ข้าวโพด : การแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2544/45
สถานการณ์การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2544/45 จะมีพื้นที่ปลูก 7.907 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจาก 7.870 ล้านไร่ของปีก่อนร้อยละ 0.47 เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังบางรายที่ได้รับราคาต่ำปีที่ผ่านมาเปลี่ยนมาปลูกข้าวโพดแทน ผลผลิตได้ 4.445 ล้านตันเพิ่มขึ้นจาก 4.397 ล้านตันของปีก่อนร้อยละ 1.09 เนื่องจากพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นและข้าวโพดได้รับน้ำฝนเพียงพอต่อการเจริญเติบโต ประกอบกับเกษตรกรใช้ข้าวโพดลูกผสมซึ่งได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก 559 กก./ไร่ ในปี 2543/44 เป็น 562 กก./ไร่ ในปี 2544/45 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.54
ขณะนี้เกษตรกรกำลังเก็บเกี่ยวข้าวโพดรุ่น 1 ซึ่งมิถุนายน-สิงหาคม 2544 มีการเก็บเกี่ยวไปแล้วร้อยละ 28.54 และจะเก็บเกี่ยวมากขึ้นในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2544 อีกร้อยละ 46.37 พื้นที่ที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวไปแล้ว ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ เลย ลพบุรี สระบุรี เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร ข้าวโพดรุ่น 2 ปลูกหลังจากเก็บเกี่ยวรุ่น 1 แล้ว และคาดว่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน
จากสถานการณ์การผลิตในปีนี้คาดว่าผลผลิตมีเพียงพอกับความต้องการใช้ ซึ่งมีประมาณ 4.00-4.30 ล้านตัน ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ปัจจุบันเดือนกันยายนเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.82 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 3.98 บาท ของเดือนก่อนร้อยละ 4.02 และคาดว่าราคาเดือนต่อไปจะลดลงอีก เนื่องจากเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และจากการที่เกษตรกรบางราย เช่น จังหวัดสระแก้ว น่าน พะเยา เชียงราย ได้เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องราคาตกต่ำนั้น คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2544 ให้แทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2544/45 ดังนี้
1) รับจำนำข้าวโพดจากเกษตรกรจำนวน 650,000 ตันฝัก หรือประมาณ 500,000 ตันเมล็ด โดยที่ความชื้นของฝักหรือเมล็ดไม่เกิน 30% โดยให้ ธกส. อคส. อ.ต.ก. เป็นผู้ดำเนินการรับจำนำ
2) ราคารับจำนำข้าวโพดฝักความชื้น 25.1 — 30% ราคา 2.50 บาท/กก. และข้าวโพดเมล็ดความชื้น 25.1-30% ราคา 3.39 บาท/กก. ซึ่งราคาข้าวโพดฝักจะเปลี่ยนแปลงตามราคาตลาดระหว่าง 2.50-2.65 บาท/กก. โดยอยู่ในความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอัตราแปรสภาพ (ความชื้น 30-25.1%) ข้าวโพดฝัก : ข้าวโพดเมล็ดเท่ากับ 1 : 0.76
3) ระยะเวลารับจำนำ กย.-พย. 2544 ไถ่ถอนภายใน 2 เดือนนับถัดจากที่รับจำนำ
4) ระยะเวลาโครงการ กย.2544 - กพ.2545
5) ให้คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด กำกับดูแลการรับจำนำข้าวโพดฝักหรือเมล็ดจากเกษตรกร และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องทราบเรื่องการกำหนดราคารับจำนำตามระดับความชื้นและจุดที่เกษตรกรจะนำข้าวโพดไปจำนำ
6) ให้ อคส. และ กรมการค้าต่างประเทศ ส่งออกข้าวโพดที่รับจำนำไปต่างประเทศ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการระบายข้าวโพด ซึ่งประกอบด้วยอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมการค้าภายใน ผู้แทน อคส. กำหนดปริมาณและราคาที่จะระบายส่งออก
7) ประมาณการค่าใช้จ่าย วงเงิน 241.35 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ธกส. ร้อยละ 5 ต่อปี ค่าสี ค่าอบ รับฝากเก็บ ค่าใช้จ่ายดำเนินการ อคส. อ.ต.ก. เป็นต้น ซึ่งต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ค่าใช้จ่ายนี้จะได้รับคืนเมื่อมีการจำหน่ายข้าวโพดที่รับจำนำแล้วยกเว้นค่าดอกเบี้ย ธกส.
