ข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ 30 /2541
เรื่อง หลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงิน
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เคยแจ้งหลักเกณฑ์การระงับการรับรู้ดอกเบี้ยค้างรับเป็นรายได้การจัดชั้นลูกหนี้ การกันเงินสำรอง สำหรับลูกหนี้ที่จัดชั้นและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2541เพื่อให้สถาบันการเงินได้ทราบถึงแนวนโยบายของทางการและเตรียมความพร้อมในการรองรับมาตรการเหล่านี้ไปแล้วนั้นในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการประเมินราคาหลักประกันธนาคารแห่งประเทศไทยได้พิจารณาหลักเกณฑ์ในรายละเอียดร่วมกับสถาบันการเงินแล้วและได้ออกประกาศเป็นข้อกำหนดให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติ ดังนี้
1. หลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้
1.1 วัตถุประสงค์
การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินเป็นการดำเนินการแก้ไขหนี้ที่มีปัญหาเพื่อให้สถาบันการเงินมีโอกาสได้รับชำระหนี้คืนสูงสุดหรือเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำเนินกิจการต่อไปทั้งของลูกหนี้และสถาบันการเงิน
1.2 หลักเกณฑ์
1.ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดหลักเกณฑ์ให้สถาบันการเงินจะต้องมีการกำหนดนโยบายและมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินรวมทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากนี้ยังต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติงาน การจัดทำเอกสารประกอบ และการติดตามผลที่เหมาะสมและเพื่อให้การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินมีความเป็นอิสระกรณีมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่มีความสัมพันธ์มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกันสถาบันการเงินจะต้องจัดให้มีสถาบันการเงินอื่นหรือบุคคลที่สามซึ่งไม่มีความสัมพันธ์หรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องใดๆ กับสถาบันการเงินและลูกหนี้เป็นผู้ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ฐานะการเงินและความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ตลอดจนกระแสเงินสดของลูกหนี้ ทั้งนี้จะยกเว้นกรณีความสัมพันธ์อันเนื่องมาจากการเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้เสีย
2.ในกรณีที่สถาบันการเงินทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาโดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้และก่อให้เกิดส่วนสูญเสียแก่สถาบันการเงินแล้วสถาบันการเงินจะต้องบันทึกบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีสากลการคิดส่วนสูญเสียกำหนดให้เปรียบเทียบมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับจากลูกหนี้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับราคาตามบัญชีของหนี้โดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate)ที่มาจากสัญญาเดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นอัตราส่วนลด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการปรับตัวจนถึงสิ้นปี พ.ศ.2543สถาบันการเงินอาจใช้ราคายุติธรรมของหลักประกันเพื่อคำนวณส่วนสูญเสียแทนการใช้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับจากลูกหนี้ก็ได้แต่จะต้องประเมินราคาหลักประกันตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดนอกจากนั้นสถาบันการเงินยังสามารถทยอยกันสำรองส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ภายในปีพ.ศ.2543 ได้ด้วย
3.เมื่อได้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดแล้วสถาบันการเงินจะสามารถเปลี่ยนสถานะลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสงสัยจะสูญ หรือสูญให้จัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐานและเมื่อลูกหนี้ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 เดือนหรือ 3 งวดการชำระเงินแล้วแต่ระยะเวลาใดจะยาวกว่าสถาบันการเงินจะสามารถยกเลิกลูกหนี้ที่จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานนั้นเป็นลูกหนี้ปกติได้แต่ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหลังการปรับปรุงโครงสร้างสถาบันการเงินจะต้องจัดชั้นลูกหนี้ตามสถานะที่แท้จริงตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นของธนาคารแห่งประเทศไทย
2. หลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงิน
2.1 วัตถุประสงค์
เพื่อให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติในการประเมินมูลค่าหลักประกันเพื่อนำมูลค่าของหลักประกันมาใช้ในการคำนวณเงินสำรองสำหรับลูกหนี้จัดชั้นและในการคำนวณส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหากรณีสถาบันการเงินเลือกใช้ราคายุติธรรม(มูลค่าตลาด)ของหลักประกันในการคำนวณส่วนสูญเสีย
2.2 หลักเกณฑ์
สถาบันการเงินจะต้องประเมินมูลค่าหลักประกันโดยสม่ำเสมอเพื่อให้มูลค่าของหลักประกันเป็นมูลค่าตามราคาตลาดปัจจุบัน ทั้งนี้มีหลักเกณฑ์การเลือกใช้ผู้ประเมินราคาอิสระหรือผู้ประเมินราคาภายในโดยพิจารณาจากขนาดเงินกองทุนของสถาบันการเงินและราคาตามบัญชีของลูกหนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในการประเมินมูลค่าหลักประกันผู้ประเมินราคาจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อ การลงทุนการเรียกชำระหนี้ รวมทั้งลูกหนี้และหลักประกันนั้นโดยจะต้องถือปฏิบัติตามมาตรฐานจรรยาบรรณและมาตรฐานการปฏิบัติงานซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในวงการวิชาชีพการประเมินราคาสินทรัพย์กรณีใช้ผู้ประเมินราคาภายในของสถาบันการเงิน จะต้องถือปฏิบัติ
ตามแนวทางการประเมินราคาหลักประกันของสถาบันการเงินซึ่งจัดทำโดยสมาคมธนาคารไทยและสมาคมบริษัทเงินทุนที่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้รายงานการประเมินราคาและการตีราคาจะต้องมีข้อมูลและการวิเคราะห์ที่เพียงพอต่อการตัดสินใจกำหนดราคา
นอกจากนี้สถาบันการเงินยังจะต้องประเมินมูลค่าหลักประกันอย่างน้อยปีละหนี่งครั้งโดยหลักประกันที่มีการประเมินราคาไว้ภายใน 6 เดือนจะสามารถนำมาหักออกจากมูลหนี้ก่อนการคำนวณเงินสำรองสำหรับลูกหนี้จัดชั้นได้ร้อยละ90 และหากได้มีการประเมินราคาไว้นานกว่า6 เดือนจะนำมาหักมูลหนี้ได้เพียงร้อยละ 50
3. วันที่มีผลบังคับใช้
3.1 หลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้และหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินเพื่อวัตถุประสงค์ในการคำนวณส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไป
3.2หลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินเพื่อวัตถุประสงค์ในการคำนวณเงินสำรองสำหรับลูกหนี้จัดชั้นให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นไป
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
ธนาคารแห่งประเทศไทย
3 มิถุนายน 2541
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ฉบับที่ 30 /2541
เรื่อง หลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงิน
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เคยแจ้งหลักเกณฑ์การระงับการรับรู้ดอกเบี้ยค้างรับเป็นรายได้การจัดชั้นลูกหนี้ การกันเงินสำรอง สำหรับลูกหนี้ที่จัดชั้นและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2541เพื่อให้สถาบันการเงินได้ทราบถึงแนวนโยบายของทางการและเตรียมความพร้อมในการรองรับมาตรการเหล่านี้ไปแล้วนั้นในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และการประเมินราคาหลักประกันธนาคารแห่งประเทศไทยได้พิจารณาหลักเกณฑ์ในรายละเอียดร่วมกับสถาบันการเงินแล้วและได้ออกประกาศเป็นข้อกำหนดให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติ ดังนี้
1. หลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้
1.1 วัตถุประสงค์
การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินเป็นการดำเนินการแก้ไขหนี้ที่มีปัญหาเพื่อให้สถาบันการเงินมีโอกาสได้รับชำระหนี้คืนสูงสุดหรือเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำเนินกิจการต่อไปทั้งของลูกหนี้และสถาบันการเงิน
1.2 หลักเกณฑ์
1.ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดหลักเกณฑ์ให้สถาบันการเงินจะต้องมีการกำหนดนโยบายและมาตรการในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินรวมทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร นอกจากนี้ยังต้องมีขั้นตอนการปฏิบัติงาน การจัดทำเอกสารประกอบ และการติดตามผลที่เหมาะสมและเพื่อให้การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของสถาบันการเงินมีความเป็นอิสระกรณีมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แก่ลูกหนี้ที่มีความสัมพันธ์มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกันสถาบันการเงินจะต้องจัดให้มีสถาบันการเงินอื่นหรือบุคคลที่สามซึ่งไม่มีความสัมพันธ์หรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องใดๆ กับสถาบันการเงินและลูกหนี้เป็นผู้ทำหน้าที่ในการวิเคราะห์ฐานะการเงินและความสามารถในการจ่ายชำระหนี้ตลอดจนกระแสเงินสดของลูกหนี้ ทั้งนี้จะยกเว้นกรณีความสัมพันธ์อันเนื่องมาจากการเข้าไปแก้ไขปัญหาหนี้เสีย
