1. ข้อเท็จจริง
การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างเม็กซิโกกับสหภาพยุโรป ซึ่งมีการลงนามเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2543 และเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 อันเป็นความตกลงจัดทำเขตการค้าเสรีครั้งแรกในประวัติศาสตร์ระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกา ซึ่งจะมีผลสำคัญต่อการค้าของโลก เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงการค้าเสรีระหว่างประเทศในกลุ่ม NAFTA (3 ประเทศ)
กับสหภาพยุโรป (15 ประเทศ) โดยความตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากความต้องการและการผลักดันอย่างมากของสหภาพยุโรป
การเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างเม็กซิโกและสหภาพยุโรป มีการเจรจารวม 9 รอบ ใช้เวลาในการเจรจาและสรุปผลได้ภายในเวลา 1 ปีเศษ (9 พ.ย.2541-24 พ.ย.2542) ซึ่งน้อยกว่าเวลาที่ใช้ในการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือถึง 6 เดือน
ขอบเขต/กำหนดการเปิดเสรี
1) สินค้าอุตสาหกรรม เม็กซิโก สหภาพยุโรป
47%* เปิดเสรีในปี 2000(1 ก.ค.) 82% เปิดเสรีในปี 2000(1 ก.ค.)
5% เปิดเสรีในปี 2003 13% เปิดเสรีในปี 2003
48% เปิดเสรีในปี 2005-2007
2) สินค้าเกษตรและประมง
สินค้าเกษตรที่จะเปิดเสรีทันทีมีสัดส่วนร้อยละ 62 ของมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรทั้งหมด (คิดเป็นร้อยละ 7 ของมูลค่าการค้าสองฝ่าย) โดยสินค้าอ่อนไหวบางรายการจะมีการเปิดเสรีภายในระยะเวลา 10 ปี สำหรับสินค้าธัญพืช เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม ยังไม่ได้มีการนำมารวมในรายการลดภาษี แต่กำหนดให้มีการทบทวนภายใน 3 ปี
สินค้าเกษตรที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญ ได้แก่ ไวน์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำมันมะกอก ซึ่งจะได้รับประโยชน์ในทันที เช่นเดียวกับเม็กซิโกที่จะได้รับประโยชน์จากการส่งออกสินค้าเกษตรที่ส่งออกเป็นหลัก คือ น้ำส้มคั้น ผลอโวคาโด และดอกไม้ เป็นต้น
สำหรับสินค้าประมงจะมีการเปิดเสรีประมาณร้อยละ 99 ของการค้าปัจจุบัน ยกเว้นสินค้าอ่อนไหวบางรายการ เช่น ทูน่าซึ่งเป็นสินค้าอ่อนไหวของสหภาพยุโรป
3) การค้าบริการ
การค้าบริการจะเปิดเสรีภายในระยะเวลา 10 ปี และจะครอบคลุมบริการทุกสาขา ได้แก่ การบริการทางการเงิน โทรคมนาคม การกระจายสินค้า พลังงาน ท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม ยกเว้น 3 สาขา คือ Audio-visual Services, Maritime Cabotage และการขนส่งทางอากาศ
4) การลงทุน
การเปิดเสรีการลงทุนจะเริ่มขึ้นในอีก 3 ปี ในขณะที่ related payments จะค่อย ๆ เปิดเสรีเมื่อความตกลงมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ ในส่วนของ Public Procurement สหภาพยุโรปจะได้รับสิทธิที่จะเข้าไปดำเนินการเท่าเทียมกับสมาชิก NAFTA ซึ่งจะครอบคลุม ทั้งสาขาปิโตรเคมี ไฟฟ้า และก่อสร้าง ในส่วนของ เม็กซิโกจะได้รับสิทธิพิเศษตามที่สหภาพยุโรปได้ให้แก่ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหภาพยุโรปตามกฎของ WTO เช่นกัน
5) กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า
สหภาพยุโรปยืนยันให้ใช้กฎแหล่งกำเนิดสินค้าของสหภาพยุโรป คือ จะต้องใช้วัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดอย่างต่ำร้อยละ 60 ในสินค้าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ในขณะที่เม็กซิโกขอยกเว้นชั่วคราวโดยใช้กฎแหล่งกำเนิดสินค้าร้อยละ 40 (ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน) ในสาขารถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และสิ่งทอ จนกว่าจะสามารถปรับไปใช้กฎแหล่งกำเนิดของสหภาพยุโรปได้
2. ข้อวิเคราะห์
2.1 ผลทางการค้าต่อสหภาพยุโรปและเม็กซิโก
ปัจจุบันที่เม็กซิโกเป็นประเทศคู่ค้ารายย่อยของสหภาพยุโรป โดยในปี 1998 เม็กซิโกเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 21 ของสหภาพยุโรป และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 34 ของสหภาพยุโรป ซึ่งการค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับเม็กซิโกในทศวรรษที่ 1990 ชะลอตัวลง โดยส่วนแบ่งตลาดของสหภาพยุโรปในเม็กซิโกลดลงจากร้อยละ 11 ของมูลค่าการนำเข้าของเม็กซิโก ในปี 1990 (2533) เหลือเพียงร้อยละ 6 ในปี 1998 (2541) เนื่องจากเม็กซิโกหันมานำเข้าจากสหรัฐอเมริกาที่เป็นสมาชิก NAFTA
การจัดทำเขตการค้าเสรีจะทำให้การค้าระหว่างเม็กซิโกกับสหภาพยุโรปขยายตัวดังนี้
- การค้าระหว่างเม็กซิโกกับสหภาพยุโรปจะเพิ่มขึ้น เขตการค้าเสรีจะทำให้สัดส่วนการค้าของสหภาพยุโรปในตลาดเม็กซิโกเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าในระยะสั้นและระยะปานกลางจะเพิ่มขึ้นไม่มากกว่าที่เคยเป็นในปี 1980 แต่ในระยะยาวการลงทุนจากต่างประเทศหรือ FDI จากสหภาพยุโรปที่เพิ่มจะเป็นตัวเร่งให้การค้าระหว่างเม็กซิโกและสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น
- ภาคเอกชนของสหภาพยุโรปที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ อาจย้ายฐานไปผลิตที่เม็กซิโกเพื่อใช้วัตถุดิบหรือนำเข้าวัตถุดิบจากสหภาพยุโรปในอัตราภาษีที่เป็นศูนย์ และค่าแรงที่ต่ำและส่งไปขายในตลาดสหรัฐฯ
- เม็กซิโกจะเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนในกรณีที่ภาคเอกชนของสหภาพยุโรปที่ไปลงทุนในสหรัฐฯ อยู่แล้ว จะย้ายฐานไปผลิตในเม็กซิโกซึ่งมีค่าแรงที่ต่ำกว่า และได้เปรียบในแง่ที่สามารถส่งออกสินค้าโดยไม่ต้องเสียภาษีไปใน 23 ตลาดสำคัญ ในอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ สหภาพยุโรปและตะวันออกกลาง ซึ่งจะทำให้เม็กซิโกมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบมากที่สุดประเทศหนึ่ง
- เม็กซิโกอาจเสียเปรียบดุลการค้า (trade deficit) กับสหภาพยุโรปในช่วงแรก แต่ในระยะปานกลางเม็กซิโกจะขยายการค้าไปในตลาดสหภาพยุโรปและลดการเสียดุลการค้าได้
- เขตการค้าเสรีนี้จะขยายโอกาสทางการค้าระหว่างกันของบริษัททั้งของเม็กซิโกและสหภาพยุโรปโดยเฉพาะในสาขา รถยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ White goods และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้เกิดการค้าระหว่างกันมากยิ่งขึ้น
2.2 ผลกระทบต่อไทย
(1) ตลาดสหภาพยุโรป
ทั้งไทยและเม็กซิโกต่างเป็นประเทศคู่ค้าที่มีความสำคัญอันดับรองของสหภาพยุโรปในปี 1999 ( 2542 )ไทยเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 18 มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 0.5 ขณะที่เม็กซิโกเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 34 มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 0.2
ไทย สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปสหภาพยุโรปประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์บรรทุก (ส่วนใหญ่เป็นรถแวนหรือรถปิกอัพ) เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องประดับอัญมณี แผงวงจรไฟฟ้า ยางธรรมชาติ เครื่องรับโทรทัศน์และส่วนประกอบและผลไม้แปรรูป สินค้าดังกล่าวส่วนใหญ่จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะเป็นสินค้าที่เม็กซิโกยังไม่มีศักยภาพการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรป โดยเม็กซิโกมีส่วนแบ่งตลาดเพียงร้อยละ 0.1-1 เท่านั้น