มันสำปะหลัง : คาดว่า ปี 2545 ราคามันสำปะหลังจะสดใส
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้ติดตามสถานการณ์มันสำปะหลัง ปี 2545 (ตุลาคม 2544-กันยายน 2545) คาดว่า ราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดี คือ ประมาณกิโลกรัมละ 0.90-1.00 บาท เนื่องจากมีปัจจัยที่สนับสนุนหลายประการดังนี้
1. ผลผลิตพืชในประเทศต่างๆ ลดลง
1) ผลผลิตของประเทศคู่ค้า คาดว่า ผลผลิตธัญพืชของสหภาพยุโรปมีแนวโน้ม ลดลงจาก 213 ล้านตัน ในปี 2543/44 เหลือเพียง 206 ล้านตันในปี 2544/45 หรือลดลงร้อยละ 3.40 นอกจากนี้ จีนซึ่งเป็นประเทศนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่สำคัญอันดับ 2 รองจากสหภาพยุโรป แม้ว่าในปีหน้านี้ผลผลิตข้าวโพดจะมีปริมาณมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าคงไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ
2) ผลผลิตข้าวโพดของสหรัฐอเมริกา คาดว่า ผลผลิตมีแนวโน้มลดลงจาก 253 ล้านตันในปี 2543/44 เหลือเพียง 235 ล้านตันในปี 2544/45 หรือลดลงร้อยละ 7.66
3) ผลผลิตมันสำปะหลังของไทย คาดว่า ผลผลิตมีแนวโน้มลดลงจาก 18.26 ล้านตันในปี 2544 เหลือเพียง 17.80 ล้านตันในปี 2545 หรือลดลงร้อยละ 2.58 เนื่องจากในปีที่ผ่านมาราคาไม่จูงใจ เกษตรกรจึงหันไปปลูกพืชอื่นทดแทน
2 สต็อกมันสำปะหลัง
สต็อกมันสำปะหลังของไทยคงเหลือในปี 2544 มีปริมาณน้อยมากอันจะส่งผลให้อุปทานในเดือนตุลาคม 2544 ซึ่งเป็นต้นปีการค้า 2545 มีปริมาณน้อยกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา
3 ราคาซื้อขายล่วงหน้ามันอัดเม็ดในตลาดรอตเตอร์ดัม
ราคาซื้อขายล่วงหน้ามันอัดเม็ดในตลาดรอตเตอร์ดัมส่งมอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2544 เฉลี่ยประมาณ 190 ดอยซ์มาร์ค เมื่อเทียบกับ 165 ดอยซ์มาร์ค ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลให้ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี มันอัดเม็ดในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อเนื่องทำให้ราคาหัวมันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น
4. ความต้องการ
คาดว่า ความต้องการใช้มันสำปะหลังภายในประเทศทั้งเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์และแป้งมันในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพิ่มขึ้น และความต้องการส่งออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเส้นเพื่อส่งไปตลาดจีนยังคงมีปริมาณมาก
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น น่าจะเป็นปีที่สดใสของเกษตรกรผู้ปลูกมัน-สำปะหลัง
ข้อเสนอแนะ
เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องตลอดทั้งปีและมีความยั่งยืนตลอดไปนั้น จึงใคร่ขอแนะนำเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังดังนี้
1.ชะลอการเก็บเกี่ยวหัวมันสำปะหลังสด หากเกษตรกรยังคงเร่งขุดหัวมันสำปะหลังในเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ถึงร้อยละ 65 เช่นที่ผ่านมารวมทั้งขุดหัวมันอ่อนอาจส่งผลกระทบต่อราคาหัวมันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้ ดังนั้น เกษตรกรควรทยอยขุดหัวมันออกมาขายเป็นระยะ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของโรงงานแปรรูป
2.รักษาระดับพื้นที่ปลูกแต่เน้นให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เกษตรกรไม่ควรจะขยายพันธุ์ที่ปลูกในฤดูต่อไป เนื่องจากอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องราคาตกต่ำ แต่ควรที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยการใช้พันธุ์ดี การปรับปรุงบำรุงดิน ฯลฯ เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้รายได้ของเกษตรกรสูงขึ้น
ในส่วนของรัฐบาลก็จะส่งเสริมโครงการส่งเสริมการใช้มันสำปะหลังในประเทศให้มากขึ้น รวมถึงขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพและตลาดใหม่ ๆ ให้มากขึ้นเช่นกัน
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 34 ประจำวันที่ 3-9 ก.ย. 2544--
