สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2548 และ 2549 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.3 และ 5.0 ต่อปี การขยายตัวในระดับดังกล่าวของปี 2548 ถือเป็นการขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ แม้เศรษฐกิจไทยจะถูกรุมเร้าด้วยปัญหาต่างๆ มากมาย และในปี 2549 ทั้งอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายนอกและภายในจะดีกว่าของปี 2548
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.3 ต่อปี ซึ่งอยู่ในช่วงที่ได้ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 4.1 - 4.6 ต่อปี ณ เดือนสิงหาคม 2548 โดยในครึ่งปีแรกเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 3.9 ต่อปี ส่วนในครึ่งปีหลัง คาดว่า จะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 4.5 ต่อปี ดีกว่าครึ่งแรกของปีเนื่องจาก 1) ปัญหาต่างๆ ด้านอุปทานที่เศรษฐกิจไทยเผชิญ เช่น ภัยแล้ง การปิดซ่อมโรงงานของอุตสาหกรรมหลักบางสาขา Tsunami ได้คลี่คลายแล้ว 2) ปัจจัยบวกในครึ่งปีหลังที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักได้แก่ ปริมาณการส่งออกสินค้าในไตรมาส 3 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงมาก แต่ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนยังขยายตัวดีอยู่ 3) อัตราการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส และ 4) การที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 ปี 2548 ทำให้คลายแรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง ด้านการค้าระหว่างประเทศ คาดว่า ในปี 2548 มูลค่าส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 109.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 14.1 ต่อปี ส่วนมูลค่านำเข้าสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 118.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 25.3 ต่อปี ส่งผลให้ขาดดุลการค้าประมาณ 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การขาดดุลการค้าในปี 2548 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 44.5 จากปี 2547 และการนำเข้าน้ำมันที่คาดว่ามีมูลค่าถึง 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายนอกและภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเสถียรภาพภายนอก ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 4.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 2.3 ของ GDP ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2548 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 48.3 คิดเป็น 2.9 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และคิดเป็น 4.9 เดือนของมูลค่าการนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือน สำหรับเสถียรภาพภายในอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี ปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วสูงขึ้นในปี 2548 ได้แก่ 1) ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจากปี 2547 เฉลี่ยร้อยละ 44.5 และ 2) รัฐบาลยกเลิกการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 14 กรกฎาคม 2548 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาสินค้าในหมวดพลังงานและอาหารสด ในปี 2548 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.6
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2549 คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้น โดยจะอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากความสำเร็จของการใช้นโยบายบริหารการส่งออก ท่องเที่ยว และนำเข้า โดยคาดว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะปรับตัวดีขึ้น มูลค่าสินค้าส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยวจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น สศค. คาดว่า การลงทุนของภาคเอกชนจะมีการขยายตัวได้ดี แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งผลจากการการลงทุนของ Mega Projects ที่สูงขึ้นกว่าปี 2548 ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศ อันได้แก่ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักยังคงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ส่วนปัจจัยภายในประเทศนั้น คาดว่ามีผลกระทบทางลบไม่มากนัก การขยายตัวในระดับดังกล่าวถือเป็นการขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจเองก็อยู่ในเกณฑ์ดี
ในปี 2549 มูลค่าส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 122.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 12.0 ต่อปี ส่วนมูลค่านำเข้าสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 127.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 8.0 ต่อปี ส่งผลให้ขาดดุลการค้าประมาณ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สาเหตุสำคัญของการขาดดุลการค้ายังคงมาจาก การนำเข้าสินค้าทุนและน้ำมัน
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายนอกและภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเสถียรภาพภายนอกในปี 2548 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของ GDP ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงที่ 52.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 3.0 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และคิดเป็น 4.9 เดือนของมูลค่าการนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือน
ส่วนเสถียรภาพภายใน ปี 2549 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี ปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำลงจากปี 2548 ได้แก่ 1) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่ได้สูงขึ้นมากนักจากปี 2548 และ 2) ฐานดัชนีราคาผู้บริโภคในปี 2548 อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาสินค้าในหมวดพลังงานและอาหารสด ในปี 2549 คาดว่า จะอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง--
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลังและโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.3 ต่อปี ซึ่งอยู่ในช่วงที่ได้ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 4.1 - 4.6 ต่อปี ณ เดือนสิงหาคม 2548 โดยในครึ่งปีแรกเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 3.9 ต่อปี ส่วนในครึ่งปีหลัง คาดว่า จะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 4.5 ต่อปี ดีกว่าครึ่งแรกของปีเนื่องจาก 1) ปัญหาต่างๆ ด้านอุปทานที่เศรษฐกิจไทยเผชิญ เช่น ภัยแล้ง การปิดซ่อมโรงงานของอุตสาหกรรมหลักบางสาขา Tsunami ได้คลี่คลายแล้ว 2) ปัจจัยบวกในครึ่งปีหลังที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักได้แก่ ปริมาณการส่งออกสินค้าในไตรมาส 3 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 12 ไตรมาส ในขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าขยายตัวในอัตราที่ชะลอตัวลงมาก แต่ปริมาณการนำเข้าสินค้าทุนยังขยายตัวดีอยู่ 3) อัตราการใช้กำลังการผลิตยังอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส และ 4) การที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4 ปี 2548 ทำให้คลายแรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง ด้านการค้าระหว่างประเทศ คาดว่า ในปี 2548 มูลค่าส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 109.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 14.1 ต่อปี ส่วนมูลค่านำเข้าสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 118.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 25.3 ต่อปี ส่งผลให้ขาดดุลการค้าประมาณ 8.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ การขาดดุลการค้าในปี 2548 ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากการที่ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 44.5 จากปี 2547 และการนำเข้าน้ำมันที่คาดว่ามีมูลค่าถึง 18.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายนอกและภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเสถียรภาพภายนอก ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 4.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 2.3 ของ GDP ทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2548 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 48.3 คิดเป็น 2.9 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และคิดเป็น 4.9 เดือนของมูลค่าการนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือน สำหรับเสถียรภาพภายในอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 4.5 ต่อปี ปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วสูงขึ้นในปี 2548 ได้แก่ 1) ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้นจากปี 2547 เฉลี่ยร้อยละ 44.5 และ 2) รัฐบาลยกเลิกการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล 14 กรกฎาคม 2548 ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาสินค้าในหมวดพลังงานและอาหารสด ในปี 2548 คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.6
สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี 2549 คาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้น โดยจะอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจากความสำเร็จของการใช้นโยบายบริหารการส่งออก ท่องเที่ยว และนำเข้า โดยคาดว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะปรับตัวดีขึ้น มูลค่าสินค้าส่งออกและรายได้จากการท่องเที่ยวจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น สศค. คาดว่า การลงทุนของภาคเอกชนจะมีการขยายตัวได้ดี แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งผลจากการการลงทุนของ Mega Projects ที่สูงขึ้นกว่าปี 2548 ในส่วนของปัจจัยภายนอกประเทศ อันได้แก่ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักยังคงมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ส่วนปัจจัยภายในประเทศนั้น คาดว่ามีผลกระทบทางลบไม่มากนัก การขยายตัวในระดับดังกล่าวถือเป็นการขยายตัวในระดับที่น่าพอใจ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจเองก็อยู่ในเกณฑ์ดี
ในปี 2549 มูลค่าส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 122.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 12.0 ต่อปี ส่วนมูลค่านำเข้าสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ 127.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 8.0 ต่อปี ส่งผลให้ขาดดุลการค้าประมาณ 4.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สาเหตุสำคัญของการขาดดุลการค้ายังคงมาจาก การนำเข้าสินค้าทุนและน้ำมัน
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายนอกและภายในยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเสถียรภาพภายนอกในปี 2548 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 0.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 0.1 ของ GDP ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในระดับสูงที่ 52.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 3.0 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และคิดเป็น 4.9 เดือนของมูลค่าการนำเข้าเฉลี่ยต่อเดือน
ส่วนเสถียรภาพภายใน ปี 2549 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี ปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปต่ำลงจากปี 2548 ได้แก่ 1) ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่ได้สูงขึ้นมากนักจากปี 2548 และ 2) ฐานดัชนีราคาผู้บริโภคในปี 2548 อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ไม่รวมราคาสินค้าในหมวดพลังงานและอาหารสด ในปี 2549 คาดว่า จะอยู่ที่ร้อยละ 1.6 ต่อปี
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง--