0 แม้ว่าการผลิตสุกรจะลดลงตามอุปสงค์ภายในประเทศ แต่การผลิตไก่เนื้อขยายตัวตามความต้องการเพื่อส่งออก
ราคาพืชผลการเกษตรโดยรวมในภาคเหนือปี 2541 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 22.5 โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกของปีจากค่าของเงินที่อ่อนตัวลง แม้ว่าในช่วงครึ่งหลังราคาพืชผลหลายชนิดจะตกต่ำลง แต่โดยเฉลี่ยทั้งปีแล้วยังอยู่ในเกณฑ์สูง ราคาพืชผลสำคัญ เช่น ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 19.6 ร้อยละ 37.3 และร้อยละ 1.9 ตามลำดับ จากราคาที่สูงขึ้นดังกล่าวส่งผลให้รายได้เกษตรกรในภาคเหนือปี 2541 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณร้อยละ 21.7 เทียบกับร้อยละ 2.9 ปีก่อน
การผลิตนอกภาคเกษตรลดลงเกือบทุกสาขา ยกเว้นภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 5.3 ตามการผลิตของอุตสาหกรรมหลักของภาค ได้แก่ น้ำตาลทรายลดลงร้อยละ 31.8 ตามผลผลิตอ้อยเข้าหีบลดลงและคุณภาพอ้อยต่ำลง ปูนซีเมนต์ลดลงตามภาวะการก่อสร้าง ส่วนการผลิตของโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน การผลิตชะลอลงตาม มูลค่าการส่งออกที่ชะลอลงร้อยละ 14.7 เทียบกับร้อยละ 34.2 ปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น และตลาดในแถบเอเชียประสบปัญหาวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การผลิตสินค้าอื่นๆ โดยเฉพาะโลหะสังกะสีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ส่วนสินค้าอื่น ๆ ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป แปรรูปพืชผัก และสินค้าหัตถกรรม เป็นต้น ภาคเหมืองแร่ การผลิตลดลงร้อยละ 7.9 จากผลผลิตลิกไนต์ที่ลดลงร้อยละ 10.4 เป็นสำคัญ ตามความต้องการของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ที่ลดลง ส่วนแร่อื่นๆ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ยิปซัม และหินปูน ลดลงร้อยละ 7.3 ร้อยละ 58.6 และร้อยละ 32.3 ตามลำดับ ส่วนแร่สังกะสีผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวตามการขยายตัวของการผลิตโลหะสังกะสี ภาคบริการ ยังคงขยายตัวร้อยละ 0.5 จากจำนวน นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในภาคเหนือมากขึ้น เป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นสำคัญ แม้ว่านักท่องเที่ยวชาวไทยจะลดลงแต่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ภาวะการท่องเที่ยวคึกคักมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน การรับซื้อเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เป็น 110.6 ล้านดอลลาร์ สรอ.
การลงทุน/ก่อสร้าง ภาวะการลงทุนปี 2541 ลดลงจากปีก่อนทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชนตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง รวมทั้งปัญหาขาดสภาพคล่องและการเข้มงวดการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และการปรับลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะการก่อสร้างลดลงมากถึงร้อยละ 17.7 ทั้งการก่อสร้างภาครัฐและเอกชน สำหรับการลงทุนภาคเอกชนพิจารณาจากพื้นที่ก่อสร้างในเขตเทศบาลที่ลดลงถึงร้อยละ 51.9 สินเชื่อก่อสร้างลดลงร้อยละ 8.5 กิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่าลดลงร้อยละ 37.9 โรงงานจดทะเบียนใหม่ลดลงทั้งจำนวนรายและมูลค่าร้อยละ 32.7 และร้อยละ 69.2 ขณะที่โรงงานเลิกกิจการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนรายและมูลค่าถึงร้อยละ 44.5 และกว่า 2 เท่าตัว ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือยังขยายตัวจากมูลค่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.9 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนประเภทเครื่องจักรและวัตถุดิบเพื่อเตรียมผลิตสินค้าชนิดใหม่
ทางด้านการลงทุนภาครัฐลดลง การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2541 ลดลงร้อยละ 5.8 ผลจากการตัดทอนงบประมาณรายจ่าย ของรัฐบาลแม้ว่ารัฐบาลจะเร่งการเบิกจ่ายตั้งแต่ไตรมาสที่สาม เป็นต้นมา แต่ส่งผล ต่อการลงทุนใหม่ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ผลจากการเร่งเบิกจ่ายดังกล่าวส่งผลดีต่อ โครงการก่อสร้างเกี่ยวกับสาธารณูปโภค ส่วนใหญ่เป็นโครงการต่อเนื่อง เช่น โครงการขยายถนนและการก่อสร้างใน โครงการของ อบต.
