Box C: กลยุทธ์เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจเอกชน_________________________________________________________________________________I. มาตรการด้านภาษี_________________________________________________________________________________ 1. ขจัดอุปสรรคทางภาษีในเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้หลักเกณฑ์ ดำเนินการแล้วที่รัดกุม ทั้งนี้ เฉพาะแผนการปรับโครงสร้างหนี้ที่สอดคล้องกับ (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่หลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยให้รวมถึงเจ้าหนี้ทุกราย 1 ตุลาคม 2541)ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้นั้น ๆ มาตรการชั่วคราว (มีผลบังคับใช้จนถึง 31 ธ.ค. 2542) : - อนุญาตให้เจ้าหนี้นำหนี้ส่วนที่ได้ตัดส่วนสูญเสียมาหักลดหย่อนภาษีเงินได้ของเจ้าหนี้ - ยกเว้นหรืออนุญาตให้ลูกหนี้เลื่อนการชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลออกไปสำหรับรายได้ส่วนที่ลูกหนี้ได้รับจากการที่เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้ - ยกเว้นภาษีทุกประเภทสำหรับธุรกรรมการโอนทรัพย์สินระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้ (ภาษีเงินได้ ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ และภาษีมูลค่าเพิ่ม) - ยกเลิกภาษีสำหรับดอกเบี้ยค้างรับที่บันทึกเป็นรายได้ แต่ไม่ได้รับจริง และจำกัดภาระภาษีในการประนอมหนี้ที่เกิดจากการลดอัตราดอกเบี้ยของเจ้าหนี้ 2. มาตรการถาวรเพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ธุรกิจเอกชน - ยกเว้นการเก็บภาษีในกรณีการควบและรวมกิจการ และการซื้อสินทรัพย์โดยไม่ใช่เงินสด ในกรณีที่เป็นการควบทั้งบริษัท (ร้อยละ 100) - ยกเลิกการเก็บภาษีเงินได้จากธุรกรรมการขายหลักทรัพย์โดยที่ยังไม่มีหลักทรัพย์ในครอบครอง (การขายชอร์ต) - ยกเลิกการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับการโอนสินทรัพย์ให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV)___________________________________________________________________________________II. กรอบการดำเนินการสำหรับการประนอมหนี้ภาคเอกชน___________________________________________________________________________________ 3. จัดทำกรอบการดำเนินงาน (terms of reference) ดำเนินการแล้วของคณะกรรมการส่งเสริมการปรับโครงสร้างหนี้ และประกาศกรอบการประนอมหนี้ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการฯ - ประเมินโอกาสการอยู่รอดของลูกหนี้และตัดสินชี้ขาดในเรื่องการสนับสนุนให้ลูกหนี้ดำเนินกิจการต่อไป - คัดเลือกสถาบันการเงินที่เป็นแกนนำ และคณะกรรมการเจ้าหนี้ (steering committee) ในกรณีการประนอมหนี้ที่ซับซ้อนและมีเจ้าหนี้จำนวนมาก - สถาบันการเงินที่เป็นแกนนำในการปรับโครงสร้างหนี้ กำหนดเป้าหมายและระยะเวลาในการดำเนินการ การจัดการ และการประสานงานระหว่างเจ้าหนี้ และการเจรจาต่อรองกับลูกหนี้ - เจ้าหนี้ตกลงร่วมกันกำหนดช่วงเวลาของการ “หยุดกระทำการ” ใด ๆ ต่อลูกหนี้ ในระหว่างการเจรจาประนอมหนี้ - กำหนดให้ลูกหนี้จัดส่งข้อมูล และรายงานงบการเงินที่ได้สอบทานแล้วตามความจำเป็น - สินเชื่อที่เจ้าหนี้ได้ปล่อยให้ภายใต้เงื่อนไขพิเศษในช่วงการหยุดกระทำการจะต้องมีสิทธิเรียกร้องเหนือเจ้าหนี้รายอื่น - คณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ติดตามดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามความตกลงปรับโครงสร้างหนี้ 4. คณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ภายใน สิงหาคม - กันยายน 2541หรือสถาบันการเงินแกนนำจ้างเจ้าหน้าที่ และแต่งตั้งที่ปรึกษา ที่มีคุณวุฒิวิชาชีพเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศตามความจำเป็น 5. ดำเนินการให้สถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย ประมาณว่าจะดำเนินการได้ทุกแห่งลงนามในความตกลงการปรับโครงสร้างหนี้ ภายใน 30 กันยายน 2541 6. กำหนดกระบวนการในการติดตามดูแล และหากจำเป็น ภายใน 30 กันยายน 2541ให้ดำเนินการกำหนดตารางเวลาเพื่อกำกับให้การดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เป็นไปตามแนวทางที่ตกลงร่วมกัน รวมถึงการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยชี้ขาดระหว่างเจ้าหนี้ที่มีปัญหาด้วย 7. กำหนดรายชื่อธุรกิจที่จะทำการประนอมหนี้ประมาณ 200 ราย ภายใน 31 ธันวาคม 2541 โดยให้รวมถึงรายใหญ่ 100 รายที่ได้มีการยื่นเสนอต่อคณะกรรมการ (ประมาณว่าจะดำเนินการได้)เพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ผ่านผู้แทนในคณะกรรมการฯ 8. ในกรณีที่คณะกรรมการเจ้าหนี้ตัดสินใจจะยื่นขอฟื้นฟูกิจการบริษัทลูกหนี้ ภายใน 31 ธันวาคม 2541ให้ถือว่าระยะเวลาความคืบหน้าในการดำเนินการภายใต้คณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูกิจการ 9. - อนุญาตให้มีการจัดตั้งกองทุนรวม กองทุนเฉพาะกิจเพื่อทำการ ดำเนินการแล้วซื้อหรือบริหารหุ้นของกิจการลูกหนี้ที่สถาบันการเงินนั้นรับซื้อมา - ในกรณีที่มีความจำเป็นให้ดำเนินการทบทวนปรับปรุงกฎหมาย ภายใน 30 กันยายน 2541ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนกระบวนการแปลงหนี้เป็นทุน __________________________________________________________________________________III. มาตรการอื่นเพื่อปรับปรุงระบบการเปิดเผยข้อมูลและกำกับดูแลธุรกิจ__________________________________________________________________________________ 10. ยกระดับการบัญชีให้เป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดของการบัญชีสากล ภายในปี 2542 11. เพิ่มความรับผิดชอบของบริษัทจดทะเบียนต่อผู้ถือหุ้น โดยกำหนดให้คณะกรรมการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อกำกับตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน โดยที่กรรมการที่รับผิดชอบในการบริหารบริษัทหรือกรรมการที่เกี่ยวข้องกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะไม่มีสิทธิเป็นกรรมการในคณะกรรมการตรวจสอบดังกล่าว - สำหรับบริษัทที่จดทะเบียนอยู่แล้วในปัจจุบัน ภายในปี 2542 - สำหรับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนใหม่ทุกราย มีผลบังคับใช้ทันที - ธุรกิจขนาดเล็ก (สินทรัพย์รวมน้อยกว่า 40 ล้านบาท) ผ่อนผันให้ 3 ปี - ธุรกิจขนาดใหญ่ ให้ถือเป็นเงื่อนไขในการจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย