ข้าวเป็นอาหารหลักของชาวจีน ซึ่งมีจำนวนประชากรถึง 1.3 พันล้านคน ประเทศผู้ส่งออกข้าวต่างมุ่งหวังที่จะขยายการส่งออกสู่ตลาดจีน
ซึ่งจะต้องเปิดตลาดตามข้อผูกพันที่ตกลงไว้กับสมาชิก WTO โดยกำหนดปริมาณโควต้านำเข้าข้าวเป็น 2.66 ล้านตันในปีแรก และเพิ่มเป็น 5.32 ล้านตัน
ในระยะเวลา 5 ปี ปริมาณโควต้าที่จะเพิ่มสูงขึ้นมากนี้ ทำให้จีนเป็นตลาดข้าวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
1. ภาวะการผลิตและการตลาดของจีน
1.1 พื้นที่การเพาะปลูกข้าวของจีนส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำและในเขตชลประทานในช่วงปี 2538-39 ผลผลิตข้าวกว่าร้อยละ 93 มาจาก
เขตชลประทาน ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ได้แก่ มณฑลเสฉวน (Sichuan) เจียงซี (Jiangxi) กวางตุ้ง (Guandong) กวางสี (Guangxi)
ยูนาน (Yunan) ฟูเจี้ยน (Fujian) ไหหลำ (Hainan) และหูเป่ย (Hubei) ชนิดข้าวที่ปลูกเป็นพันธุ์ผสม (Hybrid)
ผลผลิตข้าวของจีนยังมีคุณภาพต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่มีการเพาะปลูกในแถบตอนใต้ของลุ่มน้ำแยงซีเกียง และแม้ว่าการเพาะปลูกข้าวของจีนได้ผลผลิต
ต่อไร่ต่ำจึงยังต้องมีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วย แต่จีนก็สามารถผลิตข้าวได้พอเพียงกับความต้องการสำหรับการบริโภคภายในประเทศ
รายงานผลผลิตประจำปีของ FAO (ปี 2544) ระบุว่า ในระยะปี 2538-2543 จีนสามารถผลิตข้าวได้เฉลี่ย 190.2 ล้านตันต่อปี
ปี 2544 คาดว่าจีนจะสามารถผลิตข้าวได้ประมาณ 190 ล้านตัน และมีความต้องการบริโภคในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งในปัจจุบันมิได้
มีการปะกันราคาขั้นต่ำของผลผลิตเกษตรนับตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา
1.2 ภาวะการตลาด
ข้าวหอมมะลิของไทยเป็นที่นิยมบริโภคในหมู่ชาวจีนที่มีรายได้ค่อนข้างสูง และราคาขายปลีกข้าวหอมมะลิในประเทศจีนค่อนข้างสูงกว่าข้าวชนิด
อื่นๆ จากรายงานของสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงปักกิ่ง (เมษายน 2544) ระบุว่าราคาขายปลีกข้าวหอมมะลิในกรุงปักกิ่งกิโลกรัมละ 35
หยวน (อัตราแลกเปลี่ย 1 เหรียญสหรัฐฯ เท่ากับ 8.27 หยวน) ขณะที่ข้าวที่จีนผลิตได้มีราคาเพียงกิโลกรัมละ 2.20 - 2.25 หยวน
ปัจจุบันจีนเป็นผู้ส่งออกข้าวเช่นกันแต่มีปริมาณไม่สูงมาก ขณะที่การนำเข้าข้าวของจีนส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อสนองความต้องการข้าวคุณภาพ
ดีที่ผลิตได้น้อย
ปี พ.ศ. 2539-2543 จีนมีความต้องการบริโภคข้าวโดยเฉลี่ยปีละ 190 ล้านตัน ในจำนวนนี้ร้อยละ 80 ใช้สำหรับการบริโภคโดยตรง
ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 20 ใช้ในการผลิตเป็นสินค้าแปรรูป ได้แก่ เหล้า เส้นหมี่ แป้งข้าวจ้าว และขนมขบเคี้ยว เป็นต้น
ชาวจีนซึ่งอาศัยอยู่ทางภาคใต้จะนิยมบริโภคข้าวประเภทเมล็ดยาว ในขณะที่ชาวจีนที่อาศัยในบริเวณภาคกลางและภาคเหนือจะนิยมข้าวประเภท
เมล็ดสั้น ซึ่งข้าวประเภทเมล็ดสั้นจะมีความเหนียวมากกว่าข้าวเมล็ดยาว อย่างไรก็ตาม จากการที่จีนมีการนำเข้าข้าวจากไทยซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าว
คุณภาพดีนั้น จะเริ่มเป็นที่นิยมบริโภคกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการบริการในภัตตาคารชั้นสูงหรือโรงแรมระดับ 5 ดาว
2. การนำเข้า
จีนนำเข้าข้าวชนิดต่างๆ ประกอบด้วยข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวกล้อง และปลายข้าว โดยในช่วงปี 2541-2544 จีนนำเข้าข้าวสารมากที่สุด
รองลงมาได้แก่ ปลายข้าวและข้าวกล้อง โดยมีปริมาณการนำเข้าดังนี้.-
ตารางที่ 1 : การนำเข้าข้าวของจีน ปี 2541-44 (มค. - มีค.)
หน่วย : เมตริกตัน
ชนิดของข้าว 2541 2542 2543 2544 (มค.-มีค.)
ข้าวสาร 233,957.7 166,924.5 238,377.5 83,942.2
ปลายข้าว 8,618.5 48.0 144.0 -
ข้าวกล้อง 1,238.7 762.2 41.2 18.0
ข้าวเปลือก 228.5 553.8 52.5 46.3
ข้าวสาร
จีนนำเข้าข้าวสารจากไทยเป็นส่วนใหญ่ และจากสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นสัดส่วนน้อยในช่วงปี
2541-44 จีนนำเข้าข้าวสารจากแหล่งต่างๆ ดังนี้.-
ตารางที่ 2 : แหล่งและปริมาณการนำเข้าข้าวสาร ปี 2541-44 (มค. - มีค.)
หน่วย : เมตริกตัน
ชนิดของข้าว 2541 2542 2543 2544 (มค.-มีค.)
1. ไทย 232,663.7 166,261.6 237,957.4 83,812.7
2. สหรัฐอเมริกา 537.8 600.6 264.2 107.7
3. ไต้หวัน 324.0 - 150.0 21.5
4. เนปาล 83.9 - 4.0 -
5. อื่น ๆ 348.3 62.3 1.9 0.3
รวม 233,957.7 166,924.5 238,377.5 83,942.2
ที่มา : World Trade Atlas (March 2001)
รัฐบาลจีนจัดสรรโควต้านำเข้าข้าวปีละ 2 ครั้ง โดยไม่มีการกำหนดช่วงระยะเวลาที่แน่นอน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการวางแผนพัฒนาแห่ง
ชาติจีน (State Development Planning Commission : SDPC) เป็นหน่วยงานจัดสรรโควต้านำเข้าให้กับผู้นำเข้าข้าวที่มีใบอนุญาตนำเข้าข้าว
สำหรับมณฑลต่างๆ
นอกจากจีนจะนำเข้าข้าวสารแล้ว และนำเข้าข้าวชนิดอื่นๆ อีก เช่น ข้าวกล้อง(จากไทย), ข้าวเปลือก(จากไทย, เวียดนาม และญี่ปุ่น)
และปลายข้าว(จากสหรัฐฯ)
ตารางที่ 3 : ปริมาณข้าวชนิดต่างๆ ที่จีนนำเข้าจากไทย ปี 2541-44 (มค.-มีค.)
หน่วย : เมตริกตัน
ชนิดของข้าว 2541 2542 2543 2544 (มค.-มีค.)
ข้าวสาร 232,663.7 166,261.6 237,957.4 83,812.7
ข้าวเปลือก 192.5 553.8 50.9 46.3
ข้าวกล้อง 1,238.7 762.0 41.3 18.0
ปลายข้าว 8,618.5 30.0 - -
ที่มา : World Trade Atlas (March 2001)
3. สรุปผลการเจรจาเรื่องข้าวของจีนกับประเทศสมาชิก WTO
3.1 พันธะกรณีของจีน
- จีนตกลงที่จะลดภาษีศุลกากรและขยายโควต้าการนำเข้าข้าว ดังนี้.-
ปี 2543 เป็นต้นไป ปี 2547
- เปลี่ยนแปลงระบบโควต้าเป็นระบบโควต้าภาษี - ใช้ระบบโควต้าภาษีต่อไป
- กำหนดโควต้าเริ่มต้น 2.66 ล้านตัน - ขยายโควต้าเป็น 5.32 ล้านตัน
- โควต้าข้าวเมล็ดยาว 1.33 ล้านตัน และเมล็ดสั้น 1.33 ล้านตัน - ภาษีนำเข้าในโควต้าร้อยละ 1.0
- ภาษีนำเข้าในโควต้าร้อยละ 1.0 - นำเข้าเกินโควต้าเก็บร้อยละ 10-65
- นำเข้าเกินโควต้าเก็บร้อยละ 40 - 80
ชนิดของข้าว ภาษีปี 2543 - 2547
ในโควต้า (ร้อยละ) นอกโควต้า (ร้อยละ)
- ข้าวเปลือก 1.0 65 - 80
- ข้าวกล้อง 1.0 65 - 80
- ข้าวสาร 1.0 65 - 80
- ปลายข้าว 1.0 10 - 40
การเจรจากับสหรัฐฯ : อัตราภาษีสินค้าเกษตร (รวมทั้งข้าว) ที่จีนตกลงไว้กับสหรัฐฯ จะลดเหลือร้อยละ 14.5 ในปี 2547
3.2 พันธะกรณีอื่นๆ
- การนำเข้า จีนเปลี่ยนแปลงจากระบบผูกขาดที่รัฐนำเข้าแต่ผู้เดียวเป็นการนำเข้าเสรี โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนนำเข้าข้าว
และผลิตภัณฑ์ข้าวได้ถึงร้อยละ 50 ของปริมาณโควต้าทั้งหมด
- โควต้า ขยายโควต้านำเข้าข้าวเป็น 2.66 ล้านตัน ในปีแรกที่จีนเข้า WTO และจะเพิ่มทุกปีจนถึงปีที่ 5 เป็น 5.32 ล้านตัน
4. ศักยภาพการแข่งขันของไทย
4.1 ลักษณะข้าวที่ไทยส่งออก
การส่งออกข้าวของไทยประกอบด้วย ข้าวคุณภาพสูง ข้าวคุณภาพปานกลาง และข้าวคุณภาพต่ำ โดยมีลักษณะจำเพาะดังนี้.-
- ข้าวคุณภาพสูงเป็นข้าวคุณภาพดี เป็นข้าวขาว 100% ไม่มีเมล็ดหักและข้าวขาว 5% ที่มีเมล็ดหักเพียงร้อยละ 5 ของปริมาณข้าว
ทั้งหมด
- ข้าวคุณภาพปานกลางเป็นข้าวขาว 10 - 15% และข้าวเหนียว
- ข้าวคุณภาพต่ำเป็นข้าวที่มีเมล็ดหักมากกว่า 20% ซึ่งรวมถึงปลายข้าวและข้าวนึ่งที่จัดอยู่ในข้าวกลุ่มนี้
ข้าวที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงที่สุด ได้แก่ ข้าวคุณภาพสูงมีสัดส่วนการส่งออกกว่าร้อยละ 60.0 นอกนั้นเป็นการส่งออกข้าวคุณภาพต่ำ
ร้อยละ 35 และข้าวคุณภาพปานกลางร้อยละ 5
สำหรับข้าวคุณภาพสูงที่มีการส่งออกมาก ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ (Hom Mali Rice) ซึ่งข้าวชนิดนี้มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึงร้อยละ
80 ของปริมาณการส่งออกข้าวคุณภาพสูงทั้งหมดของไทยและตลาดส่งออกข้าวคุณภาพสูง ได้แก่ จีน ฮ่องกง อิหร่าน สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์
ส่วนข้าวคุณภาพปานกลางมีตลาดสำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย แอฟริกาและมาเลเซีย ขณะที่การส่งออกข้าวคุณภาพต่ำได้แก่ ประเทศแถบแอฟริกาและตะวันออกลาง
4.2 การส่งออกข้าวหอมมะลิไปจีน
ในอดีตข้าวไทยส่งออกไปจีน ส่วนใหญ่เป็นข้าวคุณภาพต่ำ แต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาจีนนำเข้าข้าวชนิดนี้น้อยลงเพราะส่วนหนึ่งจีนผลิต
ได้เองมากขึ้น และอีกส่วนหนึ่งนำเข้าจากเวียดนาม เนื่องจากมีราคาถูกกว่า อย่างไรก็ตามจีนได้เพิ่มสัดส่วนการนำเข้าข้าวคุณภาพดีจากไทยเพิ่มขึ้น
ซึ่งได้แก่ข้าวหอมมะลิและมีการนำเข้าอย่างต่อเนื่องตลอดมาจนกลายเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ที่ไทยส่งออกข้าวสาร
ไปจีนเป็นการส่งออกข้าวหอมมะลิ
การส่งออกข้าวของไทยไปจีนในปี 2543 มีการส่งออกข้าวชนิดต่างๆ ประกอบด้วยข้าวสารเจ้า 100% มากที่สุด รองลงมาได้แก่
ชนิด 10% ปลายข้าวเจ้า A-! ชนิด 10% ปลายข้าวเจ้า A-! ชนิดพิเศษ, A-! ชนิดเลิศ ข้าวเหนียว 5% ข้าวสารเจ้า 5% และ 25% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม จีนกำหนดโควต้าการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยในปี 2542-2543 ในปริมาณไม่เกินปีละ 200,000 ตัน แต่ในปี 2543 มีการนำเข้าข้าว
เกินโควต้าที่กำหนดไว้และจีนตั้งภาษีนำเข้าส่วนเกินโควต้าร้อยละ 114.0
การส่งออกในปี 2544 (มกราคม - มิถุนายน) มีการส่งออกข้าวสารเจ้า 100% มีปริมาณ 71,584.6 ตัน มูลค่า 1,143.3
ล้านบาท รองลงมาได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 6,620.3 ตัน มูลค่า 117.1 ล้านบาท นอกนั้นเป็นการส่งออกข้าวเหนียวชนิด 10% มีปริมาณ 4,100.4 ตัน
มูลค่า 50.5 ล้านบาท โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิเดิมมีจัดอยู่ในกลุ่มข้าวขาว 100% และเริ่มแยกข้าวหอมมะลิออกมาเป็นพิกัดส่งออกต่างหากในปี 2544
ตารางที่ 4 : ปริมาณการส่งออกข้าวบางชนิดของไทยไปจีน
หน่วย : เมตริกตัน
ชนิดของข้าว 2542 2543 2543 (มค.-มิ.ย.) 2544 (มค.-มิย.) หมายเหตุ
ข้าวขาว 184,125.9 273,029.5 103,454.1 82,828.8 ข้าวหอมมะลิเริ่มมีการจำแนกออก
- 100% 177,840.9 268,080.6 102,863.9 71,584.6 จาก HS CODE ของข้าวขาว 100%
- หอมมะลิ - - - 6,620.3 ตั้งแต่ปี 2544
- 15% 2,000.0 - - 500.0
- ข้าวเหนียว 10% 3,851.7 4,410.4 590.2 4,100.4
- อื่น ๆ 433.3 538.5 - 23.5
ปลายข้าว 882.6 1,104.2 372.2 212.3
- A-1 ชนิดพิเศษ 420.7 885.8 263.8 159.1
- A-1 เลิศ 341.3 218.4 108.4 53.2
- อื่น ๆ 120.6 - - -
ข้าวกล้อง 4.4 5.5 1.5 4.7
- 100% 1.5 - 1.0 3.2
- 10% - - 0.5 8.0
- อื่น ๆ 2.9 - - 0.7
ที่มา : ศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจการค้า กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
4.3 ส่วนแบ่งตลาด
จากสถิติการนำเข้าของจีนที่นำเข้าข้าวจากประเทศต่างๆ ปรากฏว่าในจำนวนข้าวทั้ง 4 ชนิดที่จีนนำเข้าจากประเทศต่างๆ นั้น ไทย
เป็นประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดในจีนสูงที่สุด โดยเฉพาะข้าวสารไทยมีส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 99.6 ขณะที่สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ มีส่วนแบ่งตลาด
ไม่เกินร้อยละ 0.5 (ตารางที่ 5)
ตารางที่ 5 : ส่วนแบ่งตลาดข้าวในจีน
หน่วย : ร้อยละ
ชนิดของข้าว ส่วนแบ่งตลาด 2541-2543 (เฉลี่ย) 2544 (ม.ค.- มี.ค.)
ข้าวสาร 1). ไทย 99.6 99.8
2). สหรัฐอเมริกา 0.3 0.1
3). ไต้หวัน 0.1 0.1
4.4 คู่แข่งขัน ประเทศคู่แข่งขันของไทยที่มีการส่งออกข้าว ได้แก่ เวียดนาม สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน อินเดีย ซึ่งประเทศดังกล่าวมีการ
ผลิตข้าวตามลักษณะดังนี้.-
เวียดนาม ปริมาณผลผลิตส่วนใหญ่ร้อยละ 67 มาจากพื้นที่เขตชลประทานและอีกร้อยละ 25 มาจากที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงลักษณะของ
ข้าวที่ผลิตได้เป็นข้าวคุณภาพปานกลางถึงต่ำ ซึ่งประเทศที่ผลิตข้าวลักษณะนี้นอกจากเวียดนามแล้วยังมี อินเดีย ปากีสถาน พม่า เป็นต้น แต่เวียดนามเป็นผู้
ส่งออกรายใหญ่ของโลกเช่นเดียวกับไทย และกำลังพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่ปลูกเพื่อผลิตข้าวคุณภาพดี
สหรัฐฯ พื้นที่เพาะปลูกข้าวส่วนใหญ่อยู่ในรัฐ Ankansa, California, Louissiana, Missouari และ Texas ซึ่งสหรัฐฯ
เองยังสามารถผลิตข้าวชนิดเมล็ดยาวได้จำนวนมากจากรัฐ Ankansas, Louissiana และ Texas การผลิตข้าวของสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่มีการจัดการ
อย่างมีประสิทธิภาพจากการนำเครื่องจักรเข้ามาเป็นปัจจัยการผลิต
5. ข้อวิเคราะห์
5.1 การขยายโควต้าข้าวของจีนเป็น 2.66 ล้านตัน ในปีแรกที่จีนเข้าเป็นสมาชิก WTO และเป็น 5.32 ล้านตันในปี 2547 โดยมีโควต้า
การนำเข้าข้าวเมล็ดยาวและเมล็ดสั้นอย่างละครึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิก WTO อย่างทัดเทียมกันในการขยายตลาดส่งออกข้าวของตน
แต่ไทยมีศักยภาพในการขยายการส่งออกข้าวเมล็ดยาวเข้าสู่ตลาดจีนมากกว่าประเทศอื่นๆ เพราะปัจจุบันไทยส่งออกข้าวเมล็ดยาวคือข้าวหอมมะลิเป็นส่วน
ใหญ่และเป็นที่นิยมบริโภคของชาวจีน
5.2 ประเทศผู้ผลิตข้าวอื่นๆ เช่น เวียดนาม บังคลาเทศ พม่า อินเดีย มีการผลิตข้าวที่มีคุณภาพปานกลาง และคุณภาพต่ำ ซึ่งประเทศจีนสามรถ
ผลิตข้าวชนิดนี้ได้พอเพียงกับความต้องการและมีเหลือส่งออก โอกาสที่ประเทศดังกล่าวจะขยายการส่งออกไปจีนจึงมีน้อย ดังนั้น เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิก
WTO คู่แข่งสำคัญของไทยในจีน ได้แก่ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวเมล็ดยาวเช่นเดียวกับไทย และสามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังผลิตข้าวเมล็ดสั้นด้วย
