การที่สินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและความมั่นคงของประเทศ กอปรกับราคาสินค้าเกษตรมีความผันผวนค่อนข้างสูงตามสภาพภูมิอากาศและฤดูกาล ทำให้ประเทศที่มีผลผลิตส่วนเกินพยายามระบายผลผลิตออกสู่ตลาดโลกโดยวิธีการต่างๆ อาทิ มาตรการอุดหนุนการส่งออก ขณะที่ประเทศผู้นำเข้าสินค้าเกษตรส่วนใหญ่จะมีมาตรการปกป้องภาคการเกษตรของตนโดยการใช้มาตรการทั้งที่เป็นภาษีและไม่ใช่ภาษี ทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างประเทศ จึงเป็นที่มาของการเจรจาเพื่อเปิดเสรีในการค้าสินค้าเกษตร เพื่อให้การแข่งขันเป็นธรรมมากขึ้น
ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญรายหนึ่งของโลก จำเป็นต้องปฏิบัติตามพันธกรณีตามที่ได้มีการกำหนดไว้ในความตกลงว่าด้วยการเกษตร กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ เล็งเห็นถึงผลได้/ผลเสียที่จักเกิดตามมาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากการเจรจาการค้าโลกในรอบใหม่นี้ จึงศึกษานโยบาย/รูปแบบ/วิธีการในการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการกำหนดท่าทีในการเจรจาการค้าภายใต้กรอบ WTO ในรอบปัจจุบัน
หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อการส่งออกมีชื่อเรียกเหมือนกัน/แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ก็อาจให้บริการเหมือน/คล้ายคลึง/แตกต่างกันก็ได้ ตามความหลากหลายของประเภทบริการ และความจำเป็นของแต่ละประเทศนอกเหนือจากงานให้การอุดหนุนด้านสินเชื่อเพื่อการส่งออก และ/หรือ ในบางประเทศมีการแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างหน่วยงานที่ให้บริการสินเชื่อเพื่อการส่งออกและหน่วยงานให้บริการรับประกันสินเชื่อเพื่อการส่งออก อย่างไรก็ตาม เกือบทั้งหมดเป็นองค์กรของรัฐบาลที่มีอิสระในการดำเนินงาน จัดตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจส่งออก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดการค้าของโลก และมีหลักการดำเนินงานว่าไม่แข่งขันกับสถาบันการเงินอื่นในประเทศที่มีอยู่แล้ว แหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งและ/หรือทั้งหมดได้รับการอุดหนุนทางการเงินจากภาครัฐ
ในการศึกษาประเทศเป้าหมาย 10 ประเทศ คือ สหรัฐฯ แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซียและไทย พบว่ามากกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าการส่งออกของทุกประเทศเป้าหมายที่ทำการศึกษานี้เป็นการส่งออกสินค้าทุน และ/หรือ สินค้าอุตสาหกรรม เมื่อประกอบกับโครงสร้างภาคเศรษฐกิจของประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศอุตสาหกรรม จึงมีการปล่อยสินเชื่อเพื่อการส่งออกในสินค้าทั้งสองประเภทในสัดส่วนค่อนข้างสูง มีเพียงสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ที่มีนโยบายปล่อยสินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรที่ค่อนข้างชัดเจน นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่มีหน่วยงานสนับสนุนการส่งออกมากที่สุด ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ มีหน่วยงานสนับสนุนการส่งออกเพียงหนึ่งหรือสองหน่วยงานเท่านั้น สำหรับเครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในการสนับสนุนการส่งออกของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของประเทศนั้น ๆ โดยเฉพาะด้านเงินทุน ตลอดจนความพร้อมด้านข้อมูลต่าง ๆ ที่มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดนโยบายและพิจารณาการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาสามารถจำแนกโปรแกรมสนับสนุนด้านการส่งออกเป็น 4 โปรแกรมหลัก คือ 1) การให้สินเชื่อเพื่อการส่งออก (Credit) 2) การรับประกันการส่งออก (Insurance) 3) การค้ำประกันความเสี่ยง (Guarantee) และ 4) โปรแกรมสนับสนุนการส่งออกอื่นๆ เช่น การให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการและเทคนิค เป็นต้น โดยโปรแกรมสินเชื่อเพื่อการส่งออก (Credit) เป็นโปรแกรมสนับสนุนการส่งออกที่ประเทศที่เป็นเป้าหมายของการศึกษานี้มีให้บริการมากที่สุด และเป็นโปรแกรมที่ทำให้กลไกตลาดเกิดการบิดเบือน (Distortion) มากที่สุด โดยผลกระทบที่มีต่อตลาดจะมีมากน้อยเพียงใด จะขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาการชำระคืนเป็นสำคัญ
ทั้งนี้คาดว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรจากประเทศเป้าหมายทั้งในด้านของประเทศคู่แข่งและประเทศคู่ค้าค่อนข้างน้อย เนื่องจากประเทศเป้าหมายที่ทำการศึกษามีการให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรน้อยมาก ยกเว้น ประเทศสหรัฐฯ ที่มีการให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรค่อนข้างมากทั้งด้านปริมาณเงิน สินค้าที่ครอบคลุม และประเทศคู่ค้าเป้าหมาย ในภาพรวมแล้ว โครงการกระตุ้นการส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและศักยภาพในการแข่งขันลดลงโดยตรง โดยเฉพาะสินค้าสำคัญ ได้แก่ ข้าว สัตว์ปีกแช่แข็ง และพืชน้ำมัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกให้อ่อนตัวลงและเกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในตลาดโลก เนื่องจากไทยมีงบประมาณจำกัด ไม่สามารถให้การอุดหนุนการส่งออกได้เท่าเทียมกับสหรัฐฯ
อาจกล่าวได้ว่า การอุดหนุนสินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตร เป็นผลดีต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศมหาอำนาจทางการเงินโดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มีเงินทุนเพียงพอที่จะสนับสนุนการส่งออกได้อย่างครอบคลุมเกือบทุกรายการสินค้าและตามความต้องการของผู้ผลิตและผู้ส่งออกในประเทศ ในทางตรงข้าม การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรก็เป็นข้อจำกัดของประเทศกำลังพัฒนาที่ประสบปัญหาขาดแคลนเงินทุน ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าเกษตรที่ผลิตจากประเทศพัฒนาแล้วได้
แม้ประเทศไทย มีฐานการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก แต่ก็มีอำนาจในการเจรจาต่อรองน้อยในเกือบทุกด้านเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีพลังเงิน พลังความคิด (เทคโนโลยี) พลังในการเกาะกลุ่มและแสนยานุภาพเหนือ (กลุ่ม) ประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น การเจรจาต่อรองว่าด้วยการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตร ภายใต้กรอบ WTO ในรอบปัจจุบัน ประเทศไทยจำเป็นต้องวิเคราะห์ท่าทีการเจรจาของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ในแต่ละด้านอย่างละเอียดและรอบคอบ ในขณะเดียวกันไทยก็ต้องหาแนวร่วมที่ตกอยู่ในสภาพ "หัวอกเดียวกัน" ซึ่งควรเป็นประเทศที่เผชิญชะตากรรมในทำนองเดียวกับไทย ซึ่งในสภาพการณ์ปัจจุบันอาจจำเป็นต้องอาศัย CAIRNS Group เจรจาต่อรองกับประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อให้การสนับสนุนการส่งออกดังกล่าว เป็นไปในรูปแบบ Green Subsidies มากที่สุด กล่าวคือเป็นการอุดหนุนที่ไม่ก่อให้เกิดการบิดเบือนตลาด (Distortion) เช่น การให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและวิชาการ เป็นต้น และไม่เลือกปฏิบัติแบบเจาะจงในสินค้าใดสินค้าหนึ่งกับประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (662)2826171-9 แฟกซ์ (662)280-0775--
-สส-
ในฐานะที่ไทยเป็นประเทศส่งออกสินค้าเกษตรสำคัญรายหนึ่งของโลก จำเป็นต้องปฏิบัติตามพันธกรณีตามที่ได้มีการกำหนดไว้ในความตกลงว่าด้วยการเกษตร กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ เล็งเห็นถึงผลได้/ผลเสียที่จักเกิดตามมาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวจากการเจรจาการค้าโลกในรอบใหม่นี้ จึงศึกษานโยบาย/รูปแบบ/วิธีการในการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา รวมทั้งประเทศไทย เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการกำหนดท่าทีในการเจรจาการค้าภายใต้กรอบ WTO ในรอบปัจจุบัน
หน่วยงานที่ให้การสนับสนุนด้านสินเชื่อเพื่อการส่งออกมีชื่อเรียกเหมือนกัน/แตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ก็อาจให้บริการเหมือน/คล้ายคลึง/แตกต่างกันก็ได้ ตามความหลากหลายของประเภทบริการ และความจำเป็นของแต่ละประเทศนอกเหนือจากงานให้การอุดหนุนด้านสินเชื่อเพื่อการส่งออก และ/หรือ ในบางประเทศมีการแบ่งแยกหน้าที่ความรับผิดชอบระหว่างหน่วยงานที่ให้บริการสินเชื่อเพื่อการส่งออกและหน่วยงานให้บริการรับประกันสินเชื่อเพื่อการส่งออก อย่างไรก็ตาม เกือบทั้งหมดเป็นองค์กรของรัฐบาลที่มีอิสระในการดำเนินงาน จัดตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ธุรกิจส่งออก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดการค้าของโลก และมีหลักการดำเนินงานว่าไม่แข่งขันกับสถาบันการเงินอื่นในประเทศที่มีอยู่แล้ว แหล่งเงินทุนส่วนหนึ่งและ/หรือทั้งหมดได้รับการอุดหนุนทางการเงินจากภาครัฐ
ในการศึกษาประเทศเป้าหมาย 10 ประเทศ คือ สหรัฐฯ แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซียและไทย พบว่ามากกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าการส่งออกของทุกประเทศเป้าหมายที่ทำการศึกษานี้เป็นการส่งออกสินค้าทุน และ/หรือ สินค้าอุตสาหกรรม เมื่อประกอบกับโครงสร้างภาคเศรษฐกิจของประเทศที่ส่วนใหญ่เป็นประเทศอุตสาหกรรม จึงมีการปล่อยสินเชื่อเพื่อการส่งออกในสินค้าทั้งสองประเภทในสัดส่วนค่อนข้างสูง มีเพียงสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ที่มีนโยบายปล่อยสินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรที่ค่อนข้างชัดเจน นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังเป็นประเทศที่มีหน่วยงานสนับสนุนการส่งออกมากที่สุด ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ มีหน่วยงานสนับสนุนการส่งออกเพียงหนึ่งหรือสองหน่วยงานเท่านั้น สำหรับเครื่องมือทางการเงินที่ใช้ในการสนับสนุนการส่งออกของแต่ละประเทศจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของประเทศนั้น ๆ โดยเฉพาะด้านเงินทุน ตลอดจนความพร้อมด้านข้อมูลต่าง ๆ ที่มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดนโยบายและพิจารณาการปล่อยสินเชื่อ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาสามารถจำแนกโปรแกรมสนับสนุนด้านการส่งออกเป็น 4 โปรแกรมหลัก คือ 1) การให้สินเชื่อเพื่อการส่งออก (Credit) 2) การรับประกันการส่งออก (Insurance) 3) การค้ำประกันความเสี่ยง (Guarantee) และ 4) โปรแกรมสนับสนุนการส่งออกอื่นๆ เช่น การให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการและเทคนิค เป็นต้น โดยโปรแกรมสินเชื่อเพื่อการส่งออก (Credit) เป็นโปรแกรมสนับสนุนการส่งออกที่ประเทศที่เป็นเป้าหมายของการศึกษานี้มีให้บริการมากที่สุด และเป็นโปรแกรมที่ทำให้กลไกตลาดเกิดการบิดเบือน (Distortion) มากที่สุด โดยผลกระทบที่มีต่อตลาดจะมีมากน้อยเพียงใด จะขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาการชำระคืนเป็นสำคัญ
ทั้งนี้คาดว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรจากประเทศเป้าหมายทั้งในด้านของประเทศคู่แข่งและประเทศคู่ค้าค่อนข้างน้อย เนื่องจากประเทศเป้าหมายที่ทำการศึกษามีการให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตรน้อยมาก ยกเว้น ประเทศสหรัฐฯ ที่มีการให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรค่อนข้างมากทั้งด้านปริมาณเงิน สินค้าที่ครอบคลุม และประเทศคู่ค้าเป้าหมาย ในภาพรวมแล้ว โครงการกระตุ้นการส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐฯ ทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาดและศักยภาพในการแข่งขันลดลงโดยตรง โดยเฉพาะสินค้าสำคัญ ได้แก่ ข้าว สัตว์ปีกแช่แข็ง และพืชน้ำมัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังส่งผลต่อราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกให้อ่อนตัวลงและเกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในตลาดโลก เนื่องจากไทยมีงบประมาณจำกัด ไม่สามารถให้การอุดหนุนการส่งออกได้เท่าเทียมกับสหรัฐฯ
อาจกล่าวได้ว่า การอุดหนุนสินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตร เป็นผลดีต่อผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าเกษตรของประเทศมหาอำนาจทางการเงินโดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มีเงินทุนเพียงพอที่จะสนับสนุนการส่งออกได้อย่างครอบคลุมเกือบทุกรายการสินค้าและตามความต้องการของผู้ผลิตและผู้ส่งออกในประเทศ ในทางตรงข้าม การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตรก็เป็นข้อจำกัดของประเทศกำลังพัฒนาที่ประสบปัญหาขาดแคลนเงินทุน ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าเกษตรที่ผลิตจากประเทศพัฒนาแล้วได้
แม้ประเทศไทย มีฐานการผลิตสินค้าเกษตรเพื่อการส่งออก แต่ก็มีอำนาจในการเจรจาต่อรองน้อยในเกือบทุกด้านเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่มีพลังเงิน พลังความคิด (เทคโนโลยี) พลังในการเกาะกลุ่มและแสนยานุภาพเหนือ (กลุ่ม) ประเทศกำลังพัฒนา ดังนั้น การเจรจาต่อรองว่าด้วยการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออกสินค้าเกษตร ภายใต้กรอบ WTO ในรอบปัจจุบัน ประเทศไทยจำเป็นต้องวิเคราะห์ท่าทีการเจรจาของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว ในแต่ละด้านอย่างละเอียดและรอบคอบ ในขณะเดียวกันไทยก็ต้องหาแนวร่วมที่ตกอยู่ในสภาพ "หัวอกเดียวกัน" ซึ่งควรเป็นประเทศที่เผชิญชะตากรรมในทำนองเดียวกับไทย ซึ่งในสภาพการณ์ปัจจุบันอาจจำเป็นต้องอาศัย CAIRNS Group เจรจาต่อรองกับประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อให้การสนับสนุนการส่งออกดังกล่าว เป็นไปในรูปแบบ Green Subsidies มากที่สุด กล่าวคือเป็นการอุดหนุนที่ไม่ก่อให้เกิดการบิดเบือนตลาด (Distortion) เช่น การให้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคและวิชาการ เป็นต้น และไม่เลือกปฏิบัติแบบเจาะจงในสินค้าใดสินค้าหนึ่งกับประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ อาคาร ค ถ.ราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 โทรศัพท์ (662)2826171-9 แฟกซ์ (662)280-0775--
-สส-