ข้อมูลทั่วไป
- ปาปัวนิวกีนี เป็นประเทศในแปซิฟิกใต้มีพรหมแดนตะวันตกติดกับอินโดนีเซียและทางใต้ติดกับออสเตรเลีย ประชากรประมาณ 4 ล้านคน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพกสิกรรม (แบบดั้งเดิม) กว่าร้อยละ 85 อาศัยอยู่ในชนบทและมีฐานะยากจน (รายได้เฉลี่ยต่อหัวประมาณ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ" โดยเมืองหลวงคือ Port Moresby เมืองสำคัญรองลงมา คือ Lae ระบบการคมนาคมขนส่งทางบก ภายในระหว่างเมืองสำคัญยังไม่เจริญ จึงต้องใช้เครื่องบินและเรือเป็นหลัก
- สภาพเศรษฐกิจของปาปัวนิวกีนี ยังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากออสเตรเลียเป็นหลัก และมีผลให้ระบบการค้า การลงทุน และการตลาดส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับออสเตรเลีย อย่างไรก็ดีปาปัวนิวกีนีเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรประเภทสินแร่ (ทองคำ ทองแดง น้ำมันดิบ) ป่าไม้ ทรัพยากรทางทะเล และปลาทูน่า ทำให้มีรายได้จากการส่งออกเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากต่างประเทศ
- ปาปัวนิวกีนี พยายามดำเนินนโยบาย Look North โดยมุ่งหวังที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในแถบอาเซียนให้มากยิ่งขึ้น สำหรับไทยพยายามที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ทุกด้านกับประเทศนี้ เนื่องจากมีขนาดประชากรและพื้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มแปซิฟิกใต้ และมีศักยภาพที่จะเปิดตลาดรองรับสินค้าไทย นอกจากนี้ปาปัวนิวกีนี ก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติไปทำสัมปทานจับปลาทูน่า ป่าไม้ และร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ด้วย
- ในปีที่ผ่านมา ปริมาณการค้าไทย-ปาปัวนิวกีนี ในปี 2541 มีมูลค่า 40.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกเสื้อผ้า สิ่งทอ อาหารทะเล อาหารกระป๋อง ยางพารา ผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก เหล็กกล้า เครื่องปรับอากาศ สำหรับสินค้านำเข้าจากปาปัวนิวกี ได้แก่ ปลาทูสดแช่เย็น แช่แข็ง น้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์ไม้
ลู่ทางการค้า
สินค้าส่วนใหญ่มีราคาแพง สาเหตุเนื่องจากระยะทางขนส่งทางเรือค่อนข้างไกล สินค้าส่วนใหญ่ มาจากออสเตรเลีย ระบบการจัดจ่ายสินค้าไม่ดีนัก ประชากรส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องซื้อสินค้าจากตลาดสดในท้องถิ่น อย่างไรก็ดี จากการสำรวจสภาพตลาดแล้วพบว่า ยังคงสินค้าหลายประเภทที่ไทยอาจส่งออกไปจำหน่ายได้ โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า สินค้าจากออสเตรเลียบางประเภท ไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนท้องถิ่นและมีราคาสูง