คำกล่าวเปิดการสัมมนา เรื่อง
"การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการธนาคารประชาชน"
ของ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น
วันที่ 5 ตุลาคม 2544
_____________________
วันนี้ผมมีจุดประสงค์ 2 ประการ ประการที่ 1 คือ มาเปิดการสัมมนาในครั้งนี้อย่างเป็นทางการ ประการที่ 2 ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของผมก็คือ จะมาขอกล่าวขอบคุณท่านผู้บริหารและท่านทั้งหลายที่อยู่ในห้องนี้ และพนักงานของออมสินทุกท่านที่กรุณาเสียสละแรงกายและเวลาทุ่มเทให้กับโครงการธนาคารประชาชน เพราะผมทราบดีว่าทำให้ท่านต้องเหนื่อยมากขึ้นทีเดียว เพราะแต่เดิมนั้น ธนาคารออมสินมีขอบเขตธุรกิจที่ค่อนข้างจำกัด แต่เมื่อเริ่มเข้ามาสู่โครงการธนาคารประชาชนแล้ว ยิ่งทำให้การทำงานของท่านมีภาระเพิ่มมากขึ้นตามตัว แต่ขอให้เชื่อว่า การทำงานของท่านในครั้งนี้ท่านจะได้บุญกุศลแน่นอน
ผมอยู่ในตำแหน่งนาน 7 เดือน ไม่เคยมีวันไหนที่ผมจะมีความสุขเท่ากับวันที่ผมสามารถทำให้โครงการธนาคารประชาชนเกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เขาจะไปประกอบสัมมาอาชีพของเขาได้ ลองหลับตานึกภาพดูว่า ประชาชนคนไทยกว่า 60 ล้านคน ความต้องการในเงินทุนเหล่านี้มีอยู่มาก เพราะฉะนั้นการที่ท่านกรุณายอมสละเวลา สละร่างกาย และทุ่มเททุกอย่างเพื่อโครงการนี้ นับเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ระหว่างคนไทยด้วยกันเองที่จะทำให้กันได้ เพราะฉะนั้นขอได้โปรดได้รับความขอบคุณจากผมด้วย ในที่นี้
ทุกท่านครับ ถ้าท่านจำได้ เมื่อรัฐบาลชุดนี้ขึ้นสู่การบริหารราชการใหม่ ๆ ผมได้เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่า ต้องการให้ธนาคารของรัฐเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาอย่างแท้จริง มิได้ต้องการให้เป็นธนาคารที่ไปแข่งขันกับธนาคารเอกชน ซึ่งเขาอยู่ในลักษณะของธนาคารพาณิชย์ที่มีการประกอบการที่ดีอยู่แล้ว ทำไมธนาคารของรัฐจึงต้องไปแข่งขันกับธนาคารเอกชนให้เสียเวลา ทำไมไม่ให้ธนาคารหรือสถาบันของรัฐทำหน้าที่ในส่วนซึ่งภาคเอกชนนั้น ๆ ไม่สามารถที่จะทำได้ ฉะนั้นด้วยความตั้งใจของผม สิ่งแรกที่ผมเคยประกาศคือว่า ธนาคารกรุงไทยจะต้องเป็น Lead Bank หรือกำลังหลักของรัฐบาล ในภาวะซึ่งสถาบันการเงินทั้งระบบมีความอ่อนแอ วันนี้ธนาคารกรุงไทยได้กลายเป็น Lead Bank ที่แท้จริงแล้ว ด้วยพลังที่แข็งแรง เป็นไม้เป็นมือให้กับรัฐบาล รัฐบาลไม่ใช่รัฐบาลที่ง่อยเปลี้ย ไม่มีแรงอีกต่อไปแล้ว ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารศรีนคร และไทยธนาคาร เป็นกำลังรองที่มาสนับสนุนอีกแรงหนึ่ง ในอนาคตก็จะพยายามมุ่งสู่การให้สินเชื่อของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อไปให้มากขึ้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ บัดนี้ได้เปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจนแล้ว มิใช่เป็นเพียงแค่สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้กับชาวนา และพอถึงเวลาก็ไปเก็บหนี้ ถ้าไม่มีหลักทรัพย์ก็เอาที่ดินมาค้ำแล้วก็จบแค่นั้น บัดนี้ ธ.ก.ส. ได้เน้นในการเข้าไปช่วยพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาระบบการเกษตรให้มีความมั่นคงขึ้น ให้ธุรกิจในชนบทแข็งแรงขึ้น ให้เป็น farming economy ที่แข็งแรงอย่างแท้จริง เขาได้มีการเปลี่ยนวิสัยทัศน์ มีการปรับโครงสร้าง มีการปรับระบบเพื่อรองรับในสิ่งนี้ นั่นคือหน้าที่และบทบาทของ ธ.ก.ส. ให้เป็นที่พึ่งสำหรับเกษตรกรในชนบทที่แท้จริง
ธนาคารอาคารสงเคราะห์และการเคหะฯ จากวันนี้เป็นต้นไปจะต้องไม่ใช่เป็นเพียงแค่ทำหน้าที่ financing บ้านธรรมดา แต่ต้องคิดค้นออกมาให้ได้ว่า จะทำอย่างไรที่คนไทยที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยหลาย ๆ ล้าน จะมีที่อยู่อาศัยที่เขาสามารถพักผ่อนได้อยู่ได้ นั่นคือวิสัยทัศน์ของเขา ซึ่งเขาจะต้องทำให้ได้
บอย. จะกลายเป็นธนาคารเพื่อธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลางอย่างแท้จริง เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลเพิ่งออก package ทางด้านภาษี เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อย จากบัดนี้เป็นต้นไป ธุรกิจลงทุนต่ำกว่า 5 ล้านบาท ถ้ามีกำไรปีละไม่เกิน 1 ล้านบาท เสียภาษีแค่ 20% ถ้ามีกำไร 1-3 ล้านบาท เสียภาษีเพียง 25% และจากนั้นขึ้นไปถึงจะเสียภาษี 30% เป็นการช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กทั่วราชอาณาจักร เป็นไปไม่ได้ที่คนตัวเล็กต้องรับภาระเท่าคนตัวโต หน้าที่ของรัฐบาลก็คือว่า ทำอย่างไรให้คนตัวเล็กสามารถเติบโตเป็นคนที่แข็งแกร่งได้ในอนาคตข้างหน้า
เมื่อวานนี้ บสย. ได้เริ่มทำหน้าที่ของเขาอย่างสมบูรณ์ด้วยการร่วมมือกับธนาคารของรัฐอีก 5 แห่ง ร่วมกันเข้าโครงการการค้ำประกันร่วม เพื่อการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลาง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรแล้วสถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เพราะกลัวว่าจะเป็นหนี้เสีย ด้วยระบบใหม่ที่จัดขึ้นมานั้น จะทำให้ต่างฝ่ายต่าง share ความเสี่ยง และสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขาได้ทำหน้าที่ของเขาอีกระดับหนึ่งแล้ว บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้กลายเป็นบรรษัทซึ่งเน้นการประกอบการให้กับโครงการขนาดใหญ่ และถ้าหากมีกำลังเหลือพอ ก็เข้าสู่โครงการขนาดเล็กเสริมไปด้วย เป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างแท้จริงของประเทศไทย แล้วประชาชนธรรมดาความหวังอันสูงสุดก็คือ จากกองทุนหมู่บ้านที่เริ่มดำเนินการไปแล้ว และธนาคารประชาชนที่ทุกท่านมีส่วนร่วมอยู่ในขณะนี้ อันนี้เป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ และเป็นภาระที่หนักหน่วง เมื่อเราเริ่มโครงการนี้ ใคร ๆ ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อพรรคไทยรักไทยเขียนอยู่ในนโยบายของรัฐบาล ถูกค่อนขอดว่าเพ้อฝัน จะทำให้ธนาคารออมสินมีปัญหาและขณะนั้นผมยังไม่ได้ระบุด้วยซ้ำจะมีธนาคารออมสิน แต่มันมีอยู่ในใจอยู่แล้วว่า ไม่มีธนาคารอื่นใดที่จะเหมาะสมเท่าธนาคารออมสินที่จะทำหน้าที่ในโครงการธนาคารประชาชน เพราะธนาคารออมสินทำหน้าที่เป็นธนาคารประชาชนมานานแล้วตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในวัยเด็ก ผมจำได้ว่าผมใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น เดินจากสะพานเหลืองเพื่อเอาเงินจากกระปุกออมสินของผมไปฝากที่ธนาคารออมสินสาขาสามย่าน นั้นคือความหวังของประชาชนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ชาวบ้านที่อยู่ตามห้องแถว อยู่ตามซอกซอย ผู้ประกอบการรายย่อย นี่คือธนาคารที่แท้จริงของพวกเขา ไม่ใช่โรงรับจำนำ ฉะนั้นเมื่อเราเริ่มโครงการนี้ หรือที่เราเรียกว่า "micro lending" หรือ "people bank" ก็แล้วแต่จะเรียก ใคร ๆ ก็เชื่อว่าทำไม่ได้ เพราะบอกว่าถ้าปล่อยรายย่อยจะกลายเป็น NPL แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่เชื่อ เพราะว่ายิ่งรายย่อยเท่าไหร่ยิ่งเป็นรายที่พวกเรารู้จักเห็นหน้าอยู่ตลอดเวลา คนจนนั้นเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีจะทำให้เขาทุจริต ให้เขาเบี้ยวหนี้ ผมว่าเขาไม่ทำอย่างนั้น เพราะด้วยความเชื่อและความศรัทธานี้ โครงการนี้จึงได้เริ่มเกิดขึ้น แน่นอนที่สุดเมื่อเริ่มโครงการฯ มันก็จะค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ไป เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ผู้บริหารธนาคารออมสินค่อยๆ ทำโครงการทีละเล็ก ๆ เพื่อทดสอบดูว่าทุกสิ่งที่วางแผนไว้สามารถเดินเครื่องได้หรือไม่ มีเวลาที่ประชาชนเอาเงินมาฝาก ให้รู้จักมักคุ้นกันเสียก่อน มีระบบการปล่อยและติดตามสินเชื่อที่ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเสียหายต่อธนาคาร และบัดนี้ก็ถึงเวลาที่พวกท่านจะต้องมาร่วมกันเพื่อประเมินผลออกมาให้ได้ว่า จะมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน อะไรที่จะให้ผู้หลักผู้ใหญ่ช่วย อะไรที่จะให้รัฐบาลช่วยเสริมต่อไป เหตุผลสำคัญนั้น เพราะผมต้องการที่จะเห็นอะไรมากกว่านี้ในอนาคต ถ้าหากว่าช่วงแรกที่เราทำเฟสที่ 1 เป็นช่วงที่เราเริ่มเดินเครื่อง เฟสที่ 2 ที่จะทำตามมาข้างหน้า เป็นช่วงที่จะเดินเต็มลูกสูบ เต็มลูกสูบของผมหมายถึงอะไร?
ข้อที่ 1 ขอบเขตของวงเงิน แนวทางการขยับขยายการปล่อยสินเชื่อ อยากให้กว้างขวางยิ่งกว่านี้ สะดวกขึ้นกว่านี้ แต่นั่นก็หมายถึงว่าเราต้องมีระบบควบคุม ติดตามที่ดีพอ ฉะนั้น ในประการนี้ ผมอยากจะเรียนฝากผู้บริหารไว้ ลองหาทางสิว่า จะขยับวงเงินขอบข่ายให้มากกว่านี้ได้หรือไม่? เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการที่แต่ละบุคคลจะไปประกอบสัมมาอาชีพของเขาได้ จะมีความเพียงพอโดยที่ไม่มีความเสี่ยงมากจนเกินไป
ข้อที่ 2 ผมอยากเห็นลักษณะการปล่อยสินเชื่อที่นอกจากจะเน้นที่หนึ่งบุคคล แต่อยากจะให้มีการรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อให้มีทุนมากขึ้น มีเงินมากขึ้น มีการการันตีมากขึ้น ก็สามารถนำไปประกอบสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าการที่จะปล่อยเพียง 1 รายโดดๆ ตรงนี้คือ micro lending ที่แท้จริง ไม่ใช่ SMEs ที่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมากว่านั้น ตรงนี้ผมหลับตาทีไรผมเห็นภาพคน 4-5 คนที่รู้จักกันมาจับกลุ่มกัน คุยกันว่าจะทำอะไรดี แล้วมาขอกู้เงินของโครงการธนาคารประชาชน ว่าโครงการเป็นอย่างนี้นะขอกู้ได้ไหม? สักเท่าไร? อยากให้ท่านช่วยคิดประเด็นนี้ด้วยว่าจะทำได้อย่างไร? เช่นไร?
ข้อที่ 3 โครงการฯ นี้ผมถือว่าสำคัญอย่างยิ่งยวดทีเดียว และท่านอาจจะได้บุญกุศลมากกว่าที่ท่านทำมาแล้วที่ผ่านมา ทุกคนวันนี้มีความเป็นห่วงว่าหากสถานการณ์ภายนอกมีความวุ่นวาย อาจจะมีแรงงานไทยที่ต้องเดินทางกลับประเทศ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คนเหล่านี้เราจะไปดูแลเขายังไง ตรงนี้ฝากท่านประธานกรรมการธนาคารออมสิน ท่านผู้บริหารคิดประเด็นนี้ให้ดีๆ เพราะนี้หมายถึงว่าต้องมีการประสานกัน กระทรวงแรงงานฯ กระทรวงอุตสาหกรรม ด้านโน้นต้องมีหน้าที่ไปช่วยพัฒนาอาชีพ ฝึกอาชีพให้เขา เมื่อเขามีทักษะในอาชีพแล้วเขาจะเอาเงินจากไหนที่จะรองรับการประกอบอาชีพของเขา ตรงนี้อยากให้ท่านตระเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ สำคัญอย่างยิ่ง ผมไม่เชื่อว่าคนงานไทยต้องกลับมามากมายมหาศาล แต่คนไทยเราต้องไม่ทอดทิ้งกัน ตรงนี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องเตรียมแต่เดี๋ยวนี้ จะได้ทันการณ์ เพื่อรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากมันเป็นเช่นนั้นจริง
แค่นั้นไม่พอ ภายในประเทศของเราเอง เริ่มมีข่าวว่าถ้าเศรษฐกิจไม่ดีจะมีการให้พนักงานออกจากงาน โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่คิดว่าความคิดนี้จะถูกต้อง ประเทศไทยนั้นไม่เหมือนประเทศตะวันตก ประเทศตะวันตกเขามีระบบประกันสังคมที่แน่นแฟ้น คนตกงานเมื่อไหร่ เขาไม่อดตาย เขามีสิ่งที่เรียกว่า "social security" มีเงินให้ทุกเดือน ถ้าเศรษฐกิจเขาไม่ดี เขาปลดคนงานออก คนงานที่หลุดจากงานก็ไม่เป็นไร สามารถยังชีพได้ เมื่อไหร่เศรษฐกิจฟื้นเขาจ้างงานกลับเข้าไปใหม่ นั่นเป็นวัฒนธรรมของตะวันตก แต่ในประเทศไทยของเรายังไม่มี safety net เหล่านี้ขึ้นมา เราพูดถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ในอดีตเมื่อคนว่างงานเขาก็จะกลับไปสู่ภูมิลำเนาของเขาในชนบท รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ราคาพืชผลตกต่ำ เพื่อให้ภาคชนบทสามารถรองรับถ้าเกิดภาวะว่างงาน แต่ในขณะเดียวกันผมยังเชื่อว่าองค์กรธุรกิจและห้างร้านควรจะคิดในเชิงของโลกตะวันออกว่าในยามที่เราสุขสบาย เรายิ้มแย้ม เราเลี้ยงดูกัน ต่างคนต่างสบาย ได้โบนัสคนละหลายเดือน แต่ในยามที่ลำบากแทนที่คนจะต้องตกงาน ควรจะคิดว่า ทำอย่างไรเพื่อเพื่อนพนักงานจะไม่รับโบนัส แต่จะกันเงินส่วนนี้เอาไว้เพื่อไม่ให้มีการปลดพนักงานออก นี้คือสิ่งที่ควรจะคิด
องค์กรทั้งหลาย ไม่ว่าองค์กรเอกชนหรือรัฐบาลในขณะนี้ ไม่ควรคิดว่าปีหน้าจะขึ้นเงินเดือนเท่าไหร่ ถ้าไม่ขึ้นเงินเดือนจะมีการประท้วง แต่ควรคิดว่าถ้าสถานการณ์โลกทรุดลงไปอีก พวกเราจะเสียสละกันอย่างไร เพื่อให้พวกเรากันเองสามารถประคับประคองกันได้ อยู่ต่อไปได้จนผ่านพ้นวิกฤติ นี่คือสิ่งที่ควรจะคิดอย่างยิ่ง ควรเริ่มต้นจากผู้บริหารด้วยซ้ำไปว่าปีหน้าจะเสียสละอะไร ลดหลั่นกันลงไปจัดโครงสร้างกันดี ๆ เราทุกคนอยู่รอดได้ ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ นี่คือโลกของคนตะวันออกที่เน้นการเกื้อกูลกัน ไม่ใช่ยามดียิ้มแย้ม ยามไม่ดีต่างคนต่างไป
อย่างไรก็ตาม หากมันจำเป็นต้องปลดคนงานออกจริง ๆ ธนาคารประชาชนนี่แหละที่จะช่วยเขาได้ ลองหลับตานึกภาพถึงการลดคนงาน 4-5 พันคน คนงานเหล่านี้มีการศึกษา หากเขารวมตัวกัน 5-6 คน คิดจะประกอบอาชีพ ท่านจะให้โอกาสเขาอย่างไร? สิ่งนี้น่าคิดมาก โดยเฉพาะเมื่อเกิดการตกงานภายในกรุงเทพฯ ในตัวเมือง บุคคลเหล่านี้ล้วนแต่มีครอบครัวทั้งนั้น โอกาสที่จะไม่มีการันตีย่อมไม่มี เขามีการันตีแน่นอน เพียงแต่ว่าจะคิดทำโครงการอะไรร่วมกัน
ฉะนั้น ขอให้ผู้บริหารออมสินช่วยดีไซน์สิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นลักษณะ micro lending ให้กับกลุ่มคนไม่มากนัก 5-6 คนร่วมกัน มีวงเงินเท่าไหร่ มี cost guarantee ทำอย่างไร ถ้าท่านใช้เวลาในการประเมินผลในวันนี้ ท่านผู้บริหารระดับสูงช่วยกันคิดสักช่วงหนึ่ง เตรียมระบบรองรับให้ดี ทำอย่างไรจะให้โครงสร้างออมสินเอื้อต่อสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ละสาขาในแต่ละจังหวัดเขาต้องการความช่วยเหลือ ส่วนกลางจะช่วยเขาอย่างไร วางแผนอย่างเต็มที่ คนไม่พอก็จ้างคนเพิ่ม เพราะเวลานี้ไม่ใช่ปลดคนออก แต่เป็นเวลาของการจ้างคนเพิ่ม ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ บุญกุศลอันยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้น ธนาคารออมสินมีศักยภาพที่จะทำได้และต้องทำให้ดีขึ้นให้ได้ ผมเชื่อว่าในไม่ช้าเมื่อธนาคารออมสินทำเป็นตัวอย่าง สถาบันการเงินอื่นๆ ทั้งของรัฐและเอกชนจะก้าวตามท่านทันที เพราะวันนี้เขาตามท่านแล้ว ไม่ว่าธนาคารไทย หรือธนาคารต่างประเทศ เริ่มแล้ว ฉะนั้น เมื่อระบบข้อมูลข่าวสาร ระบบการจัดการ ระบบบัญชี ระบบการตรวจสอบ ท่านต้องเร่งทำให้แข็งแรงขึ้น ผมเชื่อว่าออมสินจะกลายเป็นธนาคารของประชาชน อยู่ในใจประชาชนอย่างแท้จริง
ท้ายนี้ ผมขอขอบคุณท่านอย่างจริงใจอีกครั้งหนึ่ง และขอให้การสัมมนาครั้งนี้ประสบผลสำเร็จในทุกประการที่ตั้งไว้
______________________
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
สุชาวรรณ วงศ์มองมาก : ถอดเทป
กรองจิตร สุขเกื้อ : พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : ตรวจ/ทาน--จบ--
-ศน-
"การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการธนาคารประชาชน"
ของ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น
วันที่ 5 ตุลาคม 2544
_____________________
วันนี้ผมมีจุดประสงค์ 2 ประการ ประการที่ 1 คือ มาเปิดการสัมมนาในครั้งนี้อย่างเป็นทางการ ประการที่ 2 ซึ่งเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของผมก็คือ จะมาขอกล่าวขอบคุณท่านผู้บริหารและท่านทั้งหลายที่อยู่ในห้องนี้ และพนักงานของออมสินทุกท่านที่กรุณาเสียสละแรงกายและเวลาทุ่มเทให้กับโครงการธนาคารประชาชน เพราะผมทราบดีว่าทำให้ท่านต้องเหนื่อยมากขึ้นทีเดียว เพราะแต่เดิมนั้น ธนาคารออมสินมีขอบเขตธุรกิจที่ค่อนข้างจำกัด แต่เมื่อเริ่มเข้ามาสู่โครงการธนาคารประชาชนแล้ว ยิ่งทำให้การทำงานของท่านมีภาระเพิ่มมากขึ้นตามตัว แต่ขอให้เชื่อว่า การทำงานของท่านในครั้งนี้ท่านจะได้บุญกุศลแน่นอน
ผมอยู่ในตำแหน่งนาน 7 เดือน ไม่เคยมีวันไหนที่ผมจะมีความสุขเท่ากับวันที่ผมสามารถทำให้โครงการธนาคารประชาชนเกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรก เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เขาจะไปประกอบสัมมาอาชีพของเขาได้ ลองหลับตานึกภาพดูว่า ประชาชนคนไทยกว่า 60 ล้านคน ความต้องการในเงินทุนเหล่านี้มีอยู่มาก เพราะฉะนั้นการที่ท่านกรุณายอมสละเวลา สละร่างกาย และทุ่มเททุกอย่างเพื่อโครงการนี้ นับเป็นบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ระหว่างคนไทยด้วยกันเองที่จะทำให้กันได้ เพราะฉะนั้นขอได้โปรดได้รับความขอบคุณจากผมด้วย ในที่นี้
ทุกท่านครับ ถ้าท่านจำได้ เมื่อรัฐบาลชุดนี้ขึ้นสู่การบริหารราชการใหม่ ๆ ผมได้เคยประกาศอย่างเป็นทางการว่า ต้องการให้ธนาคารของรัฐเป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาอย่างแท้จริง มิได้ต้องการให้เป็นธนาคารที่ไปแข่งขันกับธนาคารเอกชน ซึ่งเขาอยู่ในลักษณะของธนาคารพาณิชย์ที่มีการประกอบการที่ดีอยู่แล้ว ทำไมธนาคารของรัฐจึงต้องไปแข่งขันกับธนาคารเอกชนให้เสียเวลา ทำไมไม่ให้ธนาคารหรือสถาบันของรัฐทำหน้าที่ในส่วนซึ่งภาคเอกชนนั้น ๆ ไม่สามารถที่จะทำได้ ฉะนั้นด้วยความตั้งใจของผม สิ่งแรกที่ผมเคยประกาศคือว่า ธนาคารกรุงไทยจะต้องเป็น Lead Bank หรือกำลังหลักของรัฐบาล ในภาวะซึ่งสถาบันการเงินทั้งระบบมีความอ่อนแอ วันนี้ธนาคารกรุงไทยได้กลายเป็น Lead Bank ที่แท้จริงแล้ว ด้วยพลังที่แข็งแรง เป็นไม้เป็นมือให้กับรัฐบาล รัฐบาลไม่ใช่รัฐบาลที่ง่อยเปลี้ย ไม่มีแรงอีกต่อไปแล้ว ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารศรีนคร และไทยธนาคาร เป็นกำลังรองที่มาสนับสนุนอีกแรงหนึ่ง ในอนาคตก็จะพยายามมุ่งสู่การให้สินเชื่อของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อไปให้มากขึ้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ บัดนี้ได้เปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจนแล้ว มิใช่เป็นเพียงแค่สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อให้กับชาวนา และพอถึงเวลาก็ไปเก็บหนี้ ถ้าไม่มีหลักทรัพย์ก็เอาที่ดินมาค้ำแล้วก็จบแค่นั้น บัดนี้ ธ.ก.ส. ได้เน้นในการเข้าไปช่วยพัฒนาท้องถิ่น พัฒนาระบบการเกษตรให้มีความมั่นคงขึ้น ให้ธุรกิจในชนบทแข็งแรงขึ้น ให้เป็น farming economy ที่แข็งแรงอย่างแท้จริง เขาได้มีการเปลี่ยนวิสัยทัศน์ มีการปรับโครงสร้าง มีการปรับระบบเพื่อรองรับในสิ่งนี้ นั่นคือหน้าที่และบทบาทของ ธ.ก.ส. ให้เป็นที่พึ่งสำหรับเกษตรกรในชนบทที่แท้จริง
ธนาคารอาคารสงเคราะห์และการเคหะฯ จากวันนี้เป็นต้นไปจะต้องไม่ใช่เป็นเพียงแค่ทำหน้าที่ financing บ้านธรรมดา แต่ต้องคิดค้นออกมาให้ได้ว่า จะทำอย่างไรที่คนไทยที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยหลาย ๆ ล้าน จะมีที่อยู่อาศัยที่เขาสามารถพักผ่อนได้อยู่ได้ นั่นคือวิสัยทัศน์ของเขา ซึ่งเขาจะต้องทำให้ได้
บอย. จะกลายเป็นธนาคารเพื่อธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลางอย่างแท้จริง เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลเพิ่งออก package ทางด้านภาษี เพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อย จากบัดนี้เป็นต้นไป ธุรกิจลงทุนต่ำกว่า 5 ล้านบาท ถ้ามีกำไรปีละไม่เกิน 1 ล้านบาท เสียภาษีแค่ 20% ถ้ามีกำไร 1-3 ล้านบาท เสียภาษีเพียง 25% และจากนั้นขึ้นไปถึงจะเสียภาษี 30% เป็นการช่วยลดภาระให้กับผู้ประกอบการขนาดเล็กทั่วราชอาณาจักร เป็นไปไม่ได้ที่คนตัวเล็กต้องรับภาระเท่าคนตัวโต หน้าที่ของรัฐบาลก็คือว่า ทำอย่างไรให้คนตัวเล็กสามารถเติบโตเป็นคนที่แข็งแกร่งได้ในอนาคตข้างหน้า
เมื่อวานนี้ บสย. ได้เริ่มทำหน้าที่ของเขาอย่างสมบูรณ์ด้วยการร่วมมือกับธนาคารของรัฐอีก 5 แห่ง ร่วมกันเข้าโครงการการค้ำประกันร่วม เพื่อการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจขนาดเล็กขนาดกลาง ซึ่งแต่ไหนแต่ไรแล้วสถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เพราะกลัวว่าจะเป็นหนี้เสีย ด้วยระบบใหม่ที่จัดขึ้นมานั้น จะทำให้ต่างฝ่ายต่าง share ความเสี่ยง และสามารถปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขาได้ทำหน้าที่ของเขาอีกระดับหนึ่งแล้ว บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้กลายเป็นบรรษัทซึ่งเน้นการประกอบการให้กับโครงการขนาดใหญ่ และถ้าหากมีกำลังเหลือพอ ก็เข้าสู่โครงการขนาดเล็กเสริมไปด้วย เป็นธนาคารเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างแท้จริงของประเทศไทย แล้วประชาชนธรรมดาความหวังอันสูงสุดก็คือ จากกองทุนหมู่บ้านที่เริ่มดำเนินการไปแล้ว และธนาคารประชาชนที่ทุกท่านมีส่วนร่วมอยู่ในขณะนี้ อันนี้เป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ และเป็นภาระที่หนักหน่วง เมื่อเราเริ่มโครงการนี้ ใคร ๆ ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ เมื่อพรรคไทยรักไทยเขียนอยู่ในนโยบายของรัฐบาล ถูกค่อนขอดว่าเพ้อฝัน จะทำให้ธนาคารออมสินมีปัญหาและขณะนั้นผมยังไม่ได้ระบุด้วยซ้ำจะมีธนาคารออมสิน แต่มันมีอยู่ในใจอยู่แล้วว่า ไม่มีธนาคารอื่นใดที่จะเหมาะสมเท่าธนาคารออมสินที่จะทำหน้าที่ในโครงการธนาคารประชาชน เพราะธนาคารออมสินทำหน้าที่เป็นธนาคารประชาชนมานานแล้วตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในวัยเด็ก ผมจำได้ว่าผมใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้น เดินจากสะพานเหลืองเพื่อเอาเงินจากกระปุกออมสินของผมไปฝากที่ธนาคารออมสินสาขาสามย่าน นั้นคือความหวังของประชาชนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป ชาวบ้านที่อยู่ตามห้องแถว อยู่ตามซอกซอย ผู้ประกอบการรายย่อย นี่คือธนาคารที่แท้จริงของพวกเขา ไม่ใช่โรงรับจำนำ ฉะนั้นเมื่อเราเริ่มโครงการนี้ หรือที่เราเรียกว่า "micro lending" หรือ "people bank" ก็แล้วแต่จะเรียก ใคร ๆ ก็เชื่อว่าทำไม่ได้ เพราะบอกว่าถ้าปล่อยรายย่อยจะกลายเป็น NPL แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่เชื่อ เพราะว่ายิ่งรายย่อยเท่าไหร่ยิ่งเป็นรายที่พวกเรารู้จักเห็นหน้าอยู่ตลอดเวลา คนจนนั้นเป็นคนที่มีศักดิ์ศรีจะทำให้เขาทุจริต ให้เขาเบี้ยวหนี้ ผมว่าเขาไม่ทำอย่างนั้น เพราะด้วยความเชื่อและความศรัทธานี้ โครงการนี้จึงได้เริ่มเกิดขึ้น แน่นอนที่สุดเมื่อเริ่มโครงการฯ มันก็จะค่อย ๆ ทำ ค่อย ๆ ไป เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วที่ผู้บริหารธนาคารออมสินค่อยๆ ทำโครงการทีละเล็ก ๆ เพื่อทดสอบดูว่าทุกสิ่งที่วางแผนไว้สามารถเดินเครื่องได้หรือไม่ มีเวลาที่ประชาชนเอาเงินมาฝาก ให้รู้จักมักคุ้นกันเสียก่อน มีระบบการปล่อยและติดตามสินเชื่อที่ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเสียหายต่อธนาคาร และบัดนี้ก็ถึงเวลาที่พวกท่านจะต้องมาร่วมกันเพื่อประเมินผลออกมาให้ได้ว่า จะมีจุดอ่อนอยู่ตรงไหน อะไรที่จะให้ผู้หลักผู้ใหญ่ช่วย อะไรที่จะให้รัฐบาลช่วยเสริมต่อไป เหตุผลสำคัญนั้น เพราะผมต้องการที่จะเห็นอะไรมากกว่านี้ในอนาคต ถ้าหากว่าช่วงแรกที่เราทำเฟสที่ 1 เป็นช่วงที่เราเริ่มเดินเครื่อง เฟสที่ 2 ที่จะทำตามมาข้างหน้า เป็นช่วงที่จะเดินเต็มลูกสูบ เต็มลูกสูบของผมหมายถึงอะไร?
ข้อที่ 1 ขอบเขตของวงเงิน แนวทางการขยับขยายการปล่อยสินเชื่อ อยากให้กว้างขวางยิ่งกว่านี้ สะดวกขึ้นกว่านี้ แต่นั่นก็หมายถึงว่าเราต้องมีระบบควบคุม ติดตามที่ดีพอ ฉะนั้น ในประการนี้ ผมอยากจะเรียนฝากผู้บริหารไว้ ลองหาทางสิว่า จะขยับวงเงินขอบข่ายให้มากกว่านี้ได้หรือไม่? เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการที่แต่ละบุคคลจะไปประกอบสัมมาอาชีพของเขาได้ จะมีความเพียงพอโดยที่ไม่มีความเสี่ยงมากจนเกินไป
ข้อที่ 2 ผมอยากเห็นลักษณะการปล่อยสินเชื่อที่นอกจากจะเน้นที่หนึ่งบุคคล แต่อยากจะให้มีการรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อให้มีทุนมากขึ้น มีเงินมากขึ้น มีการการันตีมากขึ้น ก็สามารถนำไปประกอบสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าการที่จะปล่อยเพียง 1 รายโดดๆ ตรงนี้คือ micro lending ที่แท้จริง ไม่ใช่ SMEs ที่มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นมากว่านั้น ตรงนี้ผมหลับตาทีไรผมเห็นภาพคน 4-5 คนที่รู้จักกันมาจับกลุ่มกัน คุยกันว่าจะทำอะไรดี แล้วมาขอกู้เงินของโครงการธนาคารประชาชน ว่าโครงการเป็นอย่างนี้นะขอกู้ได้ไหม? สักเท่าไร? อยากให้ท่านช่วยคิดประเด็นนี้ด้วยว่าจะทำได้อย่างไร? เช่นไร?
ข้อที่ 3 โครงการฯ นี้ผมถือว่าสำคัญอย่างยิ่งยวดทีเดียว และท่านอาจจะได้บุญกุศลมากกว่าที่ท่านทำมาแล้วที่ผ่านมา ทุกคนวันนี้มีความเป็นห่วงว่าหากสถานการณ์ภายนอกมีความวุ่นวาย อาจจะมีแรงงานไทยที่ต้องเดินทางกลับประเทศ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คนเหล่านี้เราจะไปดูแลเขายังไง ตรงนี้ฝากท่านประธานกรรมการธนาคารออมสิน ท่านผู้บริหารคิดประเด็นนี้ให้ดีๆ เพราะนี้หมายถึงว่าต้องมีการประสานกัน กระทรวงแรงงานฯ กระทรวงอุตสาหกรรม ด้านโน้นต้องมีหน้าที่ไปช่วยพัฒนาอาชีพ ฝึกอาชีพให้เขา เมื่อเขามีทักษะในอาชีพแล้วเขาจะเอาเงินจากไหนที่จะรองรับการประกอบอาชีพของเขา ตรงนี้อยากให้ท่านตระเตรียมไว้แต่เนิ่นๆ สำคัญอย่างยิ่ง ผมไม่เชื่อว่าคนงานไทยต้องกลับมามากมายมหาศาล แต่คนไทยเราต้องไม่ทอดทิ้งกัน ตรงนี้เป็นสิ่งที่ท่านต้องเตรียมแต่เดี๋ยวนี้ จะได้ทันการณ์ เพื่อรองรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากมันเป็นเช่นนั้นจริง
แค่นั้นไม่พอ ภายในประเทศของเราเอง เริ่มมีข่าวว่าถ้าเศรษฐกิจไม่ดีจะมีการให้พนักงานออกจากงาน โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่คิดว่าความคิดนี้จะถูกต้อง ประเทศไทยนั้นไม่เหมือนประเทศตะวันตก ประเทศตะวันตกเขามีระบบประกันสังคมที่แน่นแฟ้น คนตกงานเมื่อไหร่ เขาไม่อดตาย เขามีสิ่งที่เรียกว่า "social security" มีเงินให้ทุกเดือน ถ้าเศรษฐกิจเขาไม่ดี เขาปลดคนงานออก คนงานที่หลุดจากงานก็ไม่เป็นไร สามารถยังชีพได้ เมื่อไหร่เศรษฐกิจฟื้นเขาจ้างงานกลับเข้าไปใหม่ นั่นเป็นวัฒนธรรมของตะวันตก แต่ในประเทศไทยของเรายังไม่มี safety net เหล่านี้ขึ้นมา เราพูดถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ในอดีตเมื่อคนว่างงานเขาก็จะกลับไปสู่ภูมิลำเนาของเขาในชนบท รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้ราคาพืชผลตกต่ำ เพื่อให้ภาคชนบทสามารถรองรับถ้าเกิดภาวะว่างงาน แต่ในขณะเดียวกันผมยังเชื่อว่าองค์กรธุรกิจและห้างร้านควรจะคิดในเชิงของโลกตะวันออกว่าในยามที่เราสุขสบาย เรายิ้มแย้ม เราเลี้ยงดูกัน ต่างคนต่างสบาย ได้โบนัสคนละหลายเดือน แต่ในยามที่ลำบากแทนที่คนจะต้องตกงาน ควรจะคิดว่า ทำอย่างไรเพื่อเพื่อนพนักงานจะไม่รับโบนัส แต่จะกันเงินส่วนนี้เอาไว้เพื่อไม่ให้มีการปลดพนักงานออก นี้คือสิ่งที่ควรจะคิด
องค์กรทั้งหลาย ไม่ว่าองค์กรเอกชนหรือรัฐบาลในขณะนี้ ไม่ควรคิดว่าปีหน้าจะขึ้นเงินเดือนเท่าไหร่ ถ้าไม่ขึ้นเงินเดือนจะมีการประท้วง แต่ควรคิดว่าถ้าสถานการณ์โลกทรุดลงไปอีก พวกเราจะเสียสละกันอย่างไร เพื่อให้พวกเรากันเองสามารถประคับประคองกันได้ อยู่ต่อไปได้จนผ่านพ้นวิกฤติ นี่คือสิ่งที่ควรจะคิดอย่างยิ่ง ควรเริ่มต้นจากผู้บริหารด้วยซ้ำไปว่าปีหน้าจะเสียสละอะไร ลดหลั่นกันลงไปจัดโครงสร้างกันดี ