คำกล่าว
ของ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในการสัมมนา เรื่อง
"รวมพลังฝ่าวิกฤติเพื่อธุรกิจอุตสาหกรรมไทย"
ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
วันที่ 11 ตุลาคม 2544
_______________________________
ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ได้ให้เกียรติเชิญกระผมมางานในวันนี้ ผมคิดว่าเป็นงานที่มีความสำคัญมาก ผมเชื่ออยู่เสมอว่า พลังผลักดันเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นต้องมาจากภาคเอกชน ผมอยากจะเรียนในเบื้องต้นว่า ตัวผมเองแต่เดิมไม่เคยเป็นนักการเมือง เมื่อเข้ามาสู่การเมืองในครั้งนี้และได้มีโอกาสทำงานร่วมกับท่านนายกฯ และเพื่อนร่วมทีมทั้งหมดในคณะรัฐมนตรี กระผมอยากเรียนว่า ทุกๆ คนในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ทำงานอย่างเต็มที่ ตั้งแต่วันแรกที่เราเข้าสู่การบริหารราชการแผ่นดิน
ปัญหาของประเทศมีอยู่มากและสั่งสมเป็นสิบๆ ปี แต่เพราะการเมืองในอดีตของเราไม่เอื้ออำนวยให้การแก้ไขปัญหาทำได้อย่างเบ็ดเสร็จและรวดเร็ว ทำให้ปัญหาเหล่านั้นคั่งค้างสั่งสมกันมาโดยตลอด ผมคิดว่าทุกท่านทราบดี ทุกคนที่เข้ามาในรัฐบาลชุดนี้ เริ่มงานตั้งแต่วันแรก และพยายามเร่งงานต่างๆ ให้ออกมา ผมคิดว่าเราได้ใช้เวลาทุกชั่วโมงทุกนาทีทำอยู่อย่างเต็มที่ แต่แม้กระนั้นก็ดี บางสิ่งบางอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาให้ดีได้อีก อย่างที่ท่านรัฐมนตรีสุริยะฯ ได้กล่าวมา ก็คือว่าทำอย่างไรที่จะให้การตัดสินใจและการนำไปสู่การปฏิบัติมี Speed ที่เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ฉะนั้นการที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ผมช่วยงานนั้น ผมอยากเรียนว่า ผู้ที่เป็นหัวหน้าทีมอันเป็นความหวังของพวกเราทุกคน คือ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ท่านจะเป็นเหมือน CEO ของประเทศนี้ ที่จะชี้นำทิศทางและผลักดันนโยบาย กระผมได้เข้าไปช่วย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ในการที่จะทำให้ผลที่จะนำไปสู่เชิงปฏิบัติได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลายๆ การตัดสินใจซึ่งถ้าเป็นการตัดสินใจที่ต้องใช้เวลา เราจะเร่งขึ้น เพราะว่าประเทศขณะนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ และยิ่งเข้าไปอยู่ในช่วงซึ่งโลกมีความไม่แน่นอนสูง หลายสิ่งหลายอย่างทางการเมืองที่อาจไม่กล้าตัดสินใจในอดีต แต่รัฐบาลชุดนี้จะตัดสินใจลงไป ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อลูกหลานของพวกเราเอง เราจะไม่ตัดสินใจเพื่อหวังผลเชิงการเมือง แต่จะตัดสินใจให้ได้ผลจริงๆ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้ประเทศนี้
ตั้งแต่ที่เราเริ่มบริหารราชการแผ่นดินมา หลายๆ นโยบายที่เราออกไปนั้น ผมเคยเรียนว่า ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์สูงมากในอดีตที่ผ่านมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วท่านจะเห็นว่ามันจะเริ่มบังเกิดผล ขณะนี้สถานการณ์โลกได้นำไปสู่ภาวะที่เราคิดว่าจะส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อการส่งออก จะส่งผลกระทบอันไม่แน่นอนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รัฐบาลชุดนี้จึงได้เร่งในการสร้างฐานของบริโภคภายใน เพื่อให้เกิดอำนาจซื้อเพียงพอที่จะรองรับผลผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศ แต่แม้กระนั้นก็ดี ถ้าเราเอาข้อเท็จจริงมากล่าวกัน การอาศัยแต่เพียงการสร้างการบริโภคภายในประเทศ โดยการใช้งบประมาณแผ่นดินในการกระตุ้นเพื่อให้ส่งผลสะท้อนไปถึงการบริโภคในประเทศนั้นไม่เพียงพอแต่เพียงอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ ถ้าท่านคิดว่าจะเอาเงิน 58,000 ล้านลงไปในหลายๆ นโยบาย จนอุ้มให้มีการใช้จ่าย ให้มี Consumption ขึ้นมา เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ไม่เพียงพอท่านลองดูตัวเลขคร่าวๆ ถ้าเราแบ่งตัว GDP ออกเป็นตัวใหญ่ๆ คือการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนของภาคเอกชน งบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาล และ Net Current Account หรือดุลบัญชีเดินสะพัดสุทธิ Export หัก Import และ Adjust ตัดด้วยการบริการ ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ ปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดตัวหนึ่ง ผมจะไล่ลงมา ตัวการบริโภคภายในประเทศ ถ้าเกณฑ์ 100 มีนัยสำคัญประมาณ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ การลงทุนภาคเอกชน 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ การใช้จ่ายของรัฐบาล Impact ประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ และ Current Account ติดลบ ในช่วงที่มีภาวะวิกฤติการณ์ แต่พอมาในขณะนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ตัวที่หายไปเลยส่วนหนึ่งคือ ตัว I การลงทุนของภาคเอกชน จากสัดส่วนที่อยู่ประมาณ 30 ต้นๆ วันนี้เหลือประมาณ 10 กว่าต้นๆ เมื่อตัว I หดหายไป ตัวอื่นก็ขึ้นมาแทนที่ โดยสัดส่วนเปรียบเทียบคือการบริโภคภายในขึ้นมาสูงกว่า Investment ถ้าหากเราไม่สามารถสร้างหรือกระตุ้นให้การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น เหมือนอย่างเช่นภาวะที่เป็นปกตินั้น ยากที่เศรษฐกิจจะฟื้นฟูได้อย่างยั่งยืน เพราะการลงทุนภาคเอกชนเท่านั้นที่จะสามารถก่อให้เกิดการสั่งสมทุน ก่อให้เกิดการจ้างแรงงาน ก่อให้เกิดรายได้ประชาชาติที่จะดีขึ้นเป็นผลพวงที่จะติดตาม แต่ที่กล่าวมานั้นหายไปอย่างน่าใจหายทีเดียว ถามว่าหายไปไหน?
