ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 จีนได้ยกเลิกระบบการกำหนดโควตานำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนพร้อมกับอนุญาตให้นำเข้าอย่างเสรีเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ ยังปรับลดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์ส่วนบุคคลทุกประเภทเหลือร้อยละ 30 จากเดิมร้อยละ 34.2 สำหรับเครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 3,000 ซีซี และร้อยละ 37.6 สำหรับเครื่องยนต์ขนาดเกิน 3,000 ซีซี และจะทยอยปรับลดให้เหลือร้อยละ 25 ภายในปี 2549 ตามพันธกรณีที่จีนให้ไว้กับองค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ผู้ผลิตของจีนต้องเร่งปรับตัวให้พร้อมรับการแข่งขันที่จะรุนแรงยิ่งขึ้น
ภาวะตลาดรถยนต์ในจีน
ในช่วงก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีการนำเข้าเพียงร้อยละ 5 ของยอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมดในจีน โดยจะเป็นรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตและมีราคาแพงซึ่งไม่สามารถผลิตเองได้ ขณะที่อีกร้อยละ 95 จะผลิตและประกอบขึ้นเองทั้งหมด สำหรับรถยนต์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด 3 อันดับแรกในจีนเป็นรถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทของรัฐกับบริษัทต่างชาติในสัดส่วนร้อยละ 50 : 50 ได้แก่ รถยนต์ “Santana” ผลิตโดย Shanghai Volkswagen Automotive Company ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Volkswagen ของเยอรมนี รถยนต์ “Jetta” ผลิตโดย First Automotive Works (FAW) Volkswagen ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Volkswagen และรถยนต์ “Xiali“ ผลิตโดย Tianjin FAW Xiali Automobile ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Toyota Motor ของญี่ปุ่น
ในปี 2547 ยอดจำหน่ายรถยนต์ส่วนบุคคลในจีนพุ่งสูงเป็น 2.33 ล้านคัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15.2 จากปีก่อน เนื่องจากรถยนต์ที่ผลิตในจีนส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ระดับล่างถึงระดับกลางซึ่งมีราคาไม่แพงนัก ประกอบกับในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนขยายตัวอยู่ในระดับสูงส่งผลให้ชาวจีนมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น
แนวโน้มตลาดรถยนต์ในจีน
รัฐบาลจีนคาดว่าหลังเปิดเสรีนำเข้ารถยนต์จะส่งผลให้ความต้องการใช้รถยนต์ภายในปี 2553 สูงถึง 8.8—12 ล้านคันต่อปี และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้ ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน อาทิ
- ราคารถยนต์จะถูกลง คาดว่าราคานำเข้าเฉลี่ยจะมีแนวโน้มลดต่ำลง ทำให้ผู้ผลิตในจีนที่ต้องการรักษาส่วนแบ่งตลาดต้องปรับลดราคาตาม โดยในปี 2547 ผู้ผลิตหลายรายได้ทยอยปรับลดราคาลงบ้างแล้ว และคาดว่าในปี 2548 ราคาจะลดลงอีกประมาณร้อยละ 15
- ตลาดรถยนต์ระดับกลางและระดับบนขยายตัว เนื่องจากราคานำเข้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ระดับบนมีราคาถูกลงทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น ประกอบกับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจึงมีแนวโน้มที่จะซื้อรถยนต์ระดับกลางและระดับบนเพิ่มขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศต้องหันไปให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์ระดับกลางและระดับบนเพิ่มมากขึ้น
- มีการแข่งขันด้านวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการผลิต รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างจุดขายในเรื่องรูปทรงที่ล้ำสมัย การเพิ่มสมรรถนะและมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่แทนการแข่งขันด้านราคา อาทิ Volkswagen และ GM มีแผนจะลงทุนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ในจีนมูลค่าสูงราว 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ 254 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังจะเน้นแข่งขันในเรื่องการให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าด้วย
- เน้นผลิตเพื่อรุกตลาดส่งออกมากขึ้น ปัจจุบันจีนเป็นประเทศผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่อันดับ 4 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมนี ซึ่งแต่เดิมบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่หลายราย อาทิ Volkswagen Toyota และ GM เข้ามาร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในจีนเพื่อผลิตป้อนตลาดในประเทศเป็นหลัก แต่เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทำให้บริษัทหลายแห่งเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเพื่อการส่งออกมากขึ้น อาทิ Volkswagen วางแผนจะเพิ่มการลงทุนเพื่อใช้จีนเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก
หลังการเปิดเสรีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนของจีนคาดว่าจะทำให้ไทยสามารถส่งออกยางพารารวมทั้งชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบรถยนต์ระดับกลางและระดับบนไปจีนได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวโดยให้ความสำคัญกับงานด้านวิจัยและพัฒนามากยิ่งขึ้น เพื่อให้สินค้าที่ผลิตในไทยได้มาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับของประเทศคู่ค้า และคงความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ในระยะต่อไป
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เมษายน 2548--
-สส-
ภาวะตลาดรถยนต์ในจีน
ในช่วงก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนอนุญาตให้มีการนำเข้าเพียงร้อยละ 5 ของยอดจำหน่ายรถยนต์ทั้งหมดในจีน โดยจะเป็นรถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิตและมีราคาแพงซึ่งไม่สามารถผลิตเองได้ ขณะที่อีกร้อยละ 95 จะผลิตและประกอบขึ้นเองทั้งหมด สำหรับรถยนต์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด 3 อันดับแรกในจีนเป็นรถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทของรัฐกับบริษัทต่างชาติในสัดส่วนร้อยละ 50 : 50 ได้แก่ รถยนต์ “Santana” ผลิตโดย Shanghai Volkswagen Automotive Company ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Volkswagen ของเยอรมนี รถยนต์ “Jetta” ผลิตโดย First Automotive Works (FAW) Volkswagen ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Volkswagen และรถยนต์ “Xiali“ ผลิตโดย Tianjin FAW Xiali Automobile ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนกับ Toyota Motor ของญี่ปุ่น
ในปี 2547 ยอดจำหน่ายรถยนต์ส่วนบุคคลในจีนพุ่งสูงเป็น 2.33 ล้านคัน เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15.2 จากปีก่อน เนื่องจากรถยนต์ที่ผลิตในจีนส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ระดับล่างถึงระดับกลางซึ่งมีราคาไม่แพงนัก ประกอบกับในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจจีนขยายตัวอยู่ในระดับสูงส่งผลให้ชาวจีนมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้น
แนวโน้มตลาดรถยนต์ในจีน
รัฐบาลจีนคาดว่าหลังเปิดเสรีนำเข้ารถยนต์จะส่งผลให้ความต้องการใช้รถยนต์ภายในปี 2553 สูงถึง 8.8—12 ล้านคันต่อปี และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ทั้งนี้ ภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน อาทิ
- ราคารถยนต์จะถูกลง คาดว่าราคานำเข้าเฉลี่ยจะมีแนวโน้มลดต่ำลง ทำให้ผู้ผลิตในจีนที่ต้องการรักษาส่วนแบ่งตลาดต้องปรับลดราคาตาม โดยในปี 2547 ผู้ผลิตหลายรายได้ทยอยปรับลดราคาลงบ้างแล้ว และคาดว่าในปี 2548 ราคาจะลดลงอีกประมาณร้อยละ 15
- ตลาดรถยนต์ระดับกลางและระดับบนขยายตัว เนื่องจากราคานำเข้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์ระดับบนมีราคาถูกลงทำให้ผู้ซื้อมีทางเลือกมากขึ้น ประกอบกับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจึงมีแนวโน้มที่จะซื้อรถยนต์ระดับกลางและระดับบนเพิ่มขึ้น คาดว่าจะส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศต้องหันไปให้ความสำคัญกับการผลิตรถยนต์ระดับกลางและระดับบนเพิ่มมากขึ้น
- มีการแข่งขันด้านวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการผลิต รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างจุดขายในเรื่องรูปทรงที่ล้ำสมัย การเพิ่มสมรรถนะและมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่แทนการแข่งขันด้านราคา อาทิ Volkswagen และ GM มีแผนจะลงทุนสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนารถยนต์ในจีนมูลค่าสูงราว 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐและ 254 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังจะเน้นแข่งขันในเรื่องการให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าด้วย
- เน้นผลิตเพื่อรุกตลาดส่งออกมากขึ้น ปัจจุบันจีนเป็นประเทศผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่อันดับ 4 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเยอรมนี ซึ่งแต่เดิมบริษัทต่างชาติยักษ์ใหญ่หลายราย อาทิ Volkswagen Toyota และ GM เข้ามาร่วมทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ในจีนเพื่อผลิตป้อนตลาดในประเทศเป็นหลัก แต่เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นทำให้บริษัทหลายแห่งเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเพื่อการส่งออกมากขึ้น อาทิ Volkswagen วางแผนจะเพิ่มการลงทุนเพื่อใช้จีนเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก
หลังการเปิดเสรีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนของจีนคาดว่าจะทำให้ไทยสามารถส่งออกยางพารารวมทั้งชิ้นส่วนที่ใช้ประกอบรถยนต์ระดับกลางและระดับบนไปจีนได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวโดยให้ความสำคัญกับงานด้านวิจัยและพัฒนามากยิ่งขึ้น เพื่อให้สินค้าที่ผลิตในไทยได้มาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับของประเทศคู่ค้า และคงความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ในระยะต่อไป
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย เมษายน 2548--
-สส-