การใช้จ่ายภาคเอกชนลดลงตามเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่หดตัวลง และกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่เพิ่มขึ้น เครื่องชี้การใช้จ่ายภาคเอกชนแสดงทิศทางที่ลดลงเกือบทุกรายการ ได้แก่ สินเชื่อเพื่อ การอุปโภคบริโภคลดลงจากปีก่อนร้อยละ 14.1 ผลจากการเข้มงวดในการให้สินเชื่อ ของสถาบันการเงินยอดจดทะเบียนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ลดลงในอัตราที่สูงมาก ร้อยละ 58.1 และ ร้อยละ 49.3 ตามลำดับ
ระดับราคา จากอุปสงค์โดยรวมที่ลดลง ทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวลดลงตามลำดับ ดัชนีราคาผู้บริโภคปี 2541 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 8.0 เทียบกับร้อยละ 5.6 ปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นทั้งหมวดอาหารและมิใช่ อาหารร้อยละ 9.8 และร้อยละ 7.2 ตามลำดับ
การเงิน
เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ปี 2541 เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวตั้งแต่ต้นปี เป็นต้นมา เนื่องจากความไม่มั่นใจของผู้ฝากต่อระบบสถาบันการเงินทำให้มีการถอน เงินเพื่อฝากกับสถาบันการเงินอื่น และบางส่วนเพื่อชำระหนี้ แต่หลังจากที่ทางการออกมาตรการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2541 เงินฝากเริ่มปรับตัวดีขึ้นช่วงเดือนกันยายน แต่หลังจากนั้นเริ่มชะลอตัวลงตามลำดับในช่วงไตรมาสที่ 4 เนื่องจากธนาคาร พาณิชย์เริ่มมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 ยอดคงค้างเงินฝากทั้งสิ้น 264,020.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ชะลอลง เมื่อเทียบกับร้อยละ 7.6 ปีก่อน
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์มีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 อยู่ในระดับร้อยละ 6.17 ต่อปี
สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี นอกจากธนาคารพาณิชย์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อใหม่ รวมทั้งการเร่งรัดติดตามหนี้จากลูกค้า และการลดวงเงินบางส่วนแล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับสูงทำให้ลูกค้าบางส่วน ถอนเงินฝากมาเพื่อลดภาระหนี้ ส่วนหนึ่งมีการโอนสินเชื่อรายใหญ่ไปบริหารที่ส่วนกลาง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 ยอดคงค้างสินเชื่อ มีทั้งสิ้น 219,781.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.6 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 2.0 ปีก่อน สินเชื่อลดลงมากที่สุด จากสินเชื่อเพื่อการพาณิชยกรรม และสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล
ทางด้านอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ของธนาคารพาณิชย์ได้ปรับตัวลดลงตามลำดับ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 อยู่ในระดับร้อยละ 12.73 ต่อปี
การใช้เช็ค ปริมาณการใช้เช็คผ่านสำนักหักบัญชีภาคเหนือปี 2541 ลดลงตาม ภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง และจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง ตลอดจนการใช้เงินสดเพื่อการชำระหนี้มากขึ้น ปริมาณการใช้เช็คลดลงทั้งจำนวน ฉบับและมูลค่าร้อยละ 18.5 และร้อยละ 25.1 ตามลำดับ สัดส่วนมูลค่าเช็คคืนต่อเช็คเรียกเก็บอยู่ในระดับร้อยละ 2.7 ใกล้เคียงกับ ร้อยละ 2.8 ปีก่อน
ปี 2541 มีสาขาธนาคารพาณิชย์เปิดดำเนินการใหม่ 7 สำนักงาน เป็นสาขา เต็มรูปแบบ 6 สำนักงาน และสาขาย่อย 1 สำนักงาน และมีสาขาธนาคารปิดดำเนินการตามมาตรการเมื่อ 14 สิงหาคม 2541 49 สำนักงาน เป็นสาขาของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ ทำให้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 มีสาขาธนาคารพาณิชย์เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 523 สำนักงาน นอกจากนั้นมีการควบรวมกิจการ ระหว่างธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามมาตรการเมื่อ 14 สิงหาคม 2541 จำนวน 12 สำนักงาน และธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)
การคลังฐานะการคลังรัฐบาลในภาคเหนือ ปีงบประมาณ 2541 เงินในงบประมาณขาดดุล 92,029.1 ล้านบาท ลดลงเทียบกับที่ขาดดุล 102,589.9 ล้านบาทปีก่อน สาเหตุจากรัฐมีการควบคุมงบประมาณและบริหารการใช้จ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยงบประมาณรายจ่ายรวมลดลงจากปีก่อนร้อยละ 9.4 ขณะเดียวกันรายได้รัฐลดลงจากปีก่อนร้อยละ 3.0 ตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวเมื่อรวมกับการ รับจ่ายเงินนอกงบประมาณซึ่งเกินดุล 95,572.6 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐเกินดุลเงินสด 3,543.5 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับที่เกินดุลเงินสด 14,590.5 ล้านบาทปีก่อน อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณปีปัจจุบันร้อยละ 86.9 เทียบกับร้อยละ 85.5 ล้านบาทปีก่อน จากการเร่งเบิกจ่ายช่วงปลายปีงบประมาณ
การค้าต่างประเทศของภาคเหนือ
การส่งออกสินค้าผ่านด่านศุลกากรภาคเหนือลดลงจากปีก่อนร้อยละ 0.6 เหลือ 33,117.8 ล้านบาท (ในรูปดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 24.5 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2 ในปีก่อน) โดยการส่งออกผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 ชะลอตัวเมื่อเทียบกับร้อยละ 42.4 ปีก่อน (ในรูปดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 17.9) โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีจากปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัว ปัญหาการแข่งขันด้านราคาประเทศคู่แข่ง รวมทั้งวิกฤติการณ์เศรษฐกิจของตลาดในแถบเอเชีย ทำให้การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 14.7 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.2 ปีก่อน ส่วนการส่งออกผ่านชายแดนลดลงร้อยละ 35.4 เหลือ 4,024.3 ล้านบาท จากการส่งออกไปพม่าเป็นสำคัญ แม้ว่าการส่งออกไปลาว และจีน (ตอนใต้) จะเพิ่มขึ้นแต่มูลค่าการส่งออกไม่มากนัก
การนำเข้า สินค้าผ่านด่านศุลกากรภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 35.9 เป็น 27,544.1 ล้านบาท (ในรูปดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 เทียบกับร้อยละ 2.8 ปีก่อน) โดยการนำเข้าผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.4 เป็น 26,514.8 ล้านบาท (ในรูปดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4) โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.9 เป็น 25,696.1 ล้านบาท (ในรูปดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5) จากการนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบเพื่อเตรียมการผลิตสินค้าชนิดใหม่ ส่วนการนำเข้าผ่านชายแดนเพิ่มขึ้นร้อยละ 90.5 เป็น 1,029.3 ล้านบาท เร่งตัวเมื่อเทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 ในปีก่อน จากการเพิ่มขึ้น ของการนำเข้าสินค้าจากพม่าและจีน (ตอนใต้) เป็นสำคัญ
แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2542
เศรษฐกิจภาคเหนือปี 2542 มีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้จะขึ้น อยู่กับความเข้มแข็งของปัจจัยสนับสนุน ที่สำคัญคือ มาตรการกระตุ้นโดยรวมของภาคเศรษฐกิจ ของรัฐบาล โดยนโยบายการคลังแบบขาดดุลที่จะเร่งการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายและความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างหนี้ภาคเอกชนที่จะช่วยให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลดีต่อการผลิตสาขานอกภาคเกษตร โดยสาขาก่อสร้างและพาณิชยกรรมจะขยายตัวตามการใช้จ่ายและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนภาคอุตสาหกรรมผลจากสภาพคล่องที่ดีขึ้น และต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำลง ทำให้การผลิตทั้งเพื่อการส่งออกและเพื่อจำหน่ายในประเทศมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนสาขาบริการคาดว่ายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากภาวะการท่องเที่ยว ส่วนการผลิตภาคเกษตรคาดว่ายังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ว่าจะมีปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขื่อนสำคัญ รวมทั้งราคาพืชผลที่มีแนวโน้มต่ำลง แต่อาจจะส่งผลต่อการผลิตข้าวนาปรังไม่มากนัก เนื่องจากเกษตรกรยังคงปรับตัวโดยการขุดเจาะบาดาล และราคาแม้ว่าจะต่ำลง แต่ยังอยู่ในเกณฑ์จูงใจให้เกษตรกรทำการเพาะปลูก สำหรับผลผลิตลำไยและลิ้นจี่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากที่ผลผลิตลดลงเมื่อปีก่อน ในขณะที่การปลูกพืชรุ่นฝนช่วงครึ่งหลังควรอยู่ในเกณฑ์ดีจาก ภาวะฝนที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ
--เศรษฐกิจภาคเหนือปี 2541 และแนวโน้มปี 2542/ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
การผลิตภาคเกษตร ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญของประชาชนในภาคเหนือยังคงเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เทียบกับร้อยละ 2.4 ปีก่อน โดยสาขาพืชผลเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.2 จากพืชหลักสำคัญ เช่น ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 2.5 ร้อยละ 52.1 และร้อยละ 31.2 ตามลำดับ สาเหตุจากราคาในปีก่อนจูงใจ ตลอดจนภาวะฝนที่กระจายตัวดี แม้ว่าช่วงต้นฤดูกาลเพาะปลูกจะประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงและมีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ปัญหาการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลในแหล่งผลิตข้าวนาปี 2541/42 บริเวณภาคเหนือตอนล่างทำความเสียหายต่อพื้นที่เพาะปลูกเพียงเล็กน้อย ส่วนลำไยและลิ้นจี่ผลผลิตลดลงมาก เป็นประวัติการณ์ร้อยละ 92.0 และร้อยละ 97.3 จากภาวะอากาศหนาวเย็นไม่เพียงพอเมื่อปีก่อน สาขาปศุสัตว์เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงร้อยละ 5.0 แม้ว่าการผลิตสุกรจะลดลงตามอุปสงค์ภายในประเทศ แต่การผลิตไก่เนื้อขยายตัวตามความต้องการเพื่อส่งออก
ราคาพืชผลการเกษตรโดยรวมในภาคเหนือปี 2541 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 22.5 โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกของปีจากค่าของเงินที่อ่อนตัวลง แม้ว่าในช่วงครึ่งหลังราคาพืชผลหลายชนิดจะตกต่ำลง แต่โดยเฉลี่ยทั้งปีแล้วยังอยู่ในเกณฑ์สูง ราคาพืชผลสำคัญ เช่น ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 19.6 ร้อยละ 37.3 และร้อยละ 1.9 ตามลำดับ จากราคาที่สูงขึ้นดังกล่าวส่งผลให้รายได้เกษตรกรในภาคเหนือปี 2541 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณร้อยละ 21.7 เทียบกับร้อยละ 2.9 ปีก่อน
การผลิตนอกภาคเกษตรลดลงเกือบทุกสาขา ยกเว้นภาคบริการ ภาคอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 5.3 ตามการผลิตของอุตสาหกรรมหลักของภาค ได้แก่ น้ำตาลทรายลดลงร้อยละ 31.8 ตามผลผลิตอ้อยเข้าหีบลดลงและคุณภาพอ้อยต่ำลง ปูนซีเมนต์ลดลงตามภาวะการก่อสร้าง ส่วนการผลิตของโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน การผลิตชะลอลงตาม มูลค่าการส่งออกที่ชะลอลงร้อยละ 14.7 เทียบกับร้อยละ 34.2 ปีก่อน ส่วนใหญ่เป็นการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น และตลาดในแถบเอเชียประสบปัญหาวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การผลิตสินค้าอื่นๆ โดยเฉพาะโลหะสังกะสีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.8 ส่วนสินค้าอื่น ๆ ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป แปรรูปพืชผัก และสินค้าหัตถกรรม เป็นต้น ภาคเหมืองแร่ การผลิตลดลงร้อยละ 7.9 จากผลผลิตลิกไนต์ที่ลดลงร้อยละ 10.4 เป็นสำคัญ ตามความต้องการของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ที่ลดลง ส่วนแร่อื่นๆ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ ยิปซัม และหินปูน ลดลงร้อยละ 7.3 ร้อยละ 58.6 และร้อยละ 32.3 ตามลำดับ ส่วนแร่สังกะสีผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวตามการขยายตัวของการผลิตโลหะสังกะสี ภาคบริการ ยังคงขยายตัวร้อยละ 0.5 จากจำนวน นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในภาคเหนือมากขึ้น เป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นสำคัญ แม้ว่านักท่องเที่ยวชาวไทยจะลดลงแต่ในช่วงไตรมาสที่ 4 ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ภาวะการท่องเที่ยวคึกคักมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน การรับซื้อเงินตราต่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.5 เป็น 110.6 ล้านดอลลาร์ สรอ.
การลงทุน/ก่อสร้าง ภาวะการลงทุนปี 2541 ลดลงจากปีก่อนทั้งการลงทุนภาครัฐและเอกชนตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง รวมทั้งปัญหาขาดสภาพคล่องและการเข้มงวดการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์และการปรับลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะการก่อสร้างลดลงมากถึงร้อยละ 17.7 ทั้งการก่อสร้างภาครัฐและเอกชน สำหรับการลงทุนภาคเอกชนพิจารณาจากพื้นที่ก่อสร้างในเขตเทศบาลที่ลดลงถึงร้อยละ 51.9 สินเชื่อก่อสร้างลดลงร้อยละ 8.5 กิจการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนมูลค่าลดลงร้อยละ 37.9 โรงงานจดทะเบียนใหม่ลดลงทั้งจำนวนรายและมูลค่าร้อยละ 32.7 และร้อยละ 69.2 ขณะที่โรงงานเลิกกิจการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนรายและมูลค่าถึงร้อยละ 44.5 และกว่า 2 เท่าตัว ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือยังขยายตัวจากมูลค่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.9 ส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนประเภทเครื่องจักรและวัตถุดิบเพื่อเตรียมผลิตสินค้าชนิดใหม่
ทางด้านการลงทุนภาครัฐลดลง การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2541 ลดลงร้อยละ 5.8 ผลจากการตัดทอนงบประมาณรายจ่าย ของรัฐบาลแม้ว่ารัฐบาลจะเร่งการเบิกจ่ายตั้งแต่ไตรมาสที่สาม เป็นต้นมา แต่ส่งผล ต่อการลงทุนใหม่ไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม ผลจากการเร่งเบิกจ่ายดังกล่าวส่งผลดีต่อ โครงการก่อสร้างเกี่ยวกับสาธารณูปโภค ส่วนใหญ่เป็นโครงการต่อเนื่อง เช่น โครงการขยายถนนและการก่อสร้างใน โครงการของ อบต.
การใช้จ่ายภาคเอกชนลดลงตามเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่หดตัวลง และกำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง เนื่องจากปัญหาการว่างงานที่เพิ่มขึ้น เครื่องชี้การใช้จ่ายภาคเอกชนแสดงทิศทางที่ลดลงเกือบทุกรายการ ได้แก่ สินเชื่อเพื่อ การอุปโภคบริโภคลดลงจากปีก่อนร้อยละ 14.1 ผลจากการเข้มงวดในการให้สินเชื่อ ของสถาบันการเงินยอดจดทะเบียนรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ ลดลงในอัตราที่สูงมาก ร้อยละ 58.1 และ ร้อยละ 49.3 ตามลำดับ
ระดับราคา จากอุปสงค์โดยรวมที่ลดลง ทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวลดลงตามลำดับ ดัชนีราคาผู้บริโภคปี 2541 เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 8.0 เทียบกับร้อยละ 5.6 ปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นทั้งหมวดอาหารและมิใช่ อาหารร้อยละ 9.8 และร้อยละ 7.2 ตามลำดับ
การเงิน
เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ปี 2541 เพิ่มขึ้นในอัตราชะลอตัวตั้งแต่ต้นปี เป็นต้นมา เนื่องจากความไม่มั่นใจของผู้ฝากต่อระบบสถาบันการเงินทำให้มีการถอน เงินเพื่อฝากกับสถาบันการเงินอื่น และบางส่วนเพื่อชำระหนี้ แต่หลังจากที่ทางการออกมาตรการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2541 เงินฝากเริ่มปรับตัวดีขึ้นช่วงเดือนกันยายน แต่หลังจากนั้นเริ่มชะลอตัวลงตามลำดับในช่วงไตรมาสที่ 4 เนื่องจากธนาคาร พาณิชย์เริ่มมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 ยอดคงค้างเงินฝากทั้งสิ้น 264,020.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 ชะลอลง เมื่อเทียบกับร้อยละ 7.6 ปีก่อน
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์มีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 อยู่ในระดับร้อยละ 6.17 ต่อปี
สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ลดลงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี นอกจากธนาคารพาณิชย์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อใหม่ รวมทั้งการเร่งรัดติดตามหนี้จากลูกค้า และการลดวงเงินบางส่วนแล้ว อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในระดับสูงทำให้ลูกค้าบางส่วน ถอนเงินฝากมาเพื่อลดภาระหนี้ ส่วนหนึ่งมีการโอนสินเชื่อรายใหญ่ไปบริหารที่ส่วนกลาง ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 ยอดคงค้างสินเชื่อ มีทั้งสิ้น 219,781.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.6 เทียบกับที่ลดลงร้อยละ 2.0 ปีก่อน สินเชื่อลดลงมากที่สุด จากสินเชื่อเพื่อการพาณิชยกรรม และสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล
ทางด้านอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ของธนาคารพาณิชย์ได้ปรับตัวลดลงตามลำดับ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MLR) ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 อยู่ในระดับร้อยละ 12.73 ต่อปี
การใช้เช็ค ปริมาณการใช้เช็คผ่านสำนักหักบัญชีภาคเหนือปี 2541 ลดลงตาม ภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวลง และจากปัญหาการขาดสภาพคล่อง ตลอดจนการใช้เงินสดเพื่อการชำระหนี้มากขึ้น ปริมาณการใช้เช็คลดลงทั้งจำนวน ฉบับและมูลค่าร้อยละ 18.5 และร้อยละ 25.1 ตามลำดับ สัดส่วนมูลค่าเช็คคืนต่อเช็คเรียกเก็บอยู่ในระดับร้อยละ 2.7 ใกล้เคียงกับ ร้อยละ 2.8 ปีก่อน
ปี 2541 มีสาขาธนาคารพาณิชย์เปิดดำเนินการใหม่ 7 สำนักงาน เป็นสาขา เต็มรูปแบบ 6 สำนักงาน และสาขาย่อย 1 สำนักงาน และมีสาขาธนาคารปิดดำเนินการตามมาตรการเมื่อ 14 สิงหาคม 2541 49 สำนักงาน เป็นสาขาของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ ทำให้ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2541 มีสาขาธนาคารพาณิชย์เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 523 สำนักงาน นอกจากนั้นมีการควบรวมกิจการ ระหว่างธนาคารมหานคร จำกัด (มหาชน) กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ตามมาตรการเมื่อ 14 สิงหาคม 2541 จำนวน 12 สำนักงาน และธนาคารสหธนาคาร จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนชื่อเป็น ธนาคารไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)
การคลังฐานะการคลังรัฐบาลในภาคเหนือ ปีงบประมาณ 2541 เงินในงบประมาณขาดดุล 92,029.1 ล้านบาท ลดลงเทียบกับที่ขาดดุล 102,589.9 ล้านบาทปีก่อน สาเหตุจากรัฐมีการควบคุมงบประมาณและบริหารการใช้จ่ายให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยงบประมาณรายจ่ายรวมลดลงจากปีก่อนร้อยละ 9.4 ขณะเดียวกันรายได้รัฐลดลงจากปีก่อนร้อยละ 3.0 ตามภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวเมื่อรวมกับการ รับจ่ายเงินนอกงบประมาณซึ่งเกินดุล 95,572.6 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐเกินดุลเงินสด 3,543.5 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับที่เกินดุลเงินสด 14,590.5 ล้านบาทปีก่อน อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณปีปัจจุบันร้อยละ 86.9 เทียบกับร้อยละ 85.5 ล้านบาทปีก่อน จากการเร่งเบิกจ่ายช่วงปลายปีงบประมาณ
การค้าต่างประเทศของภาคเหนือ