นอกจากนี้ การที่ออสเตรเลีย เป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดระบบเศรษฐกิจของปาปัวนิวกีนี ทำให้หลายประเทศยังคงลังเลที่จะเข้าไปบุกเบิกตลาด จึงทำให้สินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาดขณะนี้ ไม่มีความหลากหลาย ปาปัวนิวกีนี จึงมีความน่าสนใจในฐานะที่จะเป็นตลาดใหม่สำหรับสินค้าบางกลุ่มที่มีศักยภาพของไทยได้
สินค้าที่มีศักยภาพ
สินค้าที่ยังคงมีราคาสูงและยังไม่มีการแข่งขันด้านการตลาดสูงนัก ได้แก่
ข้าว เป็นอาหารหลักของชาวปาปัวนิวกีนี ปัจจุบันมีจำหน่ายอยู่ 3 ยี่ห้อ ได้แก่ 1) Trukai (Vitamin Enriched) เป็นข้าวเม็ดอ้วนสั้นคล้ายข้าวของญี่ปุ่น ราคา 1.49 Kina (25.33 บาท) / 2) Sunlong (Long Grain) ราคา 1.59 Kina (27.03 บาท)/1 กิโลกรัม 3) Power Rice 1.61 Kina (27.37 บาท / 1 กิโลกรัม ทั้ง 3 ยี่ห้อนำเข้าโดยบริษัท Trukai Industry ของออสเตรเลีย ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลแหล่งต่าง ๆ พบว่า ข้าวที่มีจำหน่ายนี้ส่วนใหญ่มีการนำเข้าจากประเทศไทยและผสมกับข้าว ออสเตรเลีย (อัตรส่วน 4:1 ) เพื่อส่งออกไปยังปาปัวนิวกีนีอีกทอดหนึ่ง มีการจำหน่าย 3 ขนาด คือ ถุงละ 10, 5 และ 1 กิโลกรัมและในขณะนี้ปาปัวนิวกีนี มีความประสงค์ที่จะนำเข้าข้าวจากไทยเนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า
เสื้อผ้า ที่มีจำหน่ายอยู่โดยมากเป็นเสื้อยืดคอกลม เสื้อเชิ้ต เสื้อลำลอง เสื้อยีนส์ (denim) กระโปรง กางเกงซาฟารี นำเข้าจากอินเดียเป็นหลัก ฝีมือการตัดเย็บและคุณภาพยังไม่ดีนัก เสื้อผ้าไทย จึงน่าจะเข้าไปแข่งขันในตลาดนี้ได้ ทั้งนี้ รวมถึงผลิตภัณฑ์กระเป๋า เป้ รองเท้าที่ทำจากผ้าร่มด้วย
ผลิตภัณฑ์เครื่องครัวเรือน มีการนำเข้าจากอินโดนีเซียและเวียดนามประเภทจานชาม กะทะ (enameled steal, aluminium) จากจีนแดง ผลิตภัณฑ์พลาสติก (จำพวกถังน้ำ อ่างกะละมัง กระป๋อง) สินค้าเหล่านี้ ราคาจำหน่ายแพง และมีคุณภาพที่ด้อยกว่าสินค้าไทย
อุปกรณ์ไฟฟ้า ได้แก่ ปลั๊กไฟ สายไฟฟ้า สายวีดีโอ สายอากาศทีวี หลอดไฟฟ้ามีการนำเข้าจากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นของมีคุณภาพดี แต่ราคาแพง ไม่เหมาะกับคนท้องถิ่น
เครื่องดื่มบรรจุกล่อง น้ำส้ม น้ำผลไม้ ยังมีคู่แข่งทางตลาดน้อยมาก ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากออสเตรเลียและมาเลเซีย (ราคาขายกล่องละ 17 บาท) ทำให้มีลู่ทางสำหรับสินค้าน้ำผลไม้จากไทยอยู่มาก (สำหรับผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองมีจำหน่ายอยู่น้อยและประชาชนยังไม่ค่อยนิยมบริโภค)
เครื่องเขียน ของเด็กเล่น มีราคาจำหน่ายที่แพงมาก และไม่ได้คุณภาพ ดังนั้น จึงเป็นลู่ทางที่ดีสำหรับบริษัทของไทยที่จะส่งสินค้าราคาย่อมเยาว์และคุณภาพดีไปขาย
