ข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ 53/2541
เรื่อง การแก้ไขปัญหา 4 ธนาคารพาณิชย์ที่รัฐบาลเข้าแทรกแซง
กรณีธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ กิจการส่วนใหญ่จะถูกโอนไปรวมกับธนาคารกรุงไทยโดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ด้านหนี้สิน
1.1 เงินฝากจากประชาชนจะถูกโอนเป็นเงินฝากที่ธนาคารกรุงไทยโดยทันที
ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การจะไม่รับเงินฝากใหม่ส่วนเงินฝากเดิมที่ครบกำหนดก่อนวันโอนกิจการและที่จะฝากต่อสามารถกระทำได้โดยจะโอนเป็นเงินฝากที่ธนาคารกรุงไทย ทั้งนี้ธนาคารกรุงไทยจะเปิดบริการรับฝากเงิน ณ ที่ทำการของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การทุกสาขา เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2541 เป็นต้นไป
ผู้ฝากจะได้รับดอกเบี้ยในอัตราเดิมจนครบกำหนดผู้ฝากสามารถถอนเงินฝากก่อนครบกำหนดได้แต่จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราของการถอนก่อนครบกำหนด เช่นไม่ได้รับดอกเบี้ยในกรณีฝากไม่ถึง 3 เดือน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไป
การถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวันผู้ฝากจะได้รับเป็นเงินสดหรือเช็คธนาคารส่วนการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำที่มีวงเงินสูงทั้งกรณีครบกำหนดหรือก่อนครบกำหนดผู้ฝากจะได้รับเป็นเช็คธนาคาร (cashiercheck)
1.2 เจ้าหนี้สินเชื่อและจากภาระผูกพันของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การมีทางเลือกได้ 2 ทางคือ โอนไปเป็นเจ้าหนี้ของธนาคารกรุงไทยหรือรอการชำระเงินเมื่อครบกำหนดตามสัญญา โดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯจะเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระเงินเนื่องจากเจ้าหนี้ได้รับการคุ้มครองตามข้อบังคับโครงการรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้
1.3 ลูกค้าที่ใช้บริการนำเงินเดือนโอนเข้าบัญชีเงินฝากสามารถเลือกที่จะโอนไปใช้บริการต่อที่ธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ได้
2. ด้านสินทรัพย์
2.1 สินทรัพย์ที่ดี ซึ่งหมายถึงสินเชื่อที่มีการจ่ายชำระดอกเบี้ยตามปกติจะถูกโอนไปที่ธนาคารกรุงไทย
2.2 สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ทั้งหมดจะยังคงอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ซึ่งธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การจะทำหน้าที่เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (AMC)ดำเนินการบริหารสินเชื่อนี้ต่อไป
2.3 ธนาคารกรุงไทยจะให้วงเงินสินเชื่อแก่ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การเพื่อใช้ดำเนินการประนอมหนี้ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่นเงินเดือนพนักงาน เป็นต้น
3. พนักงานและเครือข่ายสาขา
3.1 ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การจะยังคงจ้างพนักงานต่อไปอีก 3 เดือน หลังจากนั้นพนักงานบางส่วนจะได้รับการว่าจ้างต่อเพื่อดำเนินการบริหารสินเชื่อที่มีปัญหาสำหรับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินชดเชยเต็มจำนวนตามกฎหมายและในจำนวนนี้บางส่วนอาจได้รับการว่าจ้างต่อโดยธนาคารกรุงไทย
3.2 ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การจะดำเนินการขายสาขาบางส่วน ตลอดจนที่ดินและอาคารให้แก่ธนาคารกรุงไทย และบางสาขาอาจถูกพิจารณาย้ายหรือยุบรวม(rationalize) ตามความเหมาะสม
3.3 ใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การยังคงมีอยู่แต่จะมีข้อจำกัดบางประการ ตั้งแต่ช่วง 17 สิงหาคม 2541จนกระทั่งเปลี่ยนไปทำหน้าที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)
4. การเพิ่มทุน
เนื่องจากธนาคารกรุงไทยจะต้องรับโอนหนี้สินของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การในจำนวนที่สูงกว่าสินทรัพย์คุณภาพดี ดังนั้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯจะแปลงเงินให้กู้ยืมที่ให้แก่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การเป็นทุนของธนาคารกรุงไทย
กรณีธนาคารมหานคร จะถูกโอนไปรวมกับธนาคารกรุงไทยทั้งหมด
1. ธนาคารมหานครจะต้องกันสำรองสำหรับสินเชื่อจัดชั้นตามหลักเกณฑ์การกันสำรองปี2543 ครบถ้วนเต็มจำนวนในทันทีการโอนสินทรัพย์ทั้งหมดไปธนาคารกรุงไทยจะใช้มูลค่าตามบัญชีสุทธิ
2. ผู้ฝาก เจ้าหนี้และพนักงานของธนาคารมหานครทั้งหมดจะโอนไปธนาคารกรุงไทยโดยทันที
3. สาขาทั้งหมดของธนาคารมหานครจะโอนมาเป็นของธนาคารกรุงไทยซึ่งธนาคารกรุงไทยอาจตัดสินใจย้ายหรือยุบรวมบางสาขาในภายหลัง
4. กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะแปลงเงินให้กู้ยืมแก่ธนาคารมหานครเป็นทุนของธนาคารกรุงไทยและรัฐบาลจะรักษาระดับผลตอบแทนและรับเฉลี่ยผลขาดทุนแก่ธนาคารกรุงไทย
5. ใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารมหานครยังคงมีอยู่จนการดำเนินการตามขบวนการทางศาลเสร็จสิ้นลงหลังจากนั้นรัฐบาลจะพิจารณาเกี่ยวกับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารมหานครตามความเหมาะสมต่อไป
กรณีธนาคารศรีนครและธนาคารนครหลวงไทย 2ธนาคารนี้จะเพิ่มทุนตามเกณฑ์การจัดชั้นสินทรัพย์และกันสำรองปี 2543และเสนอขายโดยมีข้อตกลงในการเฉลี่ยผลขาดทุนจากสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการรักษาระดับผลตอบแทน
จึงแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
14 สิงหาคม 2541
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ฉบับที่ 53/2541
เรื่อง การแก้ไขปัญหา 4 ธนาคารพาณิชย์ที่รัฐบาลเข้าแทรกแซง
กรณีธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ กิจการส่วนใหญ่จะถูกโอนไปรวมกับธนาคารกรุงไทยโดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ด้านหนี้สิน
1.1 เงินฝากจากประชาชนจะถูกโอนเป็นเงินฝากที่ธนาคารกรุงไทยโดยทันที
ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การจะไม่รับเงินฝากใหม่ส่วนเงินฝากเดิมที่ครบกำหนดก่อนวันโอนกิจการและที่จะฝากต่อสามารถกระทำได้โดยจะโอนเป็นเงินฝากที่ธนาคารกรุงไทย ทั้งนี้ธนาคารกรุงไทยจะเปิดบริการรับฝากเงิน ณ ที่ทำการของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การทุกสาขา เริ่มตั้งแต่วันที่ 17 สิงหาคม 2541 เป็นต้นไป
ผู้ฝากจะได้รับดอกเบี้ยในอัตราเดิมจนครบกำหนดผู้ฝากสามารถถอนเงินฝากก่อนครบกำหนดได้แต่จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราของการถอนก่อนครบกำหนด เช่นไม่ได้รับดอกเบี้ยในกรณีฝากไม่ถึง 3 เดือน ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไป
การถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์และบัญชีกระแสรายวันผู้ฝากจะได้รับเป็นเงินสดหรือเช็คธนาคารส่วนการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำที่มีวงเงินสูงทั้งกรณีครบกำหนดหรือก่อนครบกำหนดผู้ฝากจะได้รับเป็นเช็คธนาคาร (cashiercheck)
1.2 เจ้าหนี้สินเชื่อและจากภาระผูกพันของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การมีทางเลือกได้ 2 ทางคือ โอนไปเป็นเจ้าหนี้ของธนาคารกรุงไทยหรือรอการชำระเงินเมื่อครบกำหนดตามสัญญา โดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯจะเป็นผู้รับผิดชอบในการชำระเงินเนื่องจากเจ้าหนี้ได้รับการคุ้มครองตามข้อบังคับโครงการรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้
1.3 ลูกค้าที่ใช้บริการนำเงินเดือนโอนเข้าบัญชีเงินฝากสามารถเลือกที่จะโอนไปใช้บริการต่อที่ธนาคารกรุงไทยหรือธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ได้
2. ด้านสินทรัพย์
2.1 สินทรัพย์ที่ดี ซึ่งหมายถึงสินเชื่อที่มีการจ่ายชำระดอกเบี้ยตามปกติจะถูกโอนไปที่ธนาคารกรุงไทย
2.2 สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL)ทั้งหมดจะยังคงอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ ซึ่งธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การจะทำหน้าที่เป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน (AMC)ดำเนินการบริหารสินเชื่อนี้ต่อไป
2.3 ธนาคารกรุงไทยจะให้วงเงินสินเชื่อแก่ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การเพื่อใช้ดำเนินการประนอมหนี้ ตลอดจนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่นเงินเดือนพนักงาน เป็นต้น
3. พนักงานและเครือข่ายสาขา
3.1 ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การจะยังคงจ้างพนักงานต่อไปอีก 3 เดือน หลังจากนั้นพนักงานบางส่วนจะได้รับการว่าจ้างต่อเพื่อดำเนินการบริหารสินเชื่อที่มีปัญหาสำหรับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างจะได้รับเงินชดเชยเต็มจำนวนตามกฎหมายและในจำนวนนี้บางส่วนอาจได้รับการว่าจ้างต่อโดยธนาคารกรุงไทย
3.2 ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การจะดำเนินการขายสาขาบางส่วน ตลอดจนที่ดินและอาคารให้แก่ธนาคารกรุงไทย และบางสาขาอาจถูกพิจารณาย้ายหรือยุบรวม(rationalize) ตามความเหมาะสม
3.3 ใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การยังคงมีอยู่แต่จะมีข้อจำกัดบางประการ ตั้งแต่ช่วง 17 สิงหาคม 2541จนกระทั่งเปลี่ยนไปทำหน้าที่บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)
4. การเพิ่มทุน
เนื่องจากธนาคารกรุงไทยจะต้องรับโอนหนี้สินของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การในจำนวนที่สูงกว่าสินทรัพย์คุณภาพดี ดังนั้น กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯจะแปลงเงินให้กู้ยืมที่ให้แก่ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การเป็นทุนของธนาคารกรุงไทย
กรณีธนาคารมหานคร จะถูกโอนไปรวมกับธนาคารกรุงไทยทั้งหมด
1. ธนาคารมหานครจะต้องกันสำรองสำหรับสินเชื่อจัดชั้นตามหลักเกณฑ์การกันสำรองปี2543 ครบถ้วนเต็มจำนวนในทันทีการโอนสินทรัพย์ทั้งหมดไปธนาคารกรุงไทยจะใช้มูลค่าตามบัญชีสุทธิ
2. ผู้ฝาก เจ้าหนี้และพนักงานของธนาคารมหานครทั้งหมดจะโอนไปธนาคารกรุงไทยโดยทันที
3. สาขาทั้งหมดของธนาคารมหานครจะโอนมาเป็นของธนาคารกรุงไทยซึ่งธนาคารกรุงไทยอาจตัดสินใจย้ายหรือยุบรวมบางสาขาในภายหลัง
4. กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ จะแปลงเงินให้กู้ยืมแก่ธนาคารมหานครเป็นทุนของธนาคารกรุงไทยและรัฐบาลจะรักษาระดับผลตอบแทนและรับเฉลี่ยผลขาดทุนแก่ธนาคารกรุงไทย
5. ใบอนุญาตประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารมหานครยังคงมีอยู่จนการดำเนินการตามขบวนการทางศาลเสร็จสิ้นลงหลังจากนั้นรัฐบาลจะพิจารณาเกี่ยวกับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ของธนาคารมหานครตามความเหมาะสมต่อไป
กรณีธนาคารศรีนครและธนาคารนครหลวงไทย 2ธนาคารนี้จะเพิ่มทุนตามเกณฑ์การจัดชั้นสินทรัพย์และกันสำรองปี 2543และเสนอขายโดยมีข้อตกลงในการเฉลี่ยผลขาดทุนจากสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการรักษาระดับผลตอบแทน
จึงแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
14 สิงหาคม 2541
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--