-สส-
สถานการณ์การผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2544/45 จะมีพื้นที่ปลูก 7.907 ล้านไร่ เพิ่มขึ้นจาก 7.870 ล้านไร่ของปีก่อนร้อยละ 0.47 เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังบางรายที่ได้รับราคาต่ำปีที่ผ่านมาเปลี่ยนมาปลูกข้าวโพดแทน ผลผลิตได้ 4.445 ล้านตันเพิ่มขึ้นจาก 4.397 ล้านตันของปีก่อนร้อยละ 1.09 เนื่องจากพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นและข้าวโพดได้รับน้ำฝนเพียงพอต่อการเจริญเติบโต ประกอบกับเกษตรกรใช้ข้าวโพดลูกผสมซึ่งได้ผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้นจาก 559 กก./ไร่ ในปี 2543/44 เป็น 562 กก./ไร่ ในปี 2544/45 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.54
ขณะนี้เกษตรกรกำลังเก็บเกี่ยวข้าวโพดรุ่น 1 ซึ่งมิถุนายน-สิงหาคม 2544 มีการเก็บเกี่ยวไปแล้วร้อยละ 28.54 และจะเก็บเกี่ยวมากขึ้นในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2544 อีกร้อยละ 46.37 พื้นที่ที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวไปแล้ว ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี นครราชสีมา ชัยภูมิ เลย ลพบุรี สระบุรี เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี พิษณุโลก ตาก กำแพงเพชร ข้าวโพดรุ่น 2 ปลูกหลังจากเก็บเกี่ยวรุ่น 1 แล้ว และคาดว่าจะเริ่มเก็บเกี่ยวในเดือนพฤศจิกายน
จากสถานการณ์การผลิตในปีนี้คาดว่าผลผลิตมีเพียงพอกับความต้องการใช้ ซึ่งมีประมาณ 4.00-4.30 ล้านตัน ราคาข้าวโพดที่เกษตรกรขายได้ปัจจุบันเดือนกันยายนเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.82 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 3.98 บาท ของเดือนก่อนร้อยละ 4.02 และคาดว่าราคาเดือนต่อไปจะลดลงอีก เนื่องจากเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น และจากการที่เกษตรกรบางราย เช่น จังหวัดสระแก้ว น่าน พะเยา เชียงราย ได้เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือเรื่องราคาตกต่ำนั้น คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรได้มีมติเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2544 ให้แทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2544/45 ดังนี้
1) รับจำนำข้าวโพดจากเกษตรกรจำนวน 650,000 ตันฝัก หรือประมาณ 500,000 ตันเมล็ด โดยที่ความชื้นของฝักหรือเมล็ดไม่เกิน 30% โดยให้ ธกส. อคส. อ.ต.ก. เป็นผู้ดำเนินการรับจำนำ
2) ราคารับจำนำข้าวโพดฝักความชื้น 25.1 — 30% ราคา 2.50 บาท/กก. และข้าวโพดเมล็ดความชื้น 25.1-30% ราคา 3.39 บาท/กก. ซึ่งราคาข้าวโพดฝักจะเปลี่ยนแปลงตามราคาตลาดระหว่าง 2.50-2.65 บาท/กก. โดยอยู่ในความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอัตราแปรสภาพ (ความชื้น 30-25.1%) ข้าวโพดฝัก : ข้าวโพดเมล็ดเท่ากับ 1 : 0.76
3) ระยะเวลารับจำนำ กย.-พย. 2544 ไถ่ถอนภายใน 2 เดือนนับถัดจากที่รับจำนำ
4) ระยะเวลาโครงการ กย.2544 - กพ.2545
5) ให้คณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด กำกับดูแลการรับจำนำข้าวโพดฝักหรือเมล็ดจากเกษตรกร และประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและผู้เกี่ยวข้องทราบเรื่องการกำหนดราคารับจำนำตามระดับความชื้นและจุดที่เกษตรกรจะนำข้าวโพดไปจำนำ
6) ให้ อคส. และ กรมการค้าต่างประเทศ ส่งออกข้าวโพดที่รับจำนำไปต่างประเทศ โดยแต่งตั้งคณะกรรมการระบายข้าวโพด ซึ่งประกอบด้วยอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีกรมการค้าภายใน ผู้แทน อคส. กำหนดปริมาณและราคาที่จะระบายส่งออก
7) ประมาณการค่าใช้จ่าย วงเงิน 241.35 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ ธกส. ร้อยละ 5 ต่อปี ค่าสี ค่าอบ รับฝากเก็บ ค่าใช้จ่ายดำเนินการ อคส. อ.ต.ก. เป็นต้น ซึ่งต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ค่าใช้จ่ายนี้จะได้รับคืนเมื่อมีการจำหน่ายข้าวโพดที่รับจำนำแล้วยกเว้นค่าดอกเบี้ย ธกส.
มันสำปะหลัง : คาดว่า ปี 2545 ราคามันสำปะหลังจะสดใส
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้ติดตามสถานการณ์มันสำปะหลัง ปี 2545 (ตุลาคม 2544-กันยายน 2545) คาดว่า ราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้อยู่ในเกณฑ์ดี คือ ประมาณกิโลกรัมละ 0.90-1.00 บาท เนื่องจากมีปัจจัยที่สนับสนุนหลายประการดังนี้
1. ผลผลิตพืชในประเทศต่างๆ ลดลง
1) ผลผลิตของประเทศคู่ค้า คาดว่า ผลผลิตธัญพืชของสหภาพยุโรปมีแนวโน้ม ลดลงจาก 213 ล้านตัน ในปี 2543/44 เหลือเพียง 206 ล้านตันในปี 2544/45 หรือลดลงร้อยละ 3.40 นอกจากนี้ จีนซึ่งเป็นประเทศนำเข้าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่สำคัญอันดับ 2 รองจากสหภาพยุโรป แม้ว่าในปีหน้านี้ผลผลิตข้าวโพดจะมีปริมาณมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่คาดว่าคงไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ
2) ผลผลิตข้าวโพดของสหรัฐอเมริกา คาดว่า ผลผลิตมีแนวโน้มลดลงจาก 253 ล้านตันในปี 2543/44 เหลือเพียง 235 ล้านตันในปี 2544/45 หรือลดลงร้อยละ 7.66
3) ผลผลิตมันสำปะหลังของไทย คาดว่า ผลผลิตมีแนวโน้มลดลงจาก 18.26 ล้านตันในปี 2544 เหลือเพียง 17.80 ล้านตันในปี 2545 หรือลดลงร้อยละ 2.58 เนื่องจากในปีที่ผ่านมาราคาไม่จูงใจ เกษตรกรจึงหันไปปลูกพืชอื่นทดแทน
2 สต็อกมันสำปะหลัง
สต็อกมันสำปะหลังของไทยคงเหลือในปี 2544 มีปริมาณน้อยมากอันจะส่งผลให้อุปทานในเดือนตุลาคม 2544 ซึ่งเป็นต้นปีการค้า 2545 มีปริมาณน้อยกว่าทุก ๆ ปีที่ผ่านมา
3 ราคาซื้อขายล่วงหน้ามันอัดเม็ดในตลาดรอตเตอร์ดัม
ราคาซื้อขายล่วงหน้ามันอัดเม็ดในตลาดรอตเตอร์ดัมส่งมอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2544 เฉลี่ยประมาณ 190 ดอยซ์มาร์ค เมื่อเทียบกับ 165 ดอยซ์มาร์ค ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลให้ราคาส่งออก เอฟ.โอ.บี มันอัดเม็ดในรูปเงินบาทเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อเนื่องทำให้ราคาหัวมันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้น
4. ความต้องการ
คาดว่า ความต้องการใช้มันสำปะหลังภายในประเทศทั้งเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์และแป้งมันในอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพิ่มขึ้น และความต้องการส่งออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมันเส้นเพื่อส่งไปตลาดจีนยังคงมีปริมาณมาก
จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น น่าจะเป็นปีที่สดใสของเกษตรกรผู้ปลูกมัน-สำปะหลัง
ข้อเสนอแนะ
เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่องตลอดทั้งปีและมีความยั่งยืนตลอดไปนั้น จึงใคร่ขอแนะนำเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังดังนี้
1.ชะลอการเก็บเกี่ยวหัวมันสำปะหลังสด หากเกษตรกรยังคงเร่งขุดหัวมันสำปะหลังในเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ถึงร้อยละ 65 เช่นที่ผ่านมารวมทั้งขุดหัวมันอ่อนอาจส่งผลกระทบต่อราคาหัวมันสำปะหลังที่เกษตรกรขายได้ ดังนั้น เกษตรกรควรทยอยขุดหัวมันออกมาขายเป็นระยะ ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของโรงงานแปรรูป
2.รักษาระดับพื้นที่ปลูกแต่เน้นให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เกษตรกรไม่ควรจะขยายพันธุ์ที่ปลูกในฤดูต่อไป เนื่องจากอาจจะก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องราคาตกต่ำ แต่ควรที่จะปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยการใช้พันธุ์ดี การปรับปรุงบำรุงดิน ฯลฯ เพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้รายได้ของเกษตรกรสูงขึ้น
ในส่วนของรัฐบาลก็จะส่งเสริมโครงการส่งเสริมการใช้มันสำปะหลังในประเทศให้มากขึ้น รวมถึงขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดที่มีศักยภาพและตลาดใหม่ ๆ ให้มากขึ้นเช่นกัน
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 34 ประจำวันที่ 3-9 ก.ย. 2544--
-สส-