บะหมี่สำเร็จรูป ยี่ห้อ Maggi นำเข้าจากอังกฤษ เป็นสินค้าที่กำลังได้รับความนิยมเนื่องจากประชาชนเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิต แต่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ Cup Noodle เข้าไปจำหน่ายมากนัก นอกจากนี้ ยังมีอาหารสำเร็จรูปของไทย ผัก (หน่อไม้ฝรั่ง/ข้าวโพด/ถั่ว pea บรรจุกระป๋อง) เข้าไปจำหน่ายด้วยแต่ผ่านทางประเทศที่สาม
เครื่องอุปโภคบริโภค ได้แก่ ผงซักฟอก ยาล้างจาน สบู่ แชมพู ส่วนใหญ่ผลิตในออสเตรเลียที่เหลือผลิตใน PNG โดยบริษัทของออสเตรเลีย จึงมีการผูกขาดด้านการตลาดสินค้าประเภทนี้อยู่มาก ราคาจำหน่ายไม่แพงนัก อย่างไรก็ดี เริ่มมีสินค้าจากจีนและไทยบ้างแล้ว
อาหารสำเร็จรูป เนื้อกระป๋อง (cornbeef) ผลิตใน PNG ราคาไม่แพง จึงได้รับความนิยมจาก PNG ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ รองลงมาได้แก่ ปลาทูน่ากระป๋อง (ซึ่งมีหลายราคาประมาณ 50-100 บาทต่อหน่วย ขึ้นอยู่กับแหล่งนำเข้า) โดยทูน่าที่นำเข้าจากหมู่เกาะโซโลมอน จะมีราคาถูกที่สุด สำหรับปลาซาดีนกระป๋อง PNG ผลิตได้เอง จึงมีราคาไม่แพงเช่นกัน
เส้นทางคมนาคมขนส่ง
1. เส้นทางเดินเรือ มี 2 บริษัท ได้แก่ Ben Line ออกจากท่าเรือศรีราชาเดือนละ 2 เที่ยวและบริษัท New Guinea Pacific Line ออกจากท่าเรือกรุงเทพฯ
2. สายการบิน ถึงแม้ไทย-ปาปัวนิวกินี จะมีความตกลงว่าด้วยการบริการเดินอากาศระหว่างกันแล้วเมื่อปี 2539 แต่ปัจจุบันยังไม่มีการบินระหว่างกันโดยตรง เนื่องจากปริมาณการจราจรไม่เพียงพอแต่สามารถเดินทางไปกรุง Port Moresby โดยผ่านซิดนีย์ หรือเมืองหลักอื่นๆ ของออสเตรเลีย
ระบบภาษีนำเข้า
สินค้าเกือบทุกชนิดจะถูกเก็บภาษีนำเข้าโดยรัฐบาลจะเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยค่อนข้างแพง สำหรับภาษีที่เก็บจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ เท่าที่รวบรวมได้มีดังนี้ เสื้อผ้า (41.5%) ยานยนต์ (11,40,75%) เครื่องมือขนาดเล็ก (11%) เครื่องพิมพ์ดีด/เครื่องคิดเลข/คอมพิวเตอร์ (11%) เครื่องมือกสิกรรม (6.5%) เครื่องครัว (41.5%) เครื่องไฟฟ้า (12.5%) สำหรับข้าวไม่มีการเก็บการนำเข้า
ปัญหาและอุปสรรค
ตลาดในปาปัวนิวกินียังมีปัญหาอยู่มากผู้ส่งออกจะต้องคำนึงถึงข้อพิจารณาต่างๆ ดังนี้.-
- ขนาดของตลาด
ถึงแม้จะมีประชากรค่อนข้างมาก แต่ก็มีกำลังซื้อน้อย จึงควรเน้นสินค้าจำพวกเครื่องอุปโภคบริโภค อาหารและสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน หรือเครื่องมือทำกสิกรรม หรือเครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเนื่องจากปาปัวนิวกินี พึ่งพาเกษรกรรมและยังต้องมีการพัฒนาประเทศอีกมาก
- การทำธุรกิจของบริษัทออสเตรเลีย
ทำให้ต้องแข่งขันด้านราคากับบริษัทจากออสเตรเลีย ซึ่งมีระบบการจัดจำหน่ายอยู่แล้วอย่างดี เนื่องจากมีห้างจัดจำหน่ายของออสเตรเลียหลายแห่ง เช่น Steamship และมีฐานะากรกระจายสินค้าที่เข้าถึงประชาชน นอกจากนี้ มีบริษัทลูกของออสเตรเลียที่ไปสร้างฐานการผลิต จึงทำให้ออสเตรเลียสามารถขายราคาที่ต่ำได้ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค
- ความผันผวนของค่าเงินท้องถิ่น ค่าเงิน Kina มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ อัตราค่าครองชีพในรอบปีที่ผ่านมาก็ได้สูงขึ้น 20% โดยเฉพาะสินค้าประเภทข้าว แป้ง เครื่องดื่ม ขนมปังกรอบ (biscuit) อะไหล่รถยนต์ เสื้อผ้า ๆลๆ
- ความไม่แน่นอน
ของระบบการค้า การขาดความเข้าใจรเองธุรกิจของคนในท้องถิ่น ปัญหาเงินใต้โต๊ะและการคอรัปชั่น
ข้อเสนอแนะ
1. ลู่ทางการขายสินค้าไทยยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งสินค้าไทยน่าจะมีราคา คุณภาพที่แข่งขันกับตลาดได้ โดยอาจใช้ตัวอย่างการนำเข้าสินค้าเสื้อผ้าจากอินเดีย ผลิตภัณฑ์พลาสติกจากเวียดนาม ซึ่งสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดได้
2. นอกจากนี้ อาจพิจารณาร่วมกับนักลงทุนชาติอื่นๆ ชาวปาปัวนิวกินี ซึ่งดำเนินการขายปลีกส่งอยู่แล้ว เช่น บริษัท TST. Group บริษัท Papindo ซึ่งมีสาขาตามเมืองต่างๆ ได้
ที่มา : กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงการต่างประเทศ
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 12/30 มิถุนายน 2542--
- ปาปัวนิวกีนี เป็นประเทศในแปซิฟิกใต้มีพรหมแดนตะวันตกติดกับอินโดนีเซียและทางใต้ติดกับออสเตรเลีย ประชากรประมาณ 4 ล้านคน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพกสิกรรม (แบบดั้งเดิม) กว่าร้อยละ 85 อาศัยอยู่ในชนบทและมีฐานะยากจน (รายได้เฉลี่ยต่อหัวประมาณ 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ" โดยเมืองหลวงคือ Port Moresby เมืองสำคัญรองลงมา คือ Lae ระบบการคมนาคมขนส่งทางบก ภายในระหว่างเมืองสำคัญยังไม่เจริญ จึงต้องใช้เครื่องบินและเรือเป็นหลัก
- สภาพเศรษฐกิจของปาปัวนิวกีนี ยังคงต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากออสเตรเลียเป็นหลัก และมีผลให้ระบบการค้า การลงทุน และการตลาดส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับออสเตรเลีย อย่างไรก็ดีปาปัวนิวกีนีเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรประเภทสินแร่ (ทองคำ ทองแดง น้ำมันดิบ) ป่าไม้ ทรัพยากรทางทะเล และปลาทูน่า ทำให้มีรายได้จากการส่งออกเป็นจำนวนมาก แต่ก็ต้องนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่จากต่างประเทศ
- ปาปัวนิวกีนี พยายามดำเนินนโยบาย Look North โดยมุ่งหวังที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศในแถบอาเซียนให้มากยิ่งขึ้น สำหรับไทยพยายามที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ทุกด้านกับประเทศนี้ เนื่องจากมีขนาดประชากรและพื้นที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มแปซิฟิกใต้ และมีศักยภาพที่จะเปิดตลาดรองรับสินค้าไทย นอกจากนี้ปาปัวนิวกีนี ก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติไปทำสัมปทานจับปลาทูน่า ป่าไม้ และร่วมลงทุนในอุตสาหกรรมเหมืองแร่ด้วย
- ในปีที่ผ่านมา ปริมาณการค้าไทย-ปาปัวนิวกีนี ในปี 2541 มีมูลค่า 40.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกเสื้อผ้า สิ่งทอ อาหารทะเล อาหารกระป๋อง ยางพารา ผลิตภัณฑ์พลาสติก เหล็ก เหล็กกล้า เครื่องปรับอากาศ สำหรับสินค้านำเข้าจากปาปัวนิวกี ได้แก่ ปลาทูสดแช่เย็น แช่แข็ง น้ำมันดิบ และผลิตภัณฑ์ไม้
ลู่ทางการค้า
สินค้าส่วนใหญ่มีราคาแพง สาเหตุเนื่องจากระยะทางขนส่งทางเรือค่อนข้างไกล สินค้าส่วนใหญ่ มาจากออสเตรเลีย ระบบการจัดจ่ายสินค้าไม่ดีนัก ประชากรส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องซื้อสินค้าจากตลาดสดในท้องถิ่น อย่างไรก็ดี จากการสำรวจสภาพตลาดแล้วพบว่า ยังคงสินค้าหลายประเภทที่ไทยอาจส่งออกไปจำหน่ายได้ โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า สินค้าจากออสเตรเลียบางประเภท ไม่สอดคล้องกับความต้องการของคนท้องถิ่นและมีราคาสูง นอกจากนี้ การที่ออสเตรเลีย เป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดระบบเศรษฐกิจของปาปัวนิวกีนี ทำให้หลายประเทศยังคงลังเลที่จะเข้าไปบุกเบิกตลาด จึงทำให้สินค้าที่จำหน่ายในท้องตลาดขณะนี้ ไม่มีความหลากหลาย ปาปัวนิวกีนี จึงมีความน่าสนใจในฐานะที่จะเป็นตลาดใหม่สำหรับสินค้าบางกลุ่มที่มีศักยภาพของไทยได้
สินค้าที่มีศักยภาพ
สินค้าที่ยังคงมีราคาสูงและยังไม่มีการแข่งขันด้านการตลาดสูงนัก ได้แก่
ข้าว เป็นอาหารหลักของชาวปาปัวนิวกีนี ปัจจุบันมีจำหน่ายอยู่ 3 ยี่ห้อ ได้แก่ 1) Trukai (Vitamin Enriched) เป็นข้าวเม็ดอ้วนสั้นคล้ายข้าวของญี่ปุ่น ราคา 1.49 Kina (25.33 บาท) / 2) Sunlong (Long Grain) ราคา 1.59 Kina (27.03 บาท)/1 กิโลกรัม 3) Power Rice 1.61 Kina (27.37 บาท / 1 กิโลกรัม ทั้ง 3 ยี่ห้อนำเข้าโดยบริษัท Trukai Industry ของออสเตรเลีย ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลแหล่งต่าง ๆ พบว่า ข้าวที่มีจำหน่ายนี้ส่วนใหญ่มีการนำเข้าจากประเทศไทยและผสมกับข้าว ออสเตรเลีย (อัตรส่วน 4:1 ) เพื่อส่งออกไปยังปาปัวนิวกีนีอีกทอดหนึ่ง มีการจำหน่าย 3 ขนาด คือ ถุงละ 10, 5 และ 1 กิโลกรัมและในขณะนี้ปาปัวนิวกีนี มีความประสงค์ที่จะนำเข้าข้าวจากไทยเนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า
เสื้อผ้า ที่มีจำหน่ายอยู่โดยมากเป็นเสื้อยืดคอกลม เสื้อเชิ้ต เสื้อลำลอง เสื้อยีนส์ (denim) กระโปรง กางเกงซาฟารี นำเข้าจากอินเดียเป็นหลัก ฝีมือการตัดเย็บและคุณภาพยังไม่ดีนัก เสื้อผ้าไทย จึงน่าจะเข้าไปแข่งขันในตลาดนี้ได้ ทั้งนี้ รวมถึงผลิตภัณฑ์กระเป๋า เป้ รองเท้าที่ทำจากผ้าร่มด้วย
ผลิตภัณฑ์เครื่องครัวเรือน มีการนำเข้าจากอินโดนีเซียและเวียดนามประเภทจานชาม กะทะ (enameled steal, aluminium) จากจีนแดง ผลิตภัณฑ์พลาสติก (จำพวกถังน้ำ อ่างกะละมัง กระป๋อง) สินค้าเหล่านี้ ราคาจำหน่ายแพง และมีคุณภาพที่ด้อยกว่าสินค้าไทย
อุปกรณ์ไฟฟ้า ได้แก่ ปลั๊กไฟ สายไฟฟ้า สายวีดีโอ สายอากาศทีวี หลอดไฟฟ้ามีการนำเข้าจากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นของมีคุณภาพดี แต่ราคาแพง ไม่เหมาะกับคนท้องถิ่น
เครื่องดื่มบรรจุกล่อง น้ำส้ม น้ำผลไม้ ยังมีคู่แข่งทางตลาดน้อยมาก ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากออสเตรเลียและมาเลเซีย (ราคาขายกล่องละ 17 บาท) ทำให้มีลู่ทางสำหรับสินค้าน้ำผลไม้จากไทยอยู่มาก (สำหรับผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองมีจำหน่ายอยู่น้อยและประชาชนยังไม่ค่อยนิยมบริโภค)
เครื่องเขียน ของเด็กเล่น มีราคาจำหน่ายที่แพงมาก และไม่ได้คุณภาพ ดังนั้น จึงเป็นลู่ทางที่ดีสำหรับบริษัทของไทยที่จะส่งสินค้าราคาย่อมเยาว์และคุณภาพดีไปขาย
บะหมี่สำเร็จรูป ยี่ห้อ Maggi นำเข้าจากอังกฤษ เป็นสินค้าที่กำลังได้รับความนิยมเนื่องจากประชาชนเริ่มเปลี่ยนวิถีชีวิต แต่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ Cup Noodle เข้าไปจำหน่ายมากนัก นอกจากนี้ ยังมีอาหารสำเร็จรูปของไทย ผัก (หน่อไม้ฝรั่ง/ข้าวโพด/ถั่ว pea บรรจุกระป๋อง) เข้าไปจำหน่ายด้วยแต่ผ่านทางประเทศที่สาม
เครื่องอุปโภคบริโภค ได้แก่ ผงซักฟอก ยาล้างจาน สบู่ แชมพู ส่วนใหญ่ผลิตในออสเตรเลียที่เหลือผลิตใน PNG โดยบริษัทของออสเตรเลีย จึงมีการผูกขาดด้านการตลาดสินค้าประเภทนี้อยู่มาก ราคาจำหน่ายไม่แพงนัก อย่างไรก็ดี เริ่มมีสินค้าจากจีนและไทยบ้างแล้ว
อาหารสำเร็จรูป เนื้อกระป๋อง (cornbeef) ผลิตใน PNG ราคาไม่แพง จึงได้รับความนิยมจาก PNG ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ รองลงมาได้แก่ ปลาทูน่ากระป๋อง (ซึ่งมีหลายราคาประมาณ 50-100 บาทต่อหน่วย ขึ้นอยู่กับแหล่งนำเข้า) โดยทูน่าที่นำเข้าจากหมู่เกาะโซโลมอน จะมีราคาถูกที่สุด สำหรับปลาซาดีนกระป๋อง PNG ผลิตได้เอง จึงมีราคาไม่แพงเช่นกัน
เส้นทางคมนาคมขนส่ง
1. เส้นทางเดินเรือ มี 2 บริษัท ได้แก่ Ben Line ออกจากท่าเรือศรีราชาเดือนละ 2 เที่ยวและบริษัท New Guinea Pacific Line ออกจากท่าเรือกรุงเทพฯ
2. สายการบิน ถึงแม้ไทย-ปาปัวนิวกินี จะมีความตกลงว่าด้วยการบริการเดินอากาศระหว่างกันแล้วเมื่อปี 2539 แต่ปัจจุบันยังไม่มีการบินระหว่างกันโดยตรง เนื่องจากปริมาณการจราจรไม่เพียงพอแต่สามารถเดินทางไปกรุง Port Moresby โดยผ่านซิดนีย์ หรือเมืองหลักอื่นๆ ของออสเตรเลีย
ระบบภาษีนำเข้า
สินค้าเกือบทุกชนิดจะถูกเก็บภาษีนำเข้าโดยรัฐบาลจะเก็บภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยค่อนข้างแพง สำหรับภาษีที่เก็บจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ เท่าที่รวบรวมได้มีดังนี้ เสื้อผ้า (41.5%) ยานยนต์ (11,40,75%) เครื่องมือขนาดเล็ก (11%) เครื่องพิมพ์ดีด/เครื่องคิดเลข/คอมพิวเตอร์ (11%) เครื่องมือกสิกรรม (6.5%) เครื่องครัว (41.5%) เครื่องไฟฟ้า (12.5%) สำหรับข้าวไม่มีการเก็บการนำเข้า
ปัญหาและอุปสรรค
ตลาดในปาปัวนิวกินียังมีปัญหาอยู่มากผู้ส่งออกจะต้องคำนึงถึงข้อพิจารณาต่างๆ ดังนี้.-
- ขนาดของตลาด
ถึงแม้จะมีประชากรค่อนข้างมาก แต่ก็มีกำลังซื้อน้อย จึงควรเน้นสินค้าจำพวกเครื่องอุปโภคบริโภค อาหารและสินค้าที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน หรือเครื่องมือทำกสิกรรม หรือเครื่องมือวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเนื่องจากปาปัวนิวกินี พึ่งพาเกษรกรรมและยังต้องมีการพัฒนาประเทศอีกมาก
- การทำธุรกิจของบริษัทออสเตรเลีย
ทำให้ต้องแข่งขันด้านราคากับบริษัทจากออสเตรเลีย ซึ่งมีระบบการจัดจำหน่ายอยู่แล้วอย่างดี เนื่องจากมีห้างจัดจำหน่ายของออสเตรเลียหลายแห่ง เช่น Steamship และมีฐานะากรกระจายสินค้าที่เข้าถึงประชาชน นอกจากนี้ มีบริษัทลูกของออสเตรเลียที่ไปสร้างฐานการผลิต จึงทำให้ออสเตรเลียสามารถขายราคาที่ต่ำได้ โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค
- ความผันผวนของค่าเงินท้องถิ่น ค่าเงิน Kina มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ อัตราค่าครองชีพในรอบปีที่ผ่านมาก็ได้สูงขึ้น 20% โดยเฉพาะสินค้าประเภทข้าว แป้ง เครื่องดื่ม ขนมปังกรอบ (biscuit) อะไหล่รถยนต์ เสื้อผ้า ๆลๆ
- ความไม่แน่นอน
ของระบบการค้า การขาดความเข้าใจรเองธุรกิจของคนในท้องถิ่น ปัญหาเงินใต้โต๊ะและการคอรัปชั่น
ข้อเสนอแนะ
1. ลู่ทางการขายสินค้าไทยยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งสินค้าไทยน่าจะมีราคา คุณภาพที่แข่งขันกับตลาดได้ โดยอาจใช้ตัวอย่างการนำเข้าสินค้าเสื้อผ้าจากอินเดีย ผลิตภัณฑ์พลาสติกจากเวียดนาม ซึ่งสามารถแย่งส่วนแบ่งตลาดได้
2. นอกจากนี้ อาจพิจารณาร่วมกับนักลงทุนชาติอื่นๆ ชาวปาปัวนิวกินี ซึ่งดำเนินการขายปลีกส่งอยู่แล้ว เช่น บริษัท TST. Group บริษัท Papindo ซึ่งมีสาขาตามเมืองต่างๆ ได้
ที่มา : กรมอเมริกาและแปซิฟิกใต้ กระทรวงการต่างประเทศ
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 12/30 มิถุนายน 2542--