ข้อมูลเบื้องต้นเดือนพฤษภาคม เศรษฐกิจโดยรวมยังขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งด้านการผลิตและการใช้จ่ายในประเทศ โดยเฉพาะการผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุน การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ซึ่งแสดงแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การส่งออกยังอยู่ในเกณฑ์ดี ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลต่อเนื่อง ส่วนภาครัฐบาล รายได้ภาษีเพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะภาษีเงินได้ นิติบุคคลซึ่งนำส่งสำหรับงวดสิ้นปี 2542 ในเดือนนี้เป็นเงิน 28 พันล้านบาท ขณะที่ปีก่อนนำส่งในเดือนมิถุนายน ส่วนภาคการเงิน อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และเงินให้กู้ยืมที่แท้จริงของธนาคารพาณิชย์ลดลง ตามแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เงินฝากธนาคารพาณิชย์ลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ สินเชื่อที่ไม่รวมกิจการวิเทศธนกิจปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ฐานเงินและปริมาณเงินมีอัตราการขยายตัว ค่อนข้างต่ำ ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น ทั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 6.1จากระยะเดียวกันปีก่อน (หากไม่รวมผลผลิตสุราเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1) ซึ่งสูงกว่าการขยายตัวในเดือนก่อน หมวดที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี คือ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง ซึ่งมีโรงงานประกอบรถยนต์นั่งเปิดใหม่ หมวดผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ขยายตัวตามการส่งออก ผลิตภัณฑ์ยางแท่ง แผงวงจรไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้า เยื่อกระดาษ และอัญมณีและเครื่องประดับ หมวดอาหาร เพิ่มขึ้นตามการส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง และ หมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ขยายตัวตามความต้องการ ผลิตภัณฑ์ แผ่นเหล็กรีดร้อนและรีดเย็น และการส่งออกท่อเหล็ก หมวดที่ผลิตลดลงมาก คือ หมวดเครื่องดื่ม โดยเฉพาะสุรา ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 หากไม่รวมผลผลิตสุรา)
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามเครื่องชี้ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่สำคัญ ได้แก่ ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง เบียร์ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ สินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า และการใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัย สำหรับการลงทุนภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งการลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามการนำเข้าสินค้าทุน และการก่อสร้างที่แสดง แนวโน้มดีขึ้นตามการขยายตัวของปริมาณจำหน่ายปูนซิเมนต์ในประเทศ
3. ภาคต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกและนำเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.2 และ 29.3 ตามลำดับ ดุลการค้าเกินดุล 510 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อรวมกับดุลบริการและบริจาคที่เกินดุลเพิ่มขึ้น ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 790 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิขาดดุลต่อเนื่อง เนื่องจากการชำระคืนหนี้ของภาคเอกชน และการเพิ่มสินทรัพย์ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้ดุลการชำระเงินขาดดุล 281 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองทางการ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ระดับ 31.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนเงินสำรองทางการล่าสุด ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2543 อยู่ที่ระดับ 32.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
4. ดุลเงินสดรัฐบาลเกินดุล 25.1 พันล้านบาท นับเป็นการเกินดุลครั้งแรกในรอบ 10 เดือน โดยเป็น การเกินดุลในงบประมาณ 24.3 พันล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากภาษีนิติบุคคลซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่เงินนอกงบประมาณเกินดุล 0.8 พันล้านบาท รายได้จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.5 จากระยะ เดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะจากฐานรายได้ เนื่องจากสามารถนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดสิ้นปี 2542 จำนวน 28 พันล้านบาท ได้หมดในเดือนนี้ (ขณะที่ปีก่อนหน้าส่วนใหญ่มีการนำส่งในเดือนมิถุนายน) นอกจากนี้รายได้จากฐานการบริโภคยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (ซึ่งเป็นเดือนแรกที่กรมศุลกากร กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิตใช้ฐานการจัดเก็บเดียวกันที่ร้อยละ 7) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนภาษีจากฐานการค้าระหว่างประเทศยังคงขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 36.2 รายจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1จากระยะเดียวกันปีก่อน (รวมรายจ่ายเพื่อชำระดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ที่ออกเพื่อฟื้นฟูสถาบันการเงินจำนวน 1.3 พันล้านบาท) รายจ่ายที่สำคัญคือรายจ่ายสมทบเงินกองทุนประกันสังคมจำนวน 1.3 พันล้านบาท ส่วนรายจ่ายตามโครงการ มิยาซาวาในเดือนนี้มีจำนวน 1.6 พันล้านบาท (อยู่ในดุลเงินนอกงบประมาณ) และสะสมจนถึงเดือนพฤษภาคม มีจำนวนทั้งสิ้น 47.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86.7 ของวงเงินทั้งหมด5. ดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จาก เดือนก่อน ทั้งนี้เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 0.4 ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.2 โดยเฉพาะราคาข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื่องจากปริมาณผลผลิต ออกสู่ตลาดมากกอปรกับปริมาณส่งออกลดลง รองลงมาได้แก่ หมวดไข่ และผลิตภัณฑ์นม เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ มีปริมาณมาก ส่วนในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ราคาหมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสารเพิ่มขึ้นมากที่สุด ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนตัว และบริษัทผู้ผลิตปรับราคาจำหน่าย รถยนต์นั่งสูงขึ้น
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องระบบการเงินทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากปลายเดือนก่อน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยตลาดเงินลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายเดือนสภาพคล่องลดลงจากการที่ภาคธุรกิจต้อง นำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี อัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับเดือนก่อน ซึ่งเป็นการทรงตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ส่วน สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ปรับตัวดีขึ้น เพราะสินเชื่อที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ (non-BIBF) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนปริมาณสินเชื่อวิเทศธนกิจ (BIBF) ค่อนข้างทรงตัวเทียบกับเดือนก่อน สำหรับเงินฝากธนาคารพาณิชย์ลดลง เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยไม่จูงใจผู้ฝาก และมีการออกตราสารหนี้ ที่เสนออัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้น ฐานเงินและปริมาณเงิน มีอัตราการขยายตัวค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเงินสดในมือประชาชนลดลง
7. อัตราแลกเปลี่ยน การอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาคและการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์กอปรกับการเร่งซื้อดอลลาร์ สรอ. ของสถาบันการเงินเพื่อเตรียมชำระหนี้ช่วงกลางปีได้สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้อ่อนลงอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเงินบาทเฉลี่ยเดือนพฤษภาคมเท่ากับ 38.95 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 6.1จากระยะเดียวกันปีก่อน (หากไม่รวมผลผลิตสุราเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.1) ซึ่งสูงกว่าการขยายตัวในเดือนก่อน หมวดที่ขยายตัวในเกณฑ์ดี คือ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง ซึ่งมีโรงงานประกอบรถยนต์นั่งเปิดใหม่ หมวดผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ขยายตัวตามการส่งออก ผลิตภัณฑ์ยางแท่ง แผงวงจรไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้า เยื่อกระดาษ และอัญมณีและเครื่องประดับ หมวดอาหาร เพิ่มขึ้นตามการส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง และ หมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ขยายตัวตามความต้องการ ผลิตภัณฑ์ แผ่นเหล็กรีดร้อนและรีดเย็น และการส่งออกท่อเหล็ก หมวดที่ผลิตลดลงมาก คือ หมวดเครื่องดื่ม โดยเฉพาะสุรา ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ ผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.4 หากไม่รวมผลผลิตสุรา)
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน ตามเครื่องชี้ การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่สำคัญ ได้แก่ ปริมาณจำหน่ายรถจักรยานยนต์ รถยนต์นั่ง เบียร์ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ สินค้าอุปโภคบริโภคนำเข้า และการใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อที่อยู่อาศัย สำหรับการลงทุนภาคเอกชน ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ ทั้งการลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ตามการนำเข้าสินค้าทุน และการก่อสร้างที่แสดง แนวโน้มดีขึ้นตามการขยายตัวของปริมาณจำหน่ายปูนซิเมนต์ในประเทศ
3. ภาคต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกและนำเข้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 13.2 และ 29.3 ตามลำดับ ดุลการค้าเกินดุล 510 ล้านดอลลาร์ สรอ. เมื่อรวมกับดุลบริการและบริจาคที่เกินดุลเพิ่มขึ้น ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 790 ล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนเงินทุนเคลื่อนย้ายสุทธิขาดดุลต่อเนื่อง เนื่องจากการชำระคืนหนี้ของภาคเอกชน และการเพิ่มสินทรัพย์ต่างประเทศของธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้ดุลการชำระเงินขาดดุล 281 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองทางการ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ระดับ 31.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ส่วนเงินสำรองทางการล่าสุด ณ วันที่ 23 มิถุนายน 2543 อยู่ที่ระดับ 32.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
4. ดุลเงินสดรัฐบาลเกินดุล 25.1 พันล้านบาท นับเป็นการเกินดุลครั้งแรกในรอบ 10 เดือน โดยเป็น การเกินดุลในงบประมาณ 24.3 พันล้านบาท เนื่องจากมีรายได้จากภาษีนิติบุคคลซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่เงินนอกงบประมาณเกินดุล 0.8 พันล้านบาท รายได้จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 72.5 จากระยะ เดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะจากฐานรายได้ เนื่องจากสามารถนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดสิ้นปี 2542 จำนวน 28 พันล้านบาท ได้หมดในเดือนนี้ (ขณะที่ปีก่อนหน้าส่วนใหญ่มีการนำส่งในเดือนมิถุนายน) นอกจากนี้รายได้จากฐานการบริโภคยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (ซึ่งเป็นเดือนแรกที่กรมศุลกากร กรมสรรพากรและกรมสรรพสามิตใช้ฐานการจัดเก็บเดียวกันที่ร้อยละ 7) ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนภาษีจากฐานการค้าระหว่างประเทศยังคงขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 36.2 รายจ่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.1จากระยะเดียวกันปีก่อน (รวมรายจ่ายเพื่อชำระดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ที่ออกเพื่อฟื้นฟูสถาบันการเงินจำนวน 1.3 พันล้านบาท) รายจ่ายที่สำคัญคือรายจ่ายสมทบเงินกองทุนประกันสังคมจำนวน 1.3 พันล้านบาท ส่วนรายจ่ายตามโครงการ มิยาซาวาในเดือนนี้มีจำนวน 1.6 พันล้านบาท (อยู่ในดุลเงินนอกงบประมาณ) และสะสมจนถึงเดือนพฤษภาคม มีจำนวนทั้งสิ้น 47.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86.7 ของวงเงินทั้งหมด5. ดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จาก เดือนก่อน ทั้งนี้เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 0.4 ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.2 โดยเฉพาะราคาข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง เนื่องจากปริมาณผลผลิต ออกสู่ตลาดมากกอปรกับปริมาณส่งออกลดลง รองลงมาได้แก่ หมวดไข่ และผลิตภัณฑ์นม เนื่องจากผลผลิตไข่ไก่ มีปริมาณมาก ส่วนในหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ราคาหมวดพาหนะการขนส่งและการสื่อสารเพิ่มขึ้นมากที่สุด ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับสูงขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนตัว และบริษัทผู้ผลิตปรับราคาจำหน่าย รถยนต์นั่งสูงขึ้น
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องระบบการเงินทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากปลายเดือนก่อน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยตลาดเงินลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายเดือนสภาพคล่องลดลงจากการที่ภาคธุรกิจต้อง นำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี อัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับเดือนก่อน ซึ่งเป็นการทรงตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ส่วน สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ปรับตัวดีขึ้น เพราะสินเชื่อที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ (non-BIBF) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนปริมาณสินเชื่อวิเทศธนกิจ (BIBF) ค่อนข้างทรงตัวเทียบกับเดือนก่อน สำหรับเงินฝากธนาคารพาณิชย์ลดลง เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยไม่จูงใจผู้ฝาก และมีการออกตราสารหนี้ ที่เสนออัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้น ฐานเงินและปริมาณเงิน มีอัตราการขยายตัวค่อนข้างต่ำ เนื่องจากเงินสดในมือประชาชนลดลง
7. อัตราแลกเปลี่ยน การอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาคและการปรับตัวลดลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์กอปรกับการเร่งซื้อดอลลาร์ สรอ. ของสถาบันการเงินเพื่อเตรียมชำระหนี้ช่วงกลางปีได้สร้างแรงกดดันต่อค่าเงินบาทให้อ่อนลงอย่างต่อเนื่อง โดยค่าเงินบาทเฉลี่ยเดือนพฤษภาคมเท่ากับ 38.95 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--