คุณถาม : แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2544 เป็นอย่างไร
EXIM ตอบ : กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวในอัตรา
ที่ชะลอลงจาก 4.8% ในปี 2543 เหลือ 3.2% ในปี 2544 ขณะที่ธนาคารโลก (World Bank) คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะซบ
เซาลงเหลือ 2.2% ในปี 2544 ซึ่งสามารถสรุปอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ/กลุ่มประเทศที่สำคัญตามการคาด
การณ์ของ IMF และธนาคารโลกได้ดังนี้
สำหรับเศรษฐกิจของภูมิภาคอื่นๆ นั้น คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเช่นกัน โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
ในเอเชียจะชะลอลงจาก 6.9% ในปี 2543 เหลือ 5.9% ในปี 2544 เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวพึ่งพาสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลัก และต้องเผชิญ
กับภาวะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกตกต่ำลงตามเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาลงด้วย
คุณถาม : E-day คืออะไร
EXIM ตอบ : E-day หรือ Euro day คือ วันที่ 1 มกราคม 2545 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นของการใช้เงินยูโรอย่างเป็นทางการในกลุ่มประเทศ
สมาชิกสหภาพเศรษฐกิจและการเงินแห่งยุโรป (European Monetary Union : EMU) จำนวน 12 ประเทศ คือ ออสเตรีย
เบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนที่วัน E-day จะมาถึงนั้น ธนาคารกลางแห่งยุโรปจะต้องผลิตเหรียญกษาปณ์ยูโรจำนวน 50 พันล้านเหรียญ และ
พิมพ์ธนบัตรยูโรจำนวน 14.5 พันล้านฉบับ รวมมูลค่า 664 พันล้านยูโร เพื่อรองรับการใช้เงินสกุลยูโรที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วัน E-day
เป็นต้นไป โดยกำหนดให้ผู้ที่ถือเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศสมาชิก EMU ทั้ง 12 ประเทศ นำเงินที่ถืออยู่ไปแลกเป็นเงินสกุลยูโรได้
ที่ธนาคารกลางของทุกประเทศตั้งแต่วัน E-day เป็นต้นไป โดยไม่จำกัดระยะเวลาในการแลก
ในระยะแรกที่นำเงินยูโรออกใช้นั้น ธนาคารกลางแห่งยุโรปอนุญาตให้ทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศสมาชิก EMU ทั้ง 12
ประเทศ สามารถใช้เงินสกุลประจำชาติของตนควบคู่กับเงินสกุลยูโรได้ (Dual Circulation Period) ไปจนถึงวันที่ 28
กุมภาพันธ์ 2545 แต่หลังจากนั้นเงินยูโรจะเป็นเงินสกุลเดียวที่สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและชำระหนี้ภายในกลุ่ม EMU ได้ตามกฎหมาย
การทำธุรกรรมทุกประเภท ทั้งในตลาดเงินตลาดทุน ตลาดสินค้า และร้านค้าทั่วไปจะต้องใช้เงินสกุลยูโรเท่านั้น
ปัจจุบันธนาคารกลางแห่งยุโรปและรัฐบาลของประเทศสมาชิก EMU ทั้ง 12 ประเทศกำลังเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนใน
ประเทศของตนทราบข่าวสารเกี่ยวกับเงินยูโรที่จะเริ่มนำมาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อให้การใช้เหรียญกษาปณ์และธนบัตรยูโรตั้งแต่
วันที่ 1 มกราคม 2002 เป็นต้นไป ดำเนินไปอย่างราบรื่น--จบ--
--ข้อมูลจาก : ฝ่ายวิชาการและแผนงาน
--Exim News ปีที่ 7 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนพฤษภาคม 2544--
-อน-
EXIM ตอบ : กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวในอัตรา
ที่ชะลอลงจาก 4.8% ในปี 2543 เหลือ 3.2% ในปี 2544 ขณะที่ธนาคารโลก (World Bank) คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะซบ
เซาลงเหลือ 2.2% ในปี 2544 ซึ่งสามารถสรุปอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ/กลุ่มประเทศที่สำคัญตามการคาด
การณ์ของ IMF และธนาคารโลกได้ดังนี้
สำหรับเศรษฐกิจของภูมิภาคอื่นๆ นั้น คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเช่นกัน โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
ในเอเชียจะชะลอลงจาก 6.9% ในปี 2543 เหลือ 5.9% ในปี 2544 เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวพึ่งพาสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลัก และต้องเผชิญ
กับภาวะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกตกต่ำลงตามเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาลงด้วย
คุณถาม : E-day คืออะไร
EXIM ตอบ : E-day หรือ Euro day คือ วันที่ 1 มกราคม 2545 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นของการใช้เงินยูโรอย่างเป็นทางการในกลุ่มประเทศ
สมาชิกสหภาพเศรษฐกิจและการเงินแห่งยุโรป (European Monetary Union : EMU) จำนวน 12 ประเทศ คือ ออสเตรีย
เบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ไอร์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส และสเปน
ทั้งนี้ ในช่วงก่อนที่วัน E-day จะมาถึงนั้น ธนาคารกลางแห่งยุโรปจะต้องผลิตเหรียญกษาปณ์ยูโรจำนวน 50 พันล้านเหรียญ และ
พิมพ์ธนบัตรยูโรจำนวน 14.5 พันล้านฉบับ รวมมูลค่า 664 พันล้านยูโร เพื่อรองรับการใช้เงินสกุลยูโรที่จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วัน E-day
เป็นต้นไป โดยกำหนดให้ผู้ที่ถือเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศสมาชิก EMU ทั้ง 12 ประเทศ นำเงินที่ถืออยู่ไปแลกเป็นเงินสกุลยูโรได้
ที่ธนาคารกลางของทุกประเทศตั้งแต่วัน E-day เป็นต้นไป โดยไม่จำกัดระยะเวลาในการแลก
ในระยะแรกที่นำเงินยูโรออกใช้นั้น ธนาคารกลางแห่งยุโรปอนุญาตให้ทั้งภาครัฐและเอกชนในประเทศสมาชิก EMU ทั้ง 12
ประเทศ สามารถใช้เงินสกุลประจำชาติของตนควบคู่กับเงินสกุลยูโรได้ (Dual Circulation Period) ไปจนถึงวันที่ 28
กุมภาพันธ์ 2545 แต่หลังจากนั้นเงินยูโรจะเป็นเงินสกุลเดียวที่สามารถใช้ชำระค่าสินค้าและชำระหนี้ภายในกลุ่ม EMU ได้ตามกฎหมาย
การทำธุรกรรมทุกประเภท ทั้งในตลาดเงินตลาดทุน ตลาดสินค้า และร้านค้าทั่วไปจะต้องใช้เงินสกุลยูโรเท่านั้น
ปัจจุบันธนาคารกลางแห่งยุโรปและรัฐบาลของประเทศสมาชิก EMU ทั้ง 12 ประเทศกำลังเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนใน
ประเทศของตนทราบข่าวสารเกี่ยวกับเงินยูโรที่จะเริ่มนำมาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อให้การใช้เหรียญกษาปณ์และธนบัตรยูโรตั้งแต่
วันที่ 1 มกราคม 2002 เป็นต้นไป ดำเนินไปอย่างราบรื่น--จบ--
--ข้อมูลจาก : ฝ่ายวิชาการและแผนงาน
--Exim News ปีที่ 7 ฉบับที่ 5 ประจำเดือนพฤษภาคม 2544--
-อน-