ดังนั้น โอกาสที่สหรัฐฯ จะแบ่งโควต้านำเข้าข้าวเมล็ดสั้นและเมล็ดยาวจึงเป็นไปได้สูงกว่าประเทศอื่นๆ
5.3 โอกาสที่ไทยจะส่งข้าวออกไปจีนได้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง ได้แก่ การที่จีนเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถนำเข้าข้าวได้ถึงร้อยละ 50 ของ
ปริมาณโควต้าทั้งหมด จากเดิมที่ผูกขาดการนำเข้าโดยรัฐแต่ผู้เดียวนั้น น่าจะเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถส่งออกได้เพิ่ม นอกเหนือจากการจัดสรรโควต้า
ของจีนแต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของราคาและข้อตกลงระหว่างผู้ส่งออกของไทยและผู้นำเข้าภาคเอกชนของจีนด้วยเช่นกัน เพราะราคาขายข้าวหอมมะลิของไทย
ที่จำหน่ายในจีนมีราคาสูง เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวชนิดอื่นๆ ที่จำหน่ายในจีน ดังนั้น คาดว่าโอกาสที่ไทยจะส่งออกเกินโควต้าจึงมีไม่มากนักเพราะอัตราภาษี
แตกต่างกันมากจะมีผลต่อราคาข้าวหอมมะลิของไทยที่จำหน่ายในจีน
อัตราภาษี ปี 2543 (ร้อยละ) ปี 2547 (ร้อยละ
ในโควต้า 1.0 1.0
นอกโควต้า 40 - 80 10 - 65
6. ความเห็น
6.1 แม้จีนจะมีข้อผูกพันเพื่อเปิดตลาดข้าวของจีนหลังเข้าเป็นสมาชิก WTO ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ไทยสามารถขยายตลาดส่งออกข้าวไป
จีนได้ในปริมาณมากขึ้นก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติปัญหาเกี่ยวกับการจัดสรรและบริหารโควต้าข้าว (โดยสำนักงานคณะกรรมการวางแผนพัฒนาแห่งชาติ
หรือ State Development Planning Commission - SDPC) อาจทำให้การนำเข้าข้าวของจีนมีความล่าช้า โดยเฉพาะในปีที่จีนมีผลผลิตข้าวใน
ประเทศพอเพียงกับความต้องการ นอกจากนี้ จีนเองก็ได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตข้าว รวมทั้งสินค้าเกษตร
อื่นๆ จึงควรที่ไทยจะติดตามและสอดส่องการดำเนินการในทางปฏิบัติของจีนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นไปตามข้อผูกพัน
6.2 ในส่วนของประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลกที่เป็นคู่แข่งขันของไทย เช่น เวียดนามและสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาตามศักยภาพการผลิตแล้ว
พบว่าสหรัฐฯ สามารถผลิตข้าวเมล็ดยาวและเมล็ดสั้นได้มาก ซึ่งเป็นชนิดที่มีการแบ่งโควต้าข้าวอย่างละครึ่ง ( 50 : 50) สหรัฐฯ จึงเป็นคู่แข่งที่สำคัญ
ของไทยในตลาดข้าวจีน และน่าจะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าเมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการที่ทำให้มีต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ดี การที่
ข้าวหอมมะลิของไทยเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวจีนที่มีรายได้ดีนั้นเป็นข้อได้เปรียบของไทย เนื่องจากขณะนี้ชาวจีนซึ่งเป็นชนชั้นกลางและมีฐานะดีมีจำนวน
เพิ่มมากขึ้น ไทยจึงควรเร่งดำเนินการเพื่อแนะนำข้าวหอมมะลิให้เป็นที่รู้จักและนิยมในวงกว้าง โดยมุ่งขยายการส่งออกข้าวคุณภาพดีเมล็ดยาว (หอมมะลิ)
ให้เต็มโควต้า 1.33 ล้านตันในปีแรกที่จีนเข้า WTO และขยายต่อไปตามปริมาณโควต้าที่จะขยายถึง 2.66 ล้านตันในปี 2547 สำหรับข้าวเมล็ดยาวตาม
ข้อผูกพันของจีน
6.3 ประเทศไทยควรใช้นโยบายการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐด้วย เพื่อช่วงชิงโควต้าข้าวจากประเทศคู่แข่งขันซึ่งจะเป็นประโยชน์และเป็นผลดี
ต่อผู้ส่งออกข้าวของไทย เนื่องจากการส่งออกข้าวไปจีนในระยะที่ผ่านมา การเจรจาของภาครัฐมีส่วนช่วยให้จีนนำเข้าข้าวจากประเทศไทยมากกว่า
ประเทศอื่นๆ ดังนั้นภาครัฐจึงควรใช้นโยบายนี้อย่างต่อเนื่องสำหรับเจรจากับจีน
6.4 สำหรับประเทศเวียดนามยังอยุ่ในช่วงการพัฒนาข้าวเป็นพันธุ์ข้าวคุณภาพดี การส่งออกข้าวของเวียดนามไปจีน จึงยังเป็นข้าวคุณภาพต่ำ
และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อไทยในระยะสั้น แต่ในระยะยาว (4-5 ปี) เมื่อเวียดนามสามารถพัฒนาคุณภาพข้าวที่ปลูกเพื่อส่งออกได้สำเร็จ จากการร่วมทุน
การผลิตวิจัยกับนักลงทุนต่างชาติ เช่น สหรัฐฯ ฮ่องกง และฝรั่งเศส เป็นต้น เวียดนามจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัยของไทยทั้งในตลาดจีนและตลาดโลก
(ที่มา : สำนักวิจัยเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประจำเดือนตุลาคม 2544--
-อน-
ซึ่งจะต้องเปิดตลาดตามข้อผูกพันที่ตกลงไว้กับสมาชิก WTO โดยกำหนดปริมาณโควต้านำเข้าข้าวเป็น 2.66 ล้านตันในปีแรก และเพิ่มเป็น 5.32 ล้านตัน
ในระยะเวลา 5 ปี ปริมาณโควต้าที่จะเพิ่มสูงขึ้นมากนี้ ทำให้จีนเป็นตลาดข้าวขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
1. ภาวะการผลิตและการตลาดของจีน
1.1 พื้นที่การเพาะปลูกข้าวของจีนส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำและในเขตชลประทานในช่วงปี 2538-39 ผลผลิตข้าวกว่าร้อยละ 93 มาจาก
เขตชลประทาน ซึ่งพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ได้แก่ มณฑลเสฉวน (Sichuan) เจียงซี (Jiangxi) กวางตุ้ง (Guandong) กวางสี (Guangxi)
ยูนาน (Yunan) ฟูเจี้ยน (Fujian) ไหหลำ (Hainan) และหูเป่ย (Hubei) ชนิดข้าวที่ปลูกเป็นพันธุ์ผสม (Hybrid)
ผลผลิตข้าวของจีนยังมีคุณภาพต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่มีการเพาะปลูกในแถบตอนใต้ของลุ่มน้ำแยงซีเกียง และแม้ว่าการเพาะปลูกข้าวของจีนได้ผลผลิต
ต่อไร่ต่ำจึงยังต้องมีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วย แต่จีนก็สามารถผลิตข้าวได้พอเพียงกับความต้องการสำหรับการบริโภคภายในประเทศ
รายงานผลผลิตประจำปีของ FAO (ปี 2544) ระบุว่า ในระยะปี 2538-2543 จีนสามารถผลิตข้าวได้เฉลี่ย 190.2 ล้านตันต่อปี
ปี 2544 คาดว่าจีนจะสามารถผลิตข้าวได้ประมาณ 190 ล้านตัน และมีความต้องการบริโภคในระดับใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ซึ่งในปัจจุบันมิได้
มีการปะกันราคาขั้นต่ำของผลผลิตเกษตรนับตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา
1.2 ภาวะการตลาด
ข้าวหอมมะลิของไทยเป็นที่นิยมบริโภคในหมู่ชาวจีนที่มีรายได้ค่อนข้างสูง และราคาขายปลีกข้าวหอมมะลิในประเทศจีนค่อนข้างสูงกว่าข้าวชนิด
อื่นๆ จากรายงานของสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงปักกิ่ง (เมษายน 2544) ระบุว่าราคาขายปลีกข้าวหอมมะลิในกรุงปักกิ่งกิโลกรัมละ 35
หยวน (อัตราแลกเปลี่ย 1 เหรียญสหรัฐฯ เท่ากับ 8.27 หยวน) ขณะที่ข้าวที่จีนผลิตได้มีราคาเพียงกิโลกรัมละ 2.20 - 2.25 หยวน
ปัจจุบันจีนเป็นผู้ส่งออกข้าวเช่นกันแต่มีปริมาณไม่สูงมาก ขณะที่การนำเข้าข้าวของจีนส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าเพื่อสนองความต้องการข้าวคุณภาพ
ดีที่ผลิตได้น้อย
ปี พ.ศ. 2539-2543 จีนมีความต้องการบริโภคข้าวโดยเฉลี่ยปีละ 190 ล้านตัน ในจำนวนนี้ร้อยละ 80 ใช้สำหรับการบริโภคโดยตรง
ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 20 ใช้ในการผลิตเป็นสินค้าแปรรูป ได้แก่ เหล้า เส้นหมี่ แป้งข้าวจ้าว และขนมขบเคี้ยว เป็นต้น
ชาวจีนซึ่งอาศัยอยู่ทางภาคใต้จะนิยมบริโภคข้าวประเภทเมล็ดยาว ในขณะที่ชาวจีนที่อาศัยในบริเวณภาคกลางและภาคเหนือจะนิยมข้าวประเภท
เมล็ดสั้น ซึ่งข้าวประเภทเมล็ดสั้นจะมีความเหนียวมากกว่าข้าวเมล็ดยาว อย่างไรก็ตาม จากการที่จีนมีการนำเข้าข้าวจากไทยซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าว
คุณภาพดีนั้น จะเริ่มเป็นที่นิยมบริโภคกันมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการบริการในภัตตาคารชั้นสูงหรือโรงแรมระดับ 5 ดาว
2. การนำเข้า
จีนนำเข้าข้าวชนิดต่างๆ ประกอบด้วยข้าวเปลือก ข้าวสาร ข้าวกล้อง และปลายข้าว โดยในช่วงปี 2541-2544 จีนนำเข้าข้าวสารมากที่สุด
รองลงมาได้แก่ ปลายข้าวและข้าวกล้อง โดยมีปริมาณการนำเข้าดังนี้.-
ตารางที่ 1 : การนำเข้าข้าวของจีน ปี 2541-44 (มค. - มีค.)
หน่วย : เมตริกตัน
ชนิดของข้าว 2541 2542 2543 2544 (มค.-มีค.)
ข้าวสาร 233,957.7 166,924.5 238,377.5 83,942.2
ปลายข้าว 8,618.5 48.0 144.0 -
ข้าวกล้อง 1,238.7 762.2 41.2 18.0
ข้าวเปลือก 228.5 553.8 52.5 46.3
ข้าวสาร
จีนนำเข้าข้าวสารจากไทยเป็นส่วนใหญ่ และจากสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ เช่น ไต้หวัน ญี่ปุ่น และอินเดีย เป็นสัดส่วนน้อยในช่วงปี
2541-44 จีนนำเข้าข้าวสารจากแหล่งต่างๆ ดังนี้.-
ตารางที่ 2 : แหล่งและปริมาณการนำเข้าข้าวสาร ปี 2541-44 (มค. - มีค.)
หน่วย : เมตริกตัน
ชนิดของข้าว 2541 2542 2543 2544 (มค.-มีค.)
1. ไทย 232,663.7 166,261.6 237,957.4 83,812.7
2. สหรัฐอเมริกา 537.8 600.6 264.2 107.7
3. ไต้หวัน 324.0 - 150.0 21.5
4. เนปาล 83.9 - 4.0 -
5. อื่น ๆ 348.3 62.3 1.9 0.3
รวม 233,957.7 166,924.5 238,377.5 83,942.2
ที่มา : World Trade Atlas (March 2001)
รัฐบาลจีนจัดสรรโควต้านำเข้าข้าวปีละ 2 ครั้ง โดยไม่มีการกำหนดช่วงระยะเวลาที่แน่นอน โดยมีสำนักงานคณะกรรมการวางแผนพัฒนาแห่ง
ชาติจีน (State Development Planning Commission : SDPC) เป็นหน่วยงานจัดสรรโควต้านำเข้าให้กับผู้นำเข้าข้าวที่มีใบอนุญาตนำเข้าข้าว
สำหรับมณฑลต่างๆ
นอกจากจีนจะนำเข้าข้าวสารแล้ว และนำเข้าข้าวชนิดอื่นๆ อีก เช่น ข้าวกล้อง(จากไทย), ข้าวเปลือก(จากไทย, เวียดนาม และญี่ปุ่น)
และปลายข้าว(จากสหรัฐฯ)
ตารางที่ 3 : ปริมาณข้าวชนิดต่างๆ ที่จีนนำเข้าจากไทย ปี 2541-44 (มค.-มีค.)
หน่วย : เมตริกตัน
ชนิดของข้าว 2541 2542 2543 2544 (มค.-มีค.)
ข้าวสาร 232,663.7 166,261.6 237,957.4 83,812.7
ข้าวเปลือก 192.5 553.8 50.9 46.3
ข้าวกล้อง 1,238.7 762.0 41.3 18.0
ปลายข้าว 8,618.5 30.0 - -
ที่มา : World Trade Atlas (March 2001)
3. สรุปผลการเจรจาเรื่องข้าวของจีนกับประเทศสมาชิก WTO
3.1 พันธะกรณีของจีน
- จีนตกลงที่จะลดภาษีศุลกากรและขยายโควต้าการนำเข้าข้าว ดังนี้.-
ปี 2543 เป็นต้นไป ปี 2547
- เปลี่ยนแปลงระบบโควต้าเป็นระบบโควต้าภาษี - ใช้ระบบโควต้าภาษีต่อไป
- กำหนดโควต้าเริ่มต้น 2.66 ล้านตัน - ขยายโควต้าเป็น 5.32 ล้านตัน
- โควต้าข้าวเมล็ดยาว 1.33 ล้านตัน และเมล็ดสั้น 1.33 ล้านตัน - ภาษีนำเข้าในโควต้าร้อยละ 1.0
- ภาษีนำเข้าในโควต้าร้อยละ 1.0 - นำเข้าเกินโควต้าเก็บร้อยละ 10-65
- นำเข้าเกินโควต้าเก็บร้อยละ 40 - 80
ชนิดของข้าว ภาษีปี 2543 - 2547
ในโควต้า (ร้อยละ) นอกโควต้า (ร้อยละ)
- ข้าวเปลือก 1.0 65 - 80
- ข้าวกล้อง 1.0 65 - 80
- ข้าวสาร 1.0 65 - 80
- ปลายข้าว 1.0 10 - 40
การเจรจากับสหรัฐฯ : อัตราภาษีสินค้าเกษตร (รวมทั้งข้าว) ที่จีนตกลงไว้กับสหรัฐฯ จะลดเหลือร้อยละ 14.5 ในปี 2547
3.2 พันธะกรณีอื่นๆ
- การนำเข้า จีนเปลี่ยนแปลงจากระบบผูกขาดที่รัฐนำเข้าแต่ผู้เดียวเป็นการนำเข้าเสรี โดยเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนนำเข้าข้าว
และผลิตภัณฑ์ข้าวได้ถึงร้อยละ 50 ของปริมาณโควต้าทั้งหมด
- โควต้า ขยายโควต้านำเข้าข้าวเป็น 2.66 ล้านตัน ในปีแรกที่จีนเข้า WTO และจะเพิ่มทุกปีจนถึงปีที่ 5 เป็น 5.32 ล้านตัน
4. ศักยภาพการแข่งขันของไทย
4.1 ลักษณะข้าวที่ไทยส่งออก
การส่งออกข้าวของไทยประกอบด้วย ข้าวคุณภาพสูง ข้าวคุณภาพปานกลาง และข้าวคุณภาพต่ำ โดยมีลักษณะจำเพาะดังนี้.-
- ข้าวคุณภาพสูงเป็นข้าวคุณภาพดี เป็นข้าวขาว 100% ไม่มีเมล็ดหักและข้าวขาว 5% ที่มีเมล็ดหักเพียงร้อยละ 5 ของปริมาณข้าว
ทั้งหมด
- ข้าวคุณภาพปานกลางเป็นข้าวขาว 10 - 15% และข้าวเหนียว
- ข้าวคุณภาพต่ำเป็นข้าวที่มีเมล็ดหักมากกว่า 20% ซึ่งรวมถึงปลายข้าวและข้าวนึ่งที่จัดอยู่ในข้าวกลุ่มนี้
ข้าวที่มีสัดส่วนการส่งออกสูงที่สุด ได้แก่ ข้าวคุณภาพสูงมีสัดส่วนการส่งออกกว่าร้อยละ 60.0 นอกนั้นเป็นการส่งออกข้าวคุณภาพต่ำ
ร้อยละ 35 และข้าวคุณภาพปานกลางร้อยละ 5
สำหรับข้าวคุณภาพสูงที่มีการส่งออกมาก ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ (Hom Mali Rice) ซึ่งข้าวชนิดนี้มีสัดส่วนการส่งออกสูงถึงร้อยละ
80 ของปริมาณการส่งออกข้าวคุณภาพสูงทั้งหมดของไทยและตลาดส่งออกข้าวคุณภาพสูง ได้แก่ จีน ฮ่องกง อิหร่าน สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์
ส่วนข้าวคุณภาพปานกลางมีตลาดสำคัญ ได้แก่ อินโดนีเซีย แอฟริกาและมาเลเซีย ขณะที่การส่งออกข้าวคุณภาพต่ำได้แก่ ประเทศแถบแอฟริกาและตะวันออกลาง
4.2 การส่งออกข้าวหอมมะลิไปจีน
ในอดีตข้าวไทยส่งออกไปจีน ส่วนใหญ่เป็นข้าวคุณภาพต่ำ แต่ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาจีนนำเข้าข้าวชนิดนี้น้อยลงเพราะส่วนหนึ่งจีนผลิต
ได้เองมากขึ้น และอีกส่วนหนึ่งนำเข้าจากเวียดนาม เนื่องจากมีราคาถูกกว่า อย่างไรก็ตามจีนได้เพิ่มสัดส่วนการนำเข้าข้าวคุณภาพดีจากไทยเพิ่มขึ้น
ซึ่งได้แก่ข้าวหอมมะลิและมีการนำเข้าอย่างต่อเนื่องตลอดมาจนกลายเป็นสินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ที่ไทยส่งออกข้าวสาร
ไปจีนเป็นการส่งออกข้าวหอมมะลิ
การส่งออกข้าวของไทยไปจีนในปี 2543 มีการส่งออกข้าวชนิดต่างๆ ประกอบด้วยข้าวสารเจ้า 100% มากที่สุด รองลงมาได้แก่
ชนิด 10% ปลายข้าวเจ้า A-! ชนิด 10% ปลายข้าวเจ้า A-! ชนิดพิเศษ, A-! ชนิดเลิศ ข้าวเหนียว 5% ข้าวสารเจ้า 5% และ 25% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม จีนกำหนดโควต้าการนำเข้าข้าวหอมมะลิจากไทยในปี 2542-2543 ในปริมาณไม่เกินปีละ 200,000 ตัน แต่ในปี 2543 มีการนำเข้าข้าว
เกินโควต้าที่กำหนดไว้และจีนตั้งภาษีนำเข้าส่วนเกินโควต้าร้อยละ 114.0
การส่งออกในปี 2544 (มกราคม - มิถุนายน) มีการส่งออกข้าวสารเจ้า 100% มีปริมาณ 71,584.6 ตัน มูลค่า 1,143.3
ล้านบาท รองลงมาได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 6,620.3 ตัน มูลค่า 117.1 ล้านบาท นอกนั้นเป็นการส่งออกข้าวเหนียวชนิด 10% มีปริมาณ 4,100.4 ตัน
มูลค่า 50.5 ล้านบาท โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิเดิมมีจัดอยู่ในกลุ่มข้าวขาว 100% และเริ่มแยกข้าวหอมมะลิออกมาเป็นพิกัดส่งออกต่างหากในปี 2544
ตารางที่ 4 : ปริมาณการส่งออกข้าวบางชนิดของไทยไปจีน
หน่วย : เมตริกตัน
ชนิดของข้าว 2542 2543 2543 (มค.-มิ.ย.) 2544 (มค.-มิย.) หมายเหตุ
ข้าวขาว 184,125.9 273,029.5 103,454.1 82,828.8 ข้าวหอมมะลิเริ่มมีการจำแนกออก
- 100% 177,840.9 268,080.6 102,863.9 71,584.6 จาก HS CODE ของข้าวขาว 100%
- หอมมะลิ - - - 6,620.3 ตั้งแต่ปี 2544
- 15% 2,000.0 - - 500.0
- ข้าวเหนียว 10% 3,851.7 4,410.4 590.2 4,100.4
- อื่น ๆ 433.3 538.5 - 23.5
ปลายข้าว 882.6 1,104.2 372.2 212.3
- A-1 ชนิดพิเศษ 420.7 885.8 263.8 159.1
- A-1 เลิศ 341.3 218.4 108.4 53.2
- อื่น ๆ 120.6 - - -
ข้าวกล้อง 4.4 5.5 1.5 4.7
- 100% 1.5 - 1.0 3.2
- 10% - - 0.5 8.0
- อื่น ๆ 2.9 - - 0.7
ที่มา : ศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจการค้า กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์
4.3 ส่วนแบ่งตลาด
จากสถิติการนำเข้าของจีนที่นำเข้าข้าวจากประเทศต่างๆ ปรากฏว่าในจำนวนข้าวทั้ง 4 ชนิดที่จีนนำเข้าจากประเทศต่างๆ นั้น ไทย
เป็นประเทศที่มีส่วนแบ่งตลาดในจีนสูงที่สุด โดยเฉพาะข้าวสารไทยมีส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 99.6 ขณะที่สหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ มีส่วนแบ่งตลาด
ไม่เกินร้อยละ 0.5 (ตารางที่ 5)
ตารางที่ 5 : ส่วนแบ่งตลาดข้าวในจีน
หน่วย : ร้อยละ
ชนิดของข้าว ส่วนแบ่งตลาด 2541-2543 (เฉลี่ย) 2544 (ม.ค.- มี.ค.)
ข้าวสาร 1). ไทย 99.6 99.8
2). สหรัฐอเมริกา 0.3 0.1
3). ไต้หวัน 0.1 0.1
4.4 คู่แข่งขัน ประเทศคู่แข่งขันของไทยที่มีการส่งออกข้าว ได้แก่ เวียดนาม สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน อินเดีย ซึ่งประเทศดังกล่าวมีการ
ผลิตข้าวตามลักษณะดังนี้.-
เวียดนาม ปริมาณผลผลิตส่วนใหญ่ร้อยละ 67 มาจากพื้นที่เขตชลประทานและอีกร้อยละ 25 มาจากที่ราบลุ่มแม่น้ำโขงลักษณะของ
ข้าวที่ผลิตได้เป็นข้าวคุณภาพปานกลางถึงต่ำ ซึ่งประเทศที่ผลิตข้าวลักษณะนี้นอกจากเวียดนามแล้วยังมี อินเดีย ปากีสถาน พม่า เป็นต้น แต่เวียดนามเป็นผู้
ส่งออกรายใหญ่ของโลกเช่นเดียวกับไทย และกำลังพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่ปลูกเพื่อผลิตข้าวคุณภาพดี
สหรัฐฯ พื้นที่เพาะปลูกข้าวส่วนใหญ่อยู่ในรัฐ Ankansa, California, Louissiana, Missouari และ Texas ซึ่งสหรัฐฯ
เองยังสามารถผลิตข้าวชนิดเมล็ดยาวได้จำนวนมากจากรัฐ Ankansas, Louissiana และ Texas การผลิตข้าวของสหรัฐฯ อยู่ในระดับที่มีการจัดการ
อย่างมีประสิทธิภาพจากการนำเครื่องจักรเข้ามาเป็นปัจจัยการผลิต
5. ข้อวิเคราะห์
5.1 การขยายโควต้าข้าวของจีนเป็น 2.66 ล้านตัน ในปีแรกที่จีนเข้าเป็นสมาชิก WTO และเป็น 5.32 ล้านตันในปี 2547 โดยมีโควต้า
การนำเข้าข้าวเมล็ดยาวและเมล็ดสั้นอย่างละครึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิก WTO อย่างทัดเทียมกันในการขยายตลาดส่งออกข้าวของตน
แต่ไทยมีศักยภาพในการขยายการส่งออกข้าวเมล็ดยาวเข้าสู่ตลาดจีนมากกว่าประเทศอื่นๆ เพราะปัจจุบันไทยส่งออกข้าวเมล็ดยาวคือข้าวหอมมะลิเป็นส่วน
ใหญ่และเป็นที่นิยมบริโภคของชาวจีน
5.2 ประเทศผู้ผลิตข้าวอื่นๆ เช่น เวียดนาม บังคลาเทศ พม่า อินเดีย มีการผลิตข้าวที่มีคุณภาพปานกลาง และคุณภาพต่ำ ซึ่งประเทศจีนสามรถ
ผลิตข้าวชนิดนี้ได้พอเพียงกับความต้องการและมีเหลือส่งออก โอกาสที่ประเทศดังกล่าวจะขยายการส่งออกไปจีนจึงมีน้อย ดังนั้น เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิก
WTO คู่แข่งสำคัญของไทยในจีน ได้แก่ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ผลิตข้าวเมล็ดยาวเช่นเดียวกับไทย และสามารถผลิตได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังผลิตข้าวเมล็ดสั้นด้วย
ดังนั้น โอกาสที่สหรัฐฯ จะแบ่งโควต้านำเข้าข้าวเมล็ดสั้นและเมล็ดยาวจึงเป็นไปได้สูงกว่าประเทศอื่นๆ
5.3 โอกาสที่ไทยจะส่งข้าวออกไปจีนได้มากขึ้นอีกทางหนึ่ง ได้แก่ การที่จีนเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนสามารถนำเข้าข้าวได้ถึงร้อยละ 50 ของ
ปริมาณโควต้าทั้งหมด จากเดิมที่ผูกขาดการนำเข้าโดยรัฐแต่ผู้เดียวนั้น น่าจะเป็นโอกาสที่ไทยจะสามารถส่งออกได้เพิ่ม นอกเหนือจากการจัดสรรโควต้า
ของจีนแต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของราคาและข้อตกลงระหว่างผู้ส่งออกของไทยและผู้นำเข้าภาคเอกชนของจีนด้วยเช่นกัน เพราะราคาขายข้าวหอมมะลิของไทย
ที่จำหน่ายในจีนมีราคาสูง เมื่อเปรียบเทียบกับข้าวชนิดอื่นๆ ที่จำหน่ายในจีน ดังนั้น คาดว่าโอกาสที่ไทยจะส่งออกเกินโควต้าจึงมีไม่มากนักเพราะอัตราภาษี
แตกต่างกันมากจะมีผลต่อราคาข้าวหอมมะลิของไทยที่จำหน่ายในจีน
อัตราภาษี ปี 2543 (ร้อยละ) ปี 2547 (ร้อยละ
ในโควต้า 1.0 1.0
นอกโควต้า 40 - 80 10 - 65
6. ความเห็น
6.1 แม้จีนจะมีข้อผูกพันเพื่อเปิดตลาดข้าวของจีนหลังเข้าเป็นสมาชิก WTO ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ไทยสามารถขยายตลาดส่งออกข้าวไป
จีนได้ในปริมาณมากขึ้นก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติปัญหาเกี่ยวกับการจัดสรรและบริหารโควต้าข้าว (โดยสำนักงานคณะกรรมการวางแผนพัฒนาแห่งชาติ
หรือ State Development Planning Commission - SDPC) อาจทำให้การนำเข้าข้าวของจีนมีความล่าช้า โดยเฉพาะในปีที่จีนมีผลผลิตข้าวใน
ประเทศพอเพียงกับความต้องการ นอกจากนี้ จีนเองก็ได้เร่งพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิตและลดต้นทุนการผลิตข้าว รวมทั้งสินค้าเกษตร
อื่นๆ จึงควรที่ไทยจะติดตามและสอดส่องการดำเนินการในทางปฏิบัติของจีนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นไปตามข้อผูกพัน
6.2 ในส่วนของประเทศผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ของโลกที่เป็นคู่แข่งขันของไทย เช่น เวียดนามและสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาตามศักยภาพการผลิตแล้ว
พบว่าสหรัฐฯ สามารถผลิตข้าวเมล็ดยาวและเมล็ดสั้นได้มาก ซึ่งเป็นชนิดที่มีการแบ่งโควต้าข้าวอย่างละครึ่ง ( 50 : 50) สหรัฐฯ จึงเป็นคู่แข่งที่สำคัญ
ของไทยในตลาดข้าวจีน และน่าจะอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบกว่าเมื่อพิจารณาจากประสิทธิภาพการผลิตและการจัดการที่ทำให้มีต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ดี การที่
ข้าวหอมมะลิของไทยเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวจีนที่มีรายได้ดีนั้นเป็นข้อได้เปรียบของไทย เนื่องจากขณะนี้ชาวจีนซึ่งเป็นชนชั้นกลางและมีฐานะดีมีจำนวน
เพิ่มมากขึ้น ไทยจึงควรเร่งดำเนินการเพื่อแนะนำข้าวหอมมะลิให้เป็นที่รู้จักและนิยมในวงกว้าง โดยมุ่งขยายการส่งออกข้าวคุณภาพดีเมล็ดยาว (หอมมะลิ)
ให้เต็มโควต้า 1.33 ล้านตันในปีแรกที่จีนเข้า WTO และขยายต่อไปตามปริมาณโควต้าที่จะขยายถึง 2.66 ล้านตันในปี 2547 สำหรับข้าวเมล็ดยาวตาม
ข้อผูกพันของจีน
6.3 ประเทศไทยควรใช้นโยบายการเจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐด้วย เพื่อช่วงชิงโควต้าข้าวจากประเทศคู่แข่งขันซึ่งจะเป็นประโยชน์และเป็นผลดี
ต่อผู้ส่งออกข้าวของไทย เนื่องจากการส่งออกข้าวไปจีนในระยะที่ผ่านมา การเจรจาของภาครัฐมีส่วนช่วยให้จีนนำเข้าข้าวจากประเทศไทยมากกว่า
ประเทศอื่นๆ ดังนั้นภาครัฐจึงควรใช้นโยบายนี้อย่างต่อเนื่องสำหรับเจรจากับจีน
6.4 สำหรับประเทศเวียดนามยังอยุ่ในช่วงการพัฒนาข้าวเป็นพันธุ์ข้าวคุณภาพดี การส่งออกข้าวของเวียดนามไปจีน จึงยังเป็นข้าวคุณภาพต่ำ
และไม่น่าจะมีผลกระทบต่อไทยในระยะสั้น แต่ในระยะยาว (4-5 ปี) เมื่อเวียดนามสามารถพัฒนาคุณภาพข้าวที่ปลูกเพื่อส่งออกได้สำเร็จ จากการร่วมทุน
การผลิตวิจัยกับนักลงทุนต่างชาติ เช่น สหรัฐฯ ฮ่องกง และฝรั่งเศส เป็นต้น เวียดนามจะกลายเป็นคู่แข่งสำคัยของไทยทั้งในตลาดจีนและตลาดโลก
(ที่มา : สำนักวิจัยเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประจำเดือนตุลาคม 2544--
-อน-