เม็กซิโก สินค้าสำคัญที่เม็กซิโกส่งออกไปสหภาพยุโรป ประกอบด้วย น้ำมันปิโตรเลียมยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุปกรณ์ไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าดังกล่าวแม้จะมีส่วนแบ่งตลาดไม่มากนัก แต่จากข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและเม็กซิโก สหภาพยุโรปจะลดภาษีสินค้าทั้งหมดเหลือร้อยละ 0 ให้กับเม็กซิโกภายในปี 2003 จะเป็นผลให้สินค้าดังกล่าวรวมทั้งสินค้าอื่น ๆ ของเม็กซิโกมีศักยภาพการแข่งขันดีขึ้นในสหภาพยุโรป ได้แก่ ชิ้นส่วน ส่วนประกอบยานยนต์ สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ในครัว ไม้ตัดดอก ผัก-ผลไม้สดและแปรรูป น้ำผลไม้ เช่น น้ำส้ม น้ำสับปะรด ซึ่งสินค้าต่าง ๆ เหล่านี้หลายรายการเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปสหภาพยุโรป แต่ไทยอาจเสียส่วนแบ่งตลาดสหภาพยุโรปให้เม็กซิโกได้ โดยเฉพาะผัก-ผลไม้สดและแปรรูป
จากการพิจารณาเปรียบเทียบรายการสินค้าสำคัญ 50 อันดับแรกที่ไทยและเม็กซิโกส่งไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรปแล้ว มีกลุ่มสินค้า (HS. 4 หลัก) ที่มีลักษณะการแข่งขันกันจำนวน 13 รายการ ดังนี้
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องจักร (HS. 8473)
- คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (HS. 8471)
- เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์และโทรเลข (HS. 8517)
- หม้อแปลงไฟฟ้าฯ (HS. 8504)
- ลวดและเคเบิลที่หุ้มฉนวน (HS. 8544)
- เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ (HS. 9403)
- แผงวงจรไฟฟ้า (HS. 8542)
- เครื่องรับสำหรับวิทยุโทรศัพท์ฯ (HS. 8527)
- ที่นั่งและส่วนประกอบ (HS. 9401)
- ของเล่น (HS. 9503)
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องเล่นแผ่นเสียงและเทปคาสเซ็ต (HS. 8522)
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องรับเครื่องส่งวิทยุ (HS. 8529)
- ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ (HS. 8541)
สินค้าทั้ง 13 รายการดังกล่าว ในปี 1999 ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปสหภาพยุโรป 2,873.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 29.2 ของมูลค่าการค้าของไทยทั้งหมดกับสหภาพยุโรป และคิดเป็นร้อยละ 4.9 ของมูลค่าการค้าของไทยทั้งหมด โดยสินค้าที่ไทยมีสัดส่วนพึ่งพาสหภาพยุโรปมาก ได้แก่ เครื่องรับสำหรับวิทยุโทรศัพท์ฯ (ร้อยละ 37.2) ของเล่น (ร้อยละ 31.1) คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ร้อยละ 25.2) และแผงวงจรไฟฟ้า (ร้อยละ 19.7)
สินค้าทั้ง 13 รายการจะเป็นสินค้าที่ไทยอาจได้รับผลกระทบ เพราะเป็นสินค้าที่เม็กซิโกจะมีความได้เปรียบในเรื่องอัตราภาษีตามข้อตกลงฯ นอกจากนั้นยังมีสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปอีก คือ รองเท้า เครื่องหนัง พลาสติกและผลิตภัณฑ์ และเสื้อผ้า
สำเร็จรูป
(2) ตลาดเม็กซิโก
เม็กซิโกนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกามากเป็นอันดับ 1 รองลงไปได้แก่ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น แคนาดา และเกาหลีใต้ สำหรับไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 14 ของเม็กซิโก ในระยะ 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) ของปี 1999 สหรัฐอเมริกามีส่วนแบ่งตลาดสินค้าทั้งหมดร้อยละ 74.3 สหภาพยุโรป ร้อยละ 9.1 ส่วนไทยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 0.3 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยจะมีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างน้อยในเม็กซิโก แต่มูลค่าส่งออกของไทยไปยังตลาดแห่งนี้มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 69.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 1996 เป็น 286.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 1999 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัวในช่วง 4 ปีทีผ่านมา