2.ในกรณีที่สถาบันการเงินทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาโดยการผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้และก่อให้เกิดส่วนสูญเสียแก่สถาบันการเงินแล้วสถาบันการเงินจะต้องบันทึกบัญชีให้ถูกต้องตามมาตรฐานการบัญชีสากลการคิดส่วนสูญเสียกำหนดให้เปรียบเทียบมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับจากลูกหนี้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับราคาตามบัญชีของหนี้โดยใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate)ที่มาจากสัญญาเดิมก่อนปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นอัตราส่วนลด
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการปรับตัวจนถึงสิ้นปี พ.ศ.2543สถาบันการเงินอาจใช้ราคายุติธรรมของหลักประกันเพื่อคำนวณส่วนสูญเสียแทนการใช้มูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดรับจากลูกหนี้ก็ได้แต่จะต้องประเมินราคาหลักประกันตามหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดนอกจากนั้นสถาบันการเงินยังสามารถทยอยกันสำรองส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ภายในปีพ.ศ.2543 ได้ด้วย
3.เมื่อได้ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดแล้วสถาบันการเงินจะสามารถเปลี่ยนสถานะลูกหนี้ที่ถูกจัดชั้นเป็นสงสัยจะสูญ หรือสูญให้จัดชั้นเป็นต่ำกว่ามาตรฐานและเมื่อลูกหนี้ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 เดือนหรือ 3 งวดการชำระเงินแล้วแต่ระยะเวลาใดจะยาวกว่าสถาบันการเงินจะสามารถยกเลิกลูกหนี้ที่จัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานนั้นเป็นลูกหนี้ปกติได้แต่ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขหลังการปรับปรุงโครงสร้างสถาบันการเงินจะต้องจัดชั้นลูกหนี้ตามสถานะที่แท้จริงตามหลักเกณฑ์การจัดชั้นของธนาคารแห่งประเทศไทย
2. หลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงิน
2.1 วัตถุประสงค์
เพื่อให้สถาบันการเงินถือปฏิบัติในการประเมินมูลค่าหลักประกันเพื่อนำมูลค่าของหลักประกันมาใช้ในการคำนวณเงินสำรองสำหรับลูกหนี้จัดชั้นและในการคำนวณส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหากรณีสถาบันการเงินเลือกใช้ราคายุติธรรม(มูลค่าตลาด)ของหลักประกันในการคำนวณส่วนสูญเสีย
2.2 หลักเกณฑ์
สถาบันการเงินจะต้องประเมินมูลค่าหลักประกันโดยสม่ำเสมอเพื่อให้มูลค่าของหลักประกันเป็นมูลค่าตามราคาตลาดปัจจุบัน ทั้งนี้มีหลักเกณฑ์การเลือกใช้ผู้ประเมินราคาอิสระหรือผู้ประเมินราคาภายในโดยพิจารณาจากขนาดเงินกองทุนของสถาบันการเงินและราคาตามบัญชีของลูกหนี้ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ในการประเมินมูลค่าหลักประกันผู้ประเมินราคาจะต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อ การลงทุนการเรียกชำระหนี้ รวมทั้งลูกหนี้และหลักประกันนั้นโดยจะต้องถือปฏิบัติตามมาตรฐานจรรยาบรรณและมาตรฐานการปฏิบัติงานซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในวงการวิชาชีพการประเมินราคาสินทรัพย์กรณีใช้ผู้ประเมินราคาภายในของสถาบันการเงิน จะต้องถือปฏิบัติ
ตามแนวทางการประเมินราคาหลักประกันของสถาบันการเงินซึ่งจัดทำโดยสมาคมธนาคารไทยและสมาคมบริษัทเงินทุนที่ได้รับความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้รายงานการประเมินราคาและการตีราคาจะต้องมีข้อมูลและการวิเคราะห์ที่เพียงพอต่อการตัดสินใจกำหนดราคา
นอกจากนี้สถาบันการเงินยังจะต้องประเมินมูลค่าหลักประกันอย่างน้อยปีละหนี่งครั้งโดยหลักประกันที่มีการประเมินราคาไว้ภายใน 6 เดือนจะสามารถนำมาหักออกจากมูลหนี้ก่อนการคำนวณเงินสำรองสำหรับลูกหนี้จัดชั้นได้ร้อยละ90 และหากได้มีการประเมินราคาไว้นานกว่า6 เดือนจะนำมาหักมูลหนี้ได้เพียงร้อยละ 50
3. วันที่มีผลบังคับใช้
3.1 หลักเกณฑ์การปรับปรุงโครงสร้างหนี้และหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินเพื่อวัตถุประสงค์ในการคำนวณส่วนสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหาให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไป
3.2หลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินเพื่อวัตถุประสงค์ในการคำนวณเงินสำรองสำหรับลูกหนี้จัดชั้นให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นไป
จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
ธนาคารแห่งประเทศไทย
3 มิถุนายน 2541
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--