ส่วนที่ 1 พวกเราคงทราบดีคือ NPL กลุ่มบริษัทที่มีศักยภาพการผลิต เกินกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศมีภาวะปัญหาที่กลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ ถามว่า กลุ่มบริษัทเหล่านี้ตายจากไปหมดหรือยัง? ยัง ! ที่ตายจากไปนั้นมีบ้าง แต่ที่อยู่ในสภาพที่อ่อนปวกเปียกหรือยังไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะขยายการจ้างงาน กลุ่มเหล่านี้มีสูงเหลือเกิน ฉะนั้น บสท. ที่เราพยายามผลักดันขึ้นมาเพื่อให้มีการโอนหนี้เข้ามาสู่ บสท. และปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการ เพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถเป็นธุรกิจที่ดีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีการผลิตและการจ้างงาน จึงเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่เราจะต้องผลักดันเพิ่มขึ้นมา และในสัปดาห์นี้จะมีการโอนหนี้ประมาณเกือบ 400,000 ล้านบาท ปลายเดือนประมาณ 400,000 ล้าน นโยบายนี้รัฐบาลทั้งรัฐบาลจะต้องเอาศักดิ์ศรีเป็นประกัน เพราะนี้คือรัฐบาลที่เราเน้นนโยบายนี้เป็นหลักใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่าย เพราะหลายประเทศทำแล้วล้มเหลว หรือไม่กล้าทำ เพราะมันจะมีผลกระทบ ทั้งได้และเสียต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคเอกชน แต่ต้องทำ เพราะไม่เช่นนั้นตัว Investment ไม่สามารถจะกลายเป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนได้อีกในอนาคตข้างหน้า ในส่วนที่ยังเป็นผู้ประกอบการที่ยังมีคุณภาพอยู่ นอกจากนี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยภาวะความไม่แน่นอนของต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งต้องพึ่งพิงตลาดสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ตัวนี้ผมอยากจะเรียนว่าที่เขาไม่สามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มการลงทุนได้ เพราะขาดปัจจัย 2 สิ่ง ซึ่งวันนี้เราต้องรีบแก้ไขให้ได้
สิ่งที่ 1 คือสภาพคล่อง แต่เดิมมา 3 ปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสภาพคล่องให้ธุรกิจเอกชน เหตุผลไม่ต้องกล่าวในที่นี้ ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว ธนาคารไม่กล้าปล่อย ปล่อยไปแล้วกลัวไม่ได้เงินคืน หรือจะล้ม เกิดความกลัว เกิดความไม่เชื่อมั่น ขาดความเชื่อถือซึ่งกันและกัน วันนี้สิ่งเหล่านี้หายไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด สถาบันการเงินภาครัฐได้เริ่มขับเคลื่อนอีกครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อวานนี้ แบงก์ชาติให้ข้อมูลการปล่อยสินเชื่อมา จากที่เคยถดถอยอย่างต่อเนื่องเป็นปี เดือนมิถุนายน สินเชื่อเพิ่มขึ้นประมาณเกือบ 20,000 ล้านบาท ทั้งระบบ เดือนกรกฎาคมประมาณ 10,000 ล้านบาท เดือนสิงหาคมประมาณ 30,000 ล้านบาท แปลว่ากลไกเริ่มขับเคลื่อนแล้ว แต่ถามว่าเพียงพอหรือไม่? ยังไม่เพียงพอ เราต้องพยายามทำให้สถาบันการเงินเอกชนแข็งแรงขึ้นมา และยินดีที่จะเข้ามามีส่วนร่วมให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะซึ่งธุรกิจถ้าหากมีสงครามเกิดขึ้น ความไม่แน่นอนมีสูง สภาพคล่องถือเป็นเรื่องใหญ่ เราได้สั่งการให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บอย.) ให้อัตราสภาพคล่องพิเศษ เต็มวงเงิน เพื่อให้ธุรกิจที่ประสบปัญหาอันเกิดขึ้นจากสงครามข้างนอกสามารถเข้ามารับการช่วยเหลือ ในไม่กี่วันข้างหน้า ท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมานั่งอยู่ตรงหน้าผมนี้ จะเป็นคนประกาศ Package นี้ออกมาให้ได้ เพื่อให้พวกเราสามารถหมุนรอบ มีสภาพคล่องให้พ้นจากช่วงวิกฤติการณ์ไปให้ได้
ตัวที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง ไม่เพียงสภาพคล่อง แต่คือตัวที่มีความสำคัญเหนือสภาพคล่องเสียอีก ก็คือ ตัวทุน ตัว Equity วันนี้ธุรกิจมีหนี้เป็นส่วนใหญ่ แต่มีทุนน้อย เมื่อมีทุนน้อย ขยับขยายอะไรก็ลำบาก สถาบันการเงินก็ไม่กล้าให้สินเชื่อ ไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะท่านมีเงินอยู่ในหน้าตักน้อยมาก และมีหนี้สูญสูง เพราะฉะนั้น เราจึงพยายามผลักดันกองทุน Equity Fund ออกมาเป็นชุดๆ เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเติมทุน Capital Market หรือตลาดหุ้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าดัชนีอยู่ที่ประมาณ 280 หุ้นโดยทั่วไปมีราคาต่ำ ยากยิ่งที่บริษัทต่างๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถเพิ่มทุนในการระดมทุนเพื่อขยับขยายกำลังการผลิต ทำได้ยาก ฉะนั้นโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่จะเอาหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก่อการจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นของประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ให้เขาเข้ามา รัฐวิสาหกิจที่เคยเป็นภาระในการใช้จ่ายของรัฐบาล ในอนาคตข้างหน้าจะต้องผันจากการเป็นภาระมาสู่การเป็นอัศวินในการกู้เศรษฐกิจของประเทศไทย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ
เมื่อวานนี้ อย่างที่ท่านรัฐมนตรีสุริยะฯ ได้กล่าวมาว่า นักลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญยิ่ง เขาอุตส่าห์มาประเทศไทยประเทศเดียว และบริษัทที่เข้ามาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสิ้น นับสิบๆ บริษัท พวกเราทุกคน ถ้าเรามัวแต่คิดในเชิงลบว่าประเทศจะแย่ ถ้าเราคิดอย่างนั้น ข้อมูลทุกอย่างมีแค่เพียงเท่านั้น ต่างชาติเขาจะเชื่อใจในศักยภาพของประเทศไทยได้อย่างไร? เมื่อวานนี้เราถามเขาว่าให้นักลงทุนต่างประเทศมองมาที่เอเชีย ท่านคิดว่าประเทศไหนมีศักยภาพดีที่สุด? ในอาเซียนมีประเทศไหนบ้างที่มีศักยภาพเหนือประเทศไทย? แหล่งท่องเที่ยวในเอเชียมีที่ไหนบ้างที่ท่านจะกล้าเดินทาง? ในขณะนี้โดยที่มีความมั่นใจในความสงบสุข ไม่มีภยันตราย มีแหล่งท่องเที่ยวที่เพียบพร้อม มีบริการที่ดีพร้อม ใช่ประเทศไทยหรือไม่? ทุกคนบอกว่า "ใช่" ถ้าหากว่าต่างประเทศเชื่อใจในเมืองไทย ทำไมคนไทยเรากันเองถึงไม่เชื่อใจประเทศไทย? ตรงนี้คือสิ่งที่เราจะต้องผลักดันให้ได้ การท่องเที่ยวฯ ได้รับปากแล้วว่า จะพยายามผลักดันตามความเชื่อมั่นเหล่านี้ออกสู่สายตาต่างประเทศ
ทุกสิ่งที่กล่าวมา ผมอยากจะเรียนว่า การลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งรัฐบาลชุดนี้ไม่เคยทอดทิ้งเลย แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ไม่ใช่เพียงช่วงนี้ แต่คืออนาคตข้างหน้า ถ้าท่านผ่านพ้นวิกฤติการณ์ช่วงนี้ไป โดยที่ไม่แตะต้องกับการปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมเลย อนาคตข้างหน้าอุตสาหกรรมไทยยากที่จะแข่งขันกับชาวโลกเขาได้ ผมไม่เคยแยกภาคเกษตรกับภาคอุตสาหกรรม หรือภาคไฮเทค ที่จริงภาคเดียวกันทั้งสิ้น เพียงแต่มันอยู่ไหนของ Value Chain ทุกอย่างคือภาคการผลิต 20 ปีเต็มๆ ตั้งแต่การที่เศรษฐกิจเราฟื้นขึ้นมาจากวิกฤติการณ์คราวก่อนหน้านั้น เราแทบไม่ได้แตะต้องกับการยกเครื่องศักยภาพเชิงแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยเลย
ทุกวันนี้พวกเราที่นั่งอยู่ในห้องนี้ อาจตระหนักดีว่า การแข่งขันข้างนอกรุนแรงมาก สินค้าไทยศักยภาพต่างๆ ค่อยๆ ถดถอยลงไป ตรงนี้เราจะไม่ทอดทิ้ง BOI กำลังมีการจัดลำดับความสำคัญของอุตสาหกรรม ในขณะนี้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการเริ่มปรับโครงสร้างภาษีอุตสาหกรรมแล้ว ในสิ่งซึ่งดั้งเดิมนั้นไม่มีใครอยากจะแตะต้อง เพราะแตะต้องกลุ่มหนึ่งต้องกระทบอีกกลุ่มหนึ่งอย่างแน่นอน แต่ถึงเวลาที่ต้องทำแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นอุตสาหกรรมไทยจะไม่สามารถแข่งขันกับชาวโลกได้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเริ่มมีการปรับลดภาษีวัตถุดิบ และภาษีสินค้าที่ใช้ในการผลิตในส่วนที่เรามิได้ผลิตเองแต่นำเข้าจากต่างประเทศ ให้มีสัดส่วนต่ำที่สุด เมื่อต้นทุนของต้นน้ำต่ำที่สุด ปลายน้ำก็จะสามารถแข่งขันกับชาวโลกได้ พรุ่งนี้เราจะมีการรื้ออีก ประมาณ 1 หรือ 2 อุตสาหกรรม จะทยอยทำไปทุกๆ อุตสาหกรรม จากยากไปหาง่าย เราจะไม่รอให้หมักหมมอีกต่อไป
อนาคตข้างหน้าไม่เพียงแต่จะต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีอุตสาหกรรม แต่ในการสร้างคุณภาพมาตรฐานที่ไม่มีการต้มตุ๋นชาวโลก สินค้าของไทยที่ออกไปแข่งขันต้องมีศักยภาพแห่งการแข่งขันที่สูงพอ มีคุณภาพที่ได้ Standard และมีจุดโดดเด่น มิใช่แต่เพียงว่าผลิตสินค้าต้นทุนถูกไปขาย เพราะไม่มีทางที่คุณจะผลิตสินค้าต้นทุนถูกกว่าที่สินค้ามาจากจีน อินเดีย บังคลาเทศ สินค้าถูกกว่าคุณแน่นอน ฉะนั้น อนาคตข้างหน้าพวกท่านต้องช่วยรัฐบาลด้วยว่า จะทำอย่างไรที่ท่านจะผลิตสินค้าที่มี Differentiation ความแตกต่างที่สามารถสอดรับกับความต้องการของอุปสงค์ ความต้องการของโลกได้ อะไรที่จะให้รัฐบาลช่วย เราจะช่วย แต่ถ้าท่านไม่เคลื่อนไหวไปข้างหน้าก่อน ยากที่รัฐบาลจะชี้นำ เพราะท่านรู้ดีกว่ารัฐบาลวันนี้ต้องขอบพระคุณกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้จัดให้มีงานวันนี้ เพื่อระดมสมองของท่าน ท่านเอาสมองส่วนหนึ่งคิดสิ่งที่จะให้รัฐบาลช่วยท่านอย่างที่ท่านรัฐมนตรีกล่าวมา ช่วยในสิ่งที่คิดว่า ถ้าท่านมานั่งในที่ของรัฐบาล รัฐบาลพอที่จะช่วยท่านได้ โดยที่ไม่เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม สมองอีกส่วนหนึ่งมองไปข้างหน้า จะทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมของท่านสามารถแข่งขันได้? อะไรที่จะให้รัฐบาลช่วย? แล้วเรามาช่วยกัน ไม่ใช่รัฐบาลฝ่ายเดียวช่วยท่าน ท่านต้องนำ รัฐบาลตามมาส่งเสริม เราถึงจะไปรอด
วันก่อนผมได้เรียนท่านประธานสภาอุตสาหกรรมไทย ผมเคยเรียนประธานหอการค้าไทยว่า รัฐบาลอยากจะเห็นการผนึกกำลังร่วมระหว่างสภาอุตสาหกรรมฯ กับหอการค้าฯ แสดงพลังให้เอกชนและประชาชนประจักษ์ว่า ประเทศไทยนั้นมีศักยภาพ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่หลังพิงกำแพง เรามีทุกอย่างเพียบพร้อม การส่งออกที่ลดถอยลง การท่องเที่ยวที่ลดน้อยลงบ้าง ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เราทรุดจนยืนไม่ได้ แต่เราต้องประคองตัวเองให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ และหลังจากนั้นการรวมพลังจะทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้การร่วมมือกันระหว่างพวกเราทุกคน ภายใต้การนำของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ภายใต้เอกภาพที่ร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล สภาผู้แทน และวุฒิสภา ประเทศไทยถึงจะไปรอด
ผมใช้เวลาที่ประชุมวันนี้พอสมควรแล้ว ผมคิดว่าพอเท่านี้ก่อน ขอบคุณครับ
______________________________
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
วิโรจน์ สว่างตระกูล : ถอดเทป
กรองจิตร สุขเกื้อ : พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : ตรวจ/ทาน--จบ--
-ศน-
ของ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในการสัมมนา เรื่อง
"รวมพลังฝ่าวิกฤติเพื่อธุรกิจอุตสาหกรรมไทย"
ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
วันที่ 11 ตุลาคม 2544
_______________________________
ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่ได้ให้เกียรติเชิญกระผมมางานในวันนี้ ผมคิดว่าเป็นงานที่มีความสำคัญมาก ผมเชื่ออยู่เสมอว่า พลังผลักดันเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นต้องมาจากภาคเอกชน ผมอยากจะเรียนในเบื้องต้นว่า ตัวผมเองแต่เดิมไม่เคยเป็นนักการเมือง เมื่อเข้ามาสู่การเมืองในครั้งนี้และได้มีโอกาสทำงานร่วมกับท่านนายกฯ และเพื่อนร่วมทีมทั้งหมดในคณะรัฐมนตรี กระผมอยากเรียนว่า ทุกๆ คนในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ทำงานอย่างเต็มที่ ตั้งแต่วันแรกที่เราเข้าสู่การบริหารราชการแผ่นดิน
ปัญหาของประเทศมีอยู่มากและสั่งสมเป็นสิบๆ ปี แต่เพราะการเมืองในอดีตของเราไม่เอื้ออำนวยให้การแก้ไขปัญหาทำได้อย่างเบ็ดเสร็จและรวดเร็ว ทำให้ปัญหาเหล่านั้นคั่งค้างสั่งสมกันมาโดยตลอด ผมคิดว่าทุกท่านทราบดี ทุกคนที่เข้ามาในรัฐบาลชุดนี้ เริ่มงานตั้งแต่วันแรก และพยายามเร่งงานต่างๆ ให้ออกมา ผมคิดว่าเราได้ใช้เวลาทุกชั่วโมงทุกนาทีทำอยู่อย่างเต็มที่ แต่แม้กระนั้นก็ดี บางสิ่งบางอย่างก็ยังเป็นสิ่งที่สามารถพัฒนาให้ดีได้อีก อย่างที่ท่านรัฐมนตรีสุริยะฯ ได้กล่าวมา ก็คือว่าทำอย่างไรที่จะให้การตัดสินใจและการนำไปสู่การปฏิบัติมี Speed ที่เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ฉะนั้นการที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้ผมช่วยงานนั้น ผมอยากเรียนว่า ผู้ที่เป็นหัวหน้าทีมอันเป็นความหวังของพวกเราทุกคน คือ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ท่านจะเป็นเหมือน CEO ของประเทศนี้ ที่จะชี้นำทิศทางและผลักดันนโยบาย กระผมได้เข้าไปช่วย ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ในการที่จะทำให้ผลที่จะนำไปสู่เชิงปฏิบัติได้เร็วขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลายๆ การตัดสินใจซึ่งถ้าเป็นการตัดสินใจที่ต้องใช้เวลา เราจะเร่งขึ้น เพราะว่าประเทศขณะนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ และยิ่งเข้าไปอยู่ในช่วงซึ่งโลกมีความไม่แน่นอนสูง หลายสิ่งหลายอย่างทางการเมืองที่อาจไม่กล้าตัดสินใจในอดีต แต่รัฐบาลชุดนี้จะตัดสินใจลงไป ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อลูกหลานของพวกเราเอง เราจะไม่ตัดสินใจเพื่อหวังผลเชิงการเมือง แต่จะตัดสินใจให้ได้ผลจริงๆ ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้ประเทศนี้
ตั้งแต่ที่เราเริ่มบริหารราชการแผ่นดินมา หลายๆ นโยบายที่เราออกไปนั้น ผมเคยเรียนว่า ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์สูงมากในอดีตที่ผ่านมา แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วท่านจะเห็นว่ามันจะเริ่มบังเกิดผล ขณะนี้สถานการณ์โลกได้นำไปสู่ภาวะที่เราคิดว่าจะส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อการส่งออก จะส่งผลกระทบอันไม่แน่นอนต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รัฐบาลชุดนี้จึงได้เร่งในการสร้างฐานของบริโภคภายใน เพื่อให้เกิดอำนาจซื้อเพียงพอที่จะรองรับผลผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศ แต่แม้กระนั้นก็ดี ถ้าเราเอาข้อเท็จจริงมากล่าวกัน การอาศัยแต่เพียงการสร้างการบริโภคภายในประเทศ โดยการใช้งบประมาณแผ่นดินในการกระตุ้นเพื่อให้ส่งผลสะท้อนไปถึงการบริโภคในประเทศนั้นไม่เพียงพอแต่เพียงอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ ถ้าท่านคิดว่าจะเอาเงิน 58,000 ล้านลงไปในหลายๆ นโยบาย จนอุ้มให้มีการใช้จ่าย ให้มี Consumption ขึ้นมา เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ แต่ไม่เพียงพอท่านลองดูตัวเลขคร่าวๆ ถ้าเราแบ่งตัว GDP ออกเป็นตัวใหญ่ๆ คือการบริโภคภายในประเทศ การลงทุนของภาคเอกชน งบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาล และ Net Current Account หรือดุลบัญชีเดินสะพัดสุทธิ Export หัก Import และ Adjust ตัดด้วยการบริการ ก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ ปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดตัวหนึ่ง ผมจะไล่ลงมา ตัวการบริโภคภายในประเทศ ถ้าเกณฑ์ 100 มีนัยสำคัญประมาณ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ การลงทุนภาคเอกชน 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ การใช้จ่ายของรัฐบาล Impact ประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ และ Current Account ติดลบ ในช่วงที่มีภาวะวิกฤติการณ์ แต่พอมาในขณะนี้ สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ ตัวที่หายไปเลยส่วนหนึ่งคือ ตัว I การลงทุนของภาคเอกชน จากสัดส่วนที่อยู่ประมาณ 30 ต้นๆ วันนี้เหลือประมาณ 10 กว่าต้นๆ เมื่อตัว I หดหายไป ตัวอื่นก็ขึ้นมาแทนที่ โดยสัดส่วนเปรียบเทียบคือการบริโภคภายในขึ้นมาสูงกว่า Investment ถ้าหากเราไม่สามารถสร้างหรือกระตุ้นให้การลงทุนในประเทศเพิ่มขึ้น เหมือนอย่างเช่นภาวะที่เป็นปกตินั้น ยากที่เศรษฐกิจจะฟื้นฟูได้อย่างยั่งยืน เพราะการลงทุนภาคเอกชนเท่านั้นที่จะสามารถก่อให้เกิดการสั่งสมทุน ก่อให้เกิดการจ้างแรงงาน ก่อให้เกิดรายได้ประชาชาติที่จะดีขึ้นเป็นผลพวงที่จะติดตาม แต่ที่กล่าวมานั้นหายไปอย่างน่าใจหายทีเดียว ถามว่าหายไปไหน?
ส่วนที่ 1 พวกเราคงทราบดีคือ NPL กลุ่มบริษัทที่มีศักยภาพการผลิต เกินกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศมีภาวะปัญหาที่กลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ ถามว่า กลุ่มบริษัทเหล่านี้ตายจากไปหมดหรือยัง? ยัง ! ที่ตายจากไปนั้นมีบ้าง แต่ที่อยู่ในสภาพที่อ่อนปวกเปียกหรือยังไม่แข็งแรงเพียงพอที่จะขยายการจ้างงาน กลุ่มเหล่านี้มีสูงเหลือเกิน ฉะนั้น บสท. ที่เราพยายามผลักดันขึ้นมาเพื่อให้มีการโอนหนี้เข้ามาสู่ บสท. และปรับโครงสร้างหนี้ ปรับโครงสร้างกิจการ เพื่อให้ธุรกิจเหล่านี้สามารถเป็นธุรกิจที่ดีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มีการผลิตและการจ้างงาน จึงเป็นหัวใจสำคัญที่สุด ที่เราจะต้องผลักดันเพิ่มขึ้นมา และในสัปดาห์นี้จะมีการโอนหนี้ประมาณเกือบ 400,000 ล้านบาท ปลายเดือนประมาณ 400,000 ล้าน นโยบายนี้รัฐบาลทั้งรัฐบาลจะต้องเอาศักดิ์ศรีเป็นประกัน เพราะนี้คือรัฐบาลที่เราเน้นนโยบายนี้เป็นหลักใหญ่ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่าย เพราะหลายประเทศทำแล้วล้มเหลว หรือไม่กล้าทำ เพราะมันจะมีผลกระทบ ทั้งได้และเสียต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในภาคเอกชน แต่ต้องทำ เพราะไม่เช่นนั้นตัว Investment ไม่สามารถจะกลายเป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนได้อีกในอนาคตข้างหน้า ในส่วนที่ยังเป็นผู้ประกอบการที่ยังมีคุณภาพอยู่ นอกจากนี้ยังถูกซ้ำเติมด้วยภาวะความไม่แน่นอนของต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจอุตสาหกรรม ซึ่งต้องพึ่งพิงตลาดสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ตัวนี้ผมอยากจะเรียนว่าที่เขาไม่สามารถขยายกำลังการผลิตเพิ่มการลงทุนได้ เพราะขาดปัจจัย 2 สิ่ง ซึ่งวันนี้เราต้องรีบแก้ไขให้ได้
สิ่งที่ 1 คือสภาพคล่อง แต่เดิมมา 3 ปีที่ผ่านมา สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสภาพคล่องให้ธุรกิจเอกชน เหตุผลไม่ต้องกล่าวในที่นี้ ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว ธนาคารไม่กล้าปล่อย ปล่อยไปแล้วกลัวไม่ได้เงินคืน หรือจะล้ม เกิดความกลัว เกิดความไม่เชื่อมั่น ขาดความเชื่อถือซึ่งกันและกัน วันนี้สิ่งเหล่านี้หายไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด สถาบันการเงินภาครัฐได้เริ่มขับเคลื่อนอีกครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อวานนี้ แบงก์ชาติให้ข้อมูลการปล่อยสินเชื่อมา จากที่เคยถดถอยอย่างต่อเนื่องเป็นปี เดือนมิถุนายน สินเชื่อเพิ่มขึ้นประมาณเกือบ 20,000 ล้านบาท ทั้งระบบ เดือนกรกฎาคมประมาณ 10,000 ล้านบาท เดือนสิงหาคมประมาณ 30,000 ล้านบาท แปลว่ากลไกเริ่มขับเคลื่อนแล้ว แต่ถามว่าเพียงพอหรือไม่? ยังไม่เพียงพอ เราต้องพยายามทำให้สถาบันการเงินเอกชนแข็งแรงขึ้นมา และยินดีที่จะเข้ามามีส่วนร่วมให้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะซึ่งธุรกิจถ้าหากมีสงครามเกิดขึ้น ความไม่แน่นอนมีสูง สภาพคล่องถือเป็นเรื่องใหญ่ เราได้สั่งการให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (บอย.) ให้อัตราสภาพคล่องพิเศษ เต็มวงเงิน เพื่อให้ธุรกิจที่ประสบปัญหาอันเกิดขึ้นจากสงครามข้างนอกสามารถเข้ามารับการช่วยเหลือ ในไม่กี่วันข้างหน้า ท่านปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งมานั่งอยู่ตรงหน้าผมนี้ จะเป็นคนประกาศ Package นี้ออกมาให้ได้ เพื่อให้พวกเราสามารถหมุนรอบ มีสภาพคล่องให้พ้นจากช่วงวิกฤติการณ์ไปให้ได้
ตัวที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง ไม่เพียงสภาพคล่อง แต่คือตัวที่มีความสำคัญเหนือสภาพคล่องเสียอีก ก็คือ ตัวทุน ตัว Equity วันนี้ธุรกิจมีหนี้เป็นส่วนใหญ่ แต่มีทุนน้อย เมื่อมีทุนน้อย ขยับขยายอะไรก็ลำบาก สถาบันการเงินก็ไม่กล้าให้สินเชื่อ ไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะท่านมีเงินอยู่ในหน้าตักน้อยมาก และมีหนี้สูญสูง เพราะฉะนั้น เราจึงพยายามผลักดันกองทุน Equity Fund ออกมาเป็นชุดๆ เพื่อให้มีส่วนร่วมในการเติมทุน Capital Market หรือตลาดหุ้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ถ้าดัชนีอยู่ที่ประมาณ 280 หุ้นโดยทั่วไปมีราคาต่ำ ยากยิ่งที่บริษัทต่างๆ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสามารถเพิ่มทุนในการระดมทุนเพื่อขยับขยายกำลังการผลิต ทำได้ยาก ฉะนั้นโครงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่จะเอาหุ้นรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก่อการจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นของประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งรัฐบาลชุดนี้จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างประเทศ ให้เขาเข้ามา รัฐวิสาหกิจที่เคยเป็นภาระในการใช้จ่ายของรัฐบาล ในอนาคตข้างหน้าจะต้องผันจากการเป็นภาระมาสู่การเป็นอัศวินในการกู้เศรษฐกิจของประเทศไทย สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ
เมื่อวานนี้ อย่างที่ท่านรัฐมนตรีสุริยะฯ ได้กล่าวมาว่า นักลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญยิ่ง เขาอุตส่าห์มาประเทศไทยประเทศเดียว และบริษัทที่เข้ามาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสิ้น นับสิบๆ บริษัท พวกเราทุกคน ถ้าเรามัวแต่คิดในเชิงลบว่าประเทศจะแย่ ถ้าเราคิดอย่างนั้น ข้อมูลทุกอย่างมีแค่เพียงเท่านั้น ต่างชาติเขาจะเชื่อใจในศักยภาพของประเทศไทยได้อย่างไร? เมื่อวานนี้เราถามเขาว่าให้นักลงทุนต่างประเทศมองมาที่เอเชีย ท่านคิดว่าประเทศไหนมีศักยภาพดีที่สุด? ในอาเซียนมีประเทศไหนบ้างที่มีศักยภาพเหนือประเทศไทย? แหล่งท่องเที่ยวในเอเชียมีที่ไหนบ้างที่ท่านจะกล้าเดินทาง? ในขณะนี้โดยที่มีความมั่นใจในความสงบสุข ไม่มีภยันตราย มีแหล่งท่องเที่ยวที่เพียบพร้อม มีบริการที่ดีพร้อม ใช่ประเทศไทยหรือไม่? ทุกคนบอกว่า "ใช่" ถ้าหากว่าต่างประเทศเชื่อใจในเมืองไทย ทำไมคนไทยเรากันเองถึงไม่เชื่อใจประเทศไทย? ตรงนี้คือสิ่งที่เราจะต้องผลักดันให้ได้ การท่องเที่ยวฯ ได้รับปากแล้วว่า จะพยายามผลักดันตามความเชื่อมั่นเหล่านี้ออกสู่สายตาต่างประเทศ
ทุกสิ่งที่กล่าวมา ผมอยากจะเรียนว่า การลงทุนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งรัฐบาลชุดนี้ไม่เคยทอดทิ้งเลย แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น ไม่ใช่เพียงช่วงนี้ แต่คืออนาคตข้างหน้า ถ้าท่านผ่านพ้นวิกฤติการณ์ช่วงนี้ไป โดยที่ไม่แตะต้องกับการปฏิรูปโครงสร้างอุตสาหกรรมเลย อนาคตข้างหน้าอุตสาหกรรมไทยยากที่จะแข่งขันกับชาวโลกเขาได้ ผมไม่เคยแยกภาคเกษตรกับภาคอุตสาหกรรม หรือภาคไฮเทค ที่จริงภาคเดียวกันทั้งสิ้น เพียงแต่มันอยู่ไหนของ Value Chain ทุกอย่างคือภาคการผลิต 20 ปีเต็มๆ ตั้งแต่การที่เศรษฐกิจเราฟื้นขึ้นมาจากวิกฤติการณ์คราวก่อนหน้านั้น เราแทบไม่ได้แตะต้องกับการยกเครื่องศักยภาพเชิงแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยเลย
ทุกวันนี้พวกเราที่นั่งอยู่ในห้องนี้ อาจตระหนักดีว่า การแข่งขันข้างนอกรุนแรงมาก สินค้าไทยศักยภาพต่างๆ ค่อยๆ ถดถอยลงไป ตรงนี้เราจะไม่ทอดทิ้ง BOI กำลังมีการจัดลำดับความสำคัญของอุตสาหกรรม ในขณะนี้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีการเริ่มปรับโครงสร้างภาษีอุตสาหกรรมแล้ว ในสิ่งซึ่งดั้งเดิมนั้นไม่มีใครอยากจะแตะต้อง เพราะแตะต้องกลุ่มหนึ่งต้องกระทบอีกกลุ่มหนึ่งอย่างแน่นอน แต่ถึงเวลาที่ต้องทำแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นอุตสาหกรรมไทยจะไม่สามารถแข่งขันกับชาวโลกได้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราเริ่มมีการปรับลดภาษีวัตถุดิบ และภาษีสินค้าที่ใช้ในการผลิตในส่วนที่เรามิได้ผลิตเองแต่นำเข้าจากต่างประเทศ ให้มีสัดส่วนต่ำที่สุด เมื่อต้นทุนของต้นน้ำต่ำที่สุด ปลายน้ำก็จะสามารถแข่งขันกับชาวโลกได้ พรุ่งนี้เราจะมีการรื้ออีก ประมาณ 1 หรือ 2 อุตสาหกรรม จะทยอยทำไปทุกๆ อุตสาหกรรม จากยากไปหาง่าย เราจะไม่รอให้หมักหมมอีกต่อไป
อนาคตข้างหน้าไม่เพียงแต่จะต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างภาษีอุตสาหกรรม แต่ในการสร้างคุณภาพมาตรฐานที่ไม่มีการต้มตุ๋นชาวโลก สินค้าของไทยที่ออกไปแข่งขันต้องมีศักยภาพแห่งการแข่งขันที่สูงพอ มีคุณภาพที่ได้ Standard และมีจุดโดดเด่น มิใช่แต่เพียงว่าผลิตสินค้าต้นทุนถูกไปขาย เพราะไม่มีทางที่คุณจะผลิตสินค้าต้นทุนถูกกว่าที่สินค้ามาจากจีน อินเดีย บังคลาเทศ สินค้าถูกกว่าคุณแน่นอน ฉะนั้น อนาคตข้างหน้าพวกท่านต้องช่วยรัฐบาลด้วยว่า จะทำอย่างไรที่ท่านจะผลิตสินค้าที่มี Differentiation ความแตกต่างที่สามารถสอดรับกับความต้องการของอุปสงค์ ความต้องการของโลกได้ อะไรที่จะให้รัฐบาลช่วย เราจะช่วย แต่ถ้าท่านไม่เคลื่อนไหวไปข้างหน้าก่อน ยากที่รัฐบาลจะชี้นำ เพราะท่านรู้ดีกว่ารัฐบาลวันนี้ต้องขอบพระคุณกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ได้จัดให้มีงานวันนี้ เพื่อระดมสมองของท่าน ท่านเอาสมองส่วนหนึ่งคิดสิ่งที่จะให้รัฐบาลช่วยท่านอย่างที่ท่านรัฐมนตรีกล่าวมา ช่วยในสิ่งที่คิดว่า ถ้าท่านมานั่งในที่ของรัฐบาล รัฐบาลพอที่จะช่วยท่านได้ โดยที่ไม่เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม สมองอีกส่วนหนึ่งมองไปข้างหน้า จะทำอย่างไรให้อุตสาหกรรมของท่านสามารถแข่งขันได้? อะไรที่จะให้รัฐบาลช่วย? แล้วเรามาช่วยกัน ไม่ใช่รัฐบาลฝ่ายเดียวช่วยท่าน ท่านต้องนำ รัฐบาลตามมาส่งเสริม เราถึงจะไปรอด
วันก่อนผมได้เรียนท่านประธานสภาอุตสาหกรรมไทย ผมเคยเรียนประธานหอการค้าไทยว่า รัฐบาลอยากจะเห็นการผนึกกำลังร่วมระหว่างสภาอุตสาหกรรมฯ กับหอการค้าฯ แสดงพลังให้เอกชนและประชาชนประจักษ์ว่า ประเทศไทยนั้นมีศักยภาพ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่หลังพิงกำแพง เรามีทุกอย่างเพียบพร้อม การส่งออกที่ลดถอยลง การท่องเที่ยวที่ลดน้อยลงบ้าง ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เราทรุดจนยืนไม่ได้ แต่เราต้องประคองตัวเองให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปให้ได้ และหลังจากนั้นการรวมพลังจะทำให้เราสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน ทั้งหมดจะต้องอยู่ภายใต้การร่วมมือกันระหว่างพวกเราทุกคน ภายใต้การนำของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ภายใต้เอกภาพที่ร่วมมือกันระหว่างรัฐบาล สภาผู้แทน และวุฒิสภา ประเทศไทยถึงจะไปรอด
ผมใช้เวลาที่ประชุมวันนี้พอสมควรแล้ว ผมคิดว่าพอเท่านี้ก่อน ขอบคุณครับ
______________________________
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
วิโรจน์ สว่างตระกูล : ถอดเทป
กรองจิตร สุขเกื้อ : พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : ตรวจ/ทาน--จบ--
-ศน-