จากการพิจารณาเปรียบเทียบรายการสินค้าสำคัญ 50 อันดับแรก ที่ไทยและสหภาพยุโรปส่งไปจำหน่ายยังเม็กซิโก พบว่ามีกลุ่มสินค้า (HS. 4 หลัก) ที่มีลักษณะการแข่งขันกันจำนวน 10 รายการ ดังนี้
- คอมพิวเตอร์ (HS. 8471)
- เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์ฯ (HS. 8517)
- แผงวงจรไฟฟ้า (HS. 8542)
- มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (HS. 8501)
- ลวดและเคเบิลที่หุ้มฉนวน (HS. 8544)
- หม้อแปลงไฟฟ้า ฯ (HS. 8504)
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องรับเครื่องส่งวิทยุ (HS. 8529)
- เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับตัดต่อ (HS. 8536)
- เครื่องส่งสำหรับวิทยุโทรศัพท์ฯ (HS. 8525)
- ของอื่น ๆ ทำด้วยพลาสติก (HS. 3926)
สินค้าทั้ง 10 รายการดังกล่าวในปี 1999 ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปเม็กซิโก 68.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 24.1 ของมูลค่าการค้าของไทยทั้งหมดกับเม็กซิโก และคิดเป็นร้อยละ 0.1 ของมูลค่าการค้าของไทยทั้งหมด โดยสินค้าดังกล่าวมีการพึ่งพาตลาดเม็กซิโกไม่มากนัก มีสัดส่วนอยู่ระหว่างร้อยละ 1-8 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การทำเขตการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและเม็กซิโก ทำให้เม็กซิโกซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกความตกลง ITA ปรับลดภาษีนำเข้าและเปิดตลาดสินค้าดังกล่าว (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่อยู่ในความตกลง ITA) ให้แก่สหภาพยุโรป ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้ของไทยไปยังเม็กซิโกที่เคยมีแนวโน้มค่อนข้างดีอาจชะลอตัวลง และไม่สามารถขยายตลาดในเม็กซิโกได้ในอนาคต
* ของรายการสินค้านำเข้ามาลด
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (662)2826171-9 แฟกซ์ (662)280-0775--
-สส-
การจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างเม็กซิโกกับสหภาพยุโรป ซึ่งมีการลงนามเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2543 และเริ่มมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2543 อันเป็นความตกลงจัดทำเขตการค้าเสรีครั้งแรกในประวัติศาสตร์ระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกา ซึ่งจะมีผลสำคัญต่อการค้าของโลก เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่มีการเชื่อมโยงการค้าเสรีระหว่างประเทศในกลุ่ม NAFTA (3 ประเทศ)
กับสหภาพยุโรป (15 ประเทศ) โดยความตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นจากความต้องการและการผลักดันอย่างมากของสหภาพยุโรป
การเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีระหว่างเม็กซิโกและสหภาพยุโรป มีการเจรจารวม 9 รอบ ใช้เวลาในการเจรจาและสรุปผลได้ภายในเวลา 1 ปีเศษ (9 พ.ย.2541-24 พ.ย.2542) ซึ่งน้อยกว่าเวลาที่ใช้ในการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือถึง 6 เดือน
ขอบเขต/กำหนดการเปิดเสรี
1) สินค้าอุตสาหกรรม เม็กซิโก สหภาพยุโรป
47%* เปิดเสรีในปี 2000(1 ก.ค.) 82% เปิดเสรีในปี 2000(1 ก.ค.)