การส่งออกสินค้าผ่านด่านศุลกากรภาคเหนือลดลงจากปีก่อนร้อยละ 0.6 เหลือ 33,117.8 ล้านบาท (ในรูปดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 24.5 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2 ในปีก่อน) โดยการส่งออกผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.4 ชะลอตัวเมื่อเทียบกับร้อยละ 42.4 ปีก่อน (ในรูปดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 17.9) โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีจากปัญหาค่าเงินบาทแข็งตัว ปัญหาการแข่งขันด้านราคาประเทศคู่แข่ง รวมทั้งวิกฤติการณ์เศรษฐกิจของตลาดในแถบเอเชีย ทำให้การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในเขตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 14.7 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.2 ปีก่อน ส่วนการส่งออกผ่านชายแดนลดลงร้อยละ 35.4 เหลือ 4,024.3 ล้านบาท จากการส่งออกไปพม่าเป็นสำคัญ แม้ว่าการส่งออกไปลาว และจีน (ตอนใต้) จะเพิ่มขึ้นแต่มูลค่าการส่งออกไม่มากนัก
การนำเข้า สินค้าผ่านด่านศุลกากรภาคเหนือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 35.9 เป็น 27,544.1 ล้านบาท (ในรูปดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7 เทียบกับร้อยละ 2.8 ปีก่อน) โดยการนำเข้าผ่านด่านท่าอากาศยานเชียงใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 34.4 เป็น 26,514.8 ล้านบาท (ในรูปดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4) โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าในนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ จังหวัดลำพูน เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.9 เป็น 25,696.1 ล้านบาท (ในรูปดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5) จากการนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบเพื่อเตรียมการผลิตสินค้าชนิดใหม่ ส่วนการนำเข้าผ่านชายแดนเพิ่มขึ้นร้อยละ 90.5 เป็น 1,029.3 ล้านบาท เร่งตัวเมื่อเทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.6 ในปีก่อน จากการเพิ่มขึ้น ของการนำเข้าสินค้าจากพม่าและจีน (ตอนใต้) เป็นสำคัญ
แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2542
เศรษฐกิจภาคเหนือปี 2542 มีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวดีขึ้น แต่ทั้งนี้จะขึ้น อยู่กับความเข้มแข็งของปัจจัยสนับสนุน ที่สำคัญคือ มาตรการกระตุ้นโดยรวมของภาคเศรษฐกิจ ของรัฐบาล โดยนโยบายการคลังแบบขาดดุลที่จะเร่งการใช้จ่ายเพื่อเพิ่มการใช้จ่ายและความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างหนี้ภาคเอกชนที่จะช่วยให้การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ขยายตัวมากขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลดีต่อการผลิตสาขานอกภาคเกษตร โดยสาขาก่อสร้างและพาณิชยกรรมจะขยายตัวตามการใช้จ่ายและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนภาคอุตสาหกรรมผลจากสภาพคล่องที่ดีขึ้น และต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำลง ทำให้การผลิตทั้งเพื่อการส่งออกและเพื่อจำหน่ายในประเทศมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่วนสาขาบริการคาดว่ายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากภาวะการท่องเที่ยว ส่วนการผลิตภาคเกษตรคาดว่ายังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน แม้ว่าจะมีปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขื่อนสำคัญ รวมทั้งราคาพืชผลที่มีแนวโน้มต่ำลง แต่อาจจะส่งผลต่อการผลิตข้าวนาปรังไม่มากนัก เนื่องจากเกษตรกรยังคงปรับตัวโดยการขุดเจาะบาดาล และราคาแม้ว่าจะต่ำลง แต่ยังอยู่ในเกณฑ์จูงใจให้เกษตรกรทำการเพาะปลูก สำหรับผลผลิตลำไยและลิ้นจี่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากที่ผลผลิตลดลงเมื่อปีก่อน ในขณะที่การปลูกพืชรุ่นฝนช่วงครึ่งหลังควรอยู่ในเกณฑ์ดีจาก ภาวะฝนที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ
--เศรษฐกิจภาคเหนือปี 2541 และแนวโน้มปี 2542/ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-