5% เปิดเสรีในปี 2003 13% เปิดเสรีในปี 2003
48% เปิดเสรีในปี 2005-2007
2) สินค้าเกษตรและประมง
สินค้าเกษตรที่จะเปิดเสรีทันทีมีสัดส่วนร้อยละ 62 ของมูลค่าการค้าสินค้าเกษตรทั้งหมด (คิดเป็นร้อยละ 7 ของมูลค่าการค้าสองฝ่าย) โดยสินค้าอ่อนไหวบางรายการจะมีการเปิดเสรีภายในระยะเวลา 10 ปี สำหรับสินค้าธัญพืช เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม ยังไม่ได้มีการนำมารวมในรายการลดภาษี แต่กำหนดให้มีการทบทวนภายใน 3 ปี
สินค้าเกษตรที่สหภาพยุโรปให้ความสำคัญ ได้แก่ ไวน์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำมันมะกอก ซึ่งจะได้รับประโยชน์ในทันที เช่นเดียวกับเม็กซิโกที่จะได้รับประโยชน์จากการส่งออกสินค้าเกษตรที่ส่งออกเป็นหลัก คือ น้ำส้มคั้น ผลอโวคาโด และดอกไม้ เป็นต้น
สำหรับสินค้าประมงจะมีการเปิดเสรีประมาณร้อยละ 99 ของการค้าปัจจุบัน ยกเว้นสินค้าอ่อนไหวบางรายการ เช่น ทูน่าซึ่งเป็นสินค้าอ่อนไหวของสหภาพยุโรป
3) การค้าบริการ
การค้าบริการจะเปิดเสรีภายในระยะเวลา 10 ปี และจะครอบคลุมบริการทุกสาขา ได้แก่ การบริการทางการเงิน โทรคมนาคม การกระจายสินค้า พลังงาน ท่องเที่ยวและสิ่งแวดล้อม ยกเว้น 3 สาขา คือ Audio-visual Services, Maritime Cabotage และการขนส่งทางอากาศ
4) การลงทุน
การเปิดเสรีการลงทุนจะเริ่มขึ้นในอีก 3 ปี ในขณะที่ related payments จะค่อย ๆ เปิดเสรีเมื่อความตกลงมีผลบังคับใช้
ทั้งนี้ ในส่วนของ Public Procurement สหภาพยุโรปจะได้รับสิทธิที่จะเข้าไปดำเนินการเท่าเทียมกับสมาชิก NAFTA ซึ่งจะครอบคลุม ทั้งสาขาปิโตรเคมี ไฟฟ้า และก่อสร้าง ในส่วนของ เม็กซิโกจะได้รับสิทธิพิเศษตามที่สหภาพยุโรปได้ให้แก่ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหภาพยุโรปตามกฎของ WTO เช่นกัน
5) กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า
สหภาพยุโรปยืนยันให้ใช้กฎแหล่งกำเนิดสินค้าของสหภาพยุโรป คือ จะต้องใช้วัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดอย่างต่ำร้อยละ 60 ในสินค้าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ ในขณะที่เม็กซิโกขอยกเว้นชั่วคราวโดยใช้กฎแหล่งกำเนิดสินค้าร้อยละ 40 (ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบัน) ในสาขารถยนต์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และสิ่งทอ จนกว่าจะสามารถปรับไปใช้กฎแหล่งกำเนิดของสหภาพยุโรปได้
2. ข้อวิเคราะห์
2.1 ผลทางการค้าต่อสหภาพยุโรปและเม็กซิโก
ปัจจุบันที่เม็กซิโกเป็นประเทศคู่ค้ารายย่อยของสหภาพยุโรป โดยในปี 1998 เม็กซิโกเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 21 ของสหภาพยุโรป และเป็นแหล่งนำเข้าอันดับที่ 34 ของสหภาพยุโรป ซึ่งการค้าระหว่างสหภาพยุโรปกับเม็กซิโกในทศวรรษที่ 1990 ชะลอตัวลง โดยส่วนแบ่งตลาดของสหภาพยุโรปในเม็กซิโกลดลงจากร้อยละ 11 ของมูลค่าการนำเข้าของเม็กซิโก ในปี 1990 (2533) เหลือเพียงร้อยละ 6 ในปี 1998 (2541) เนื่องจากเม็กซิโกหันมานำเข้าจากสหรัฐอเมริกาที่เป็นสมาชิก NAFTA
การจัดทำเขตการค้าเสรีจะทำให้การค้าระหว่างเม็กซิโกกับสหภาพยุโรปขยายตัวดังนี้
- การค้าระหว่างเม็กซิโกกับสหภาพยุโรปจะเพิ่มขึ้น เขตการค้าเสรีจะทำให้สัดส่วนการค้าของสหภาพยุโรปในตลาดเม็กซิโกเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าในระยะสั้นและระยะปานกลางจะเพิ่มขึ้นไม่มากกว่าที่เคยเป็นในปี 1980 แต่ในระยะยาวการลงทุนจากต่างประเทศหรือ FDI จากสหภาพยุโรปที่เพิ่มจะเป็นตัวเร่งให้การค้าระหว่างเม็กซิโกและสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น
- ภาคเอกชนของสหภาพยุโรปที่ส่งออกสินค้าไปตลาดสหรัฐฯ อาจย้ายฐานไปผลิตที่เม็กซิโกเพื่อใช้วัตถุดิบหรือนำเข้าวัตถุดิบจากสหภาพยุโรปในอัตราภาษีที่เป็นศูนย์ และค่าแรงที่ต่ำและส่งไปขายในตลาดสหรัฐฯ
- เม็กซิโกจะเป็นแหล่งดึงดูดการลงทุนในกรณีที่ภาคเอกชนของสหภาพยุโรปที่ไปลงทุนในสหรัฐฯ อยู่แล้ว จะย้ายฐานไปผลิตในเม็กซิโกซึ่งมีค่าแรงที่ต่ำกว่า และได้เปรียบในแง่ที่สามารถส่งออกสินค้าโดยไม่ต้องเสียภาษีไปใน 23 ตลาดสำคัญ ในอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ สหภาพยุโรปและตะวันออกกลาง ซึ่งจะทำให้เม็กซิโกมีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบมากที่สุดประเทศหนึ่ง
- เม็กซิโกอาจเสียเปรียบดุลการค้า (trade deficit) กับสหภาพยุโรปในช่วงแรก แต่ในระยะปานกลางเม็กซิโกจะขยายการค้าไปในตลาดสหภาพยุโรปและลดการเสียดุลการค้าได้
- เขตการค้าเสรีนี้จะขยายโอกาสทางการค้าระหว่างกันของบริษัททั้งของเม็กซิโกและสหภาพยุโรปโดยเฉพาะในสาขา รถยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ White goods และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะทำให้เกิดการค้าระหว่างกันมากยิ่งขึ้น
2.2 ผลกระทบต่อไทย
(1) ตลาดสหภาพยุโรป
ทั้งไทยและเม็กซิโกต่างเป็นประเทศคู่ค้าที่มีความสำคัญอันดับรองของสหภาพยุโรปในปี 1999 ( 2542 )ไทยเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 18 มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 0.5 ขณะที่เม็กซิโกเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 34 มีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 0.2
ไทย สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออกไปสหภาพยุโรปประกอบด้วย คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์บรรทุก (ส่วนใหญ่เป็นรถแวนหรือรถปิกอัพ) เครื่องปรับอากาศ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เครื่องประดับอัญมณี แผงวงจรไฟฟ้า ยางธรรมชาติ เครื่องรับโทรทัศน์และส่วนประกอบและผลไม้แปรรูป สินค้าดังกล่าวส่วนใหญ่จะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะเป็นสินค้าที่เม็กซิโกยังไม่มีศักยภาพการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรป โดยเม็กซิโกมีส่วนแบ่งตลาดเพียงร้อยละ 0.1-1 เท่านั้น
เม็กซิโก สินค้าสำคัญที่เม็กซิโกส่งออกไปสหภาพยุโรป ประกอบด้วย น้ำมันปิโตรเลียมยานยนต์ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ อุปกรณ์ไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น สินค้าดังกล่าวแม้จะมีส่วนแบ่งตลาดไม่มากนัก แต่จากข้อตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและเม็กซิโก สหภาพยุโรปจะลดภาษีสินค้าทั้งหมดเหลือร้อยละ 0 ให้กับเม็กซิโกภายในปี 2003 จะเป็นผลให้สินค้าดังกล่าวรวมทั้งสินค้าอื่น ๆ ของเม็กซิโกมีศักยภาพการแข่งขันดีขึ้นในสหภาพยุโรป ได้แก่ ชิ้นส่วน ส่วนประกอบยานยนต์ สิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูป อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ในครัว ไม้ตัดดอก ผัก-ผลไม้สดและแปรรูป น้ำผลไม้ เช่น น้ำส้ม น้ำสับปะรด ซึ่งสินค้าต่าง ๆ เหล่านี้หลายรายการเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปสหภาพยุโรป แต่ไทยอาจเสียส่วนแบ่งตลาดสหภาพยุโรปให้เม็กซิโกได้ โดยเฉพาะผัก-ผลไม้สดและแปรรูป
จากการพิจารณาเปรียบเทียบรายการสินค้าสำคัญ 50 อันดับแรกที่ไทยและเม็กซิโกส่งไปจำหน่ายยังสหภาพยุโรปแล้ว มีกลุ่มสินค้า (HS. 4 หลัก) ที่มีลักษณะการแข่งขันกันจำนวน 13 รายการ ดังนี้
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องจักร (HS. 8473)
- คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (HS. 8471)
- เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์และโทรเลข (HS. 8517)
- หม้อแปลงไฟฟ้าฯ (HS. 8504)
- ลวดและเคเบิลที่หุ้มฉนวน (HS. 8544)
- เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ (HS. 9403)
- แผงวงจรไฟฟ้า (HS. 8542)
- เครื่องรับสำหรับวิทยุโทรศัพท์ฯ (HS. 8527)
- ที่นั่งและส่วนประกอบ (HS. 9401)
- ของเล่น (HS. 9503)
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องเล่นแผ่นเสียงและเทปคาสเซ็ต (HS. 8522)
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องรับเครื่องส่งวิทยุ (HS. 8529)
- ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และอุปกรณ์กึ่งตัวนำ (HS. 8541)
สินค้าทั้ง 13 รายการดังกล่าว ในปี 1999 ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปสหภาพยุโรป 2,873.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 29.2 ของมูลค่าการค้าของไทยทั้งหมดกับสหภาพยุโรป และคิดเป็นร้อยละ 4.9 ของมูลค่าการค้าของไทยทั้งหมด โดยสินค้าที่ไทยมีสัดส่วนพึ่งพาสหภาพยุโรปมาก ได้แก่ เครื่องรับสำหรับวิทยุโทรศัพท์ฯ (ร้อยละ 37.2) ของเล่น (ร้อยละ 31.1) คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (ร้อยละ 25.2) และแผงวงจรไฟฟ้า (ร้อยละ 19.7)
สินค้าทั้ง 13 รายการจะเป็นสินค้าที่ไทยอาจได้รับผลกระทบ เพราะเป็นสินค้าที่เม็กซิโกจะมีความได้เปรียบในเรื่องอัตราภาษีตามข้อตกลงฯ นอกจากนั้นยังมีสินค้าที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรปอีก คือ รองเท้า เครื่องหนัง พลาสติกและผลิตภัณฑ์ และเสื้อผ้า
สำเร็จรูป
(2) ตลาดเม็กซิโก
เม็กซิโกนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกามากเป็นอันดับ 1 รองลงไปได้แก่ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น แคนาดา และเกาหลีใต้ สำหรับไทยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 14 ของเม็กซิโก ในระยะ 11 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ย.) ของปี 1999 สหรัฐอเมริกามีส่วนแบ่งตลาดสินค้าทั้งหมดร้อยละ 74.3 สหภาพยุโรป ร้อยละ 9.1 ส่วนไทยมีส่วนแบ่งตลาดร้อยละ 0.3 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยจะมีส่วนแบ่งตลาดค่อนข้างน้อยในเม็กซิโก แต่มูลค่าส่งออกของไทยไปยังตลาดแห่งนี้มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จาก 69.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 1996 เป็น 286.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 1999 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัวในช่วง 4 ปีทีผ่านมา
จากการพิจารณาเปรียบเทียบรายการสินค้าสำคัญ 50 อันดับแรก ที่ไทยและสหภาพยุโรปส่งไปจำหน่ายยังเม็กซิโก พบว่ามีกลุ่มสินค้า (HS. 4 หลัก) ที่มีลักษณะการแข่งขันกันจำนวน 10 รายการ ดังนี้
- คอมพิวเตอร์ (HS. 8471)
- เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับโทรศัพท์ฯ (HS. 8517)
- แผงวงจรไฟฟ้า (HS. 8542)
- มอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (HS. 8501)
- ลวดและเคเบิลที่หุ้มฉนวน (HS. 8544)
- หม้อแปลงไฟฟ้า ฯ (HS. 8504)
- ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องรับเครื่องส่งวิทยุ (HS. 8529)
- เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับตัดต่อ (HS. 8536)
- เครื่องส่งสำหรับวิทยุโทรศัพท์ฯ (HS. 8525)
- ของอื่น ๆ ทำด้วยพลาสติก (HS. 3926)
สินค้าทั้ง 10 รายการดังกล่าวในปี 1999 ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปเม็กซิโก 68.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 24.1 ของมูลค่าการค้าของไทยทั้งหมดกับเม็กซิโก และคิดเป็นร้อยละ 0.1 ของมูลค่าการค้าของไทยทั้งหมด โดยสินค้าดังกล่าวมีการพึ่งพาตลาดเม็กซิโกไม่มากนัก มีสัดส่วนอยู่ระหว่างร้อยละ 1-8 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การทำเขตการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรปและเม็กซิโก ทำให้เม็กซิโกซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกความตกลง ITA ปรับลดภาษีนำเข้าและเปิดตลาดสินค้าดังกล่าว (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่อยู่ในความตกลง ITA) ให้แก่สหภาพยุโรป ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราการขยายตัวของการส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้ของไทยไปยังเม็กซิโกที่เคยมีแนวโน้มค่อนข้างดีอาจชะลอตัวลง และไม่สามารถขยายตลาดในเม็กซิโกได้ในอนาคต
* ของรายการสินค้านำเข้ามาลด
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (662)2826171-9 แฟกซ์ (662)280-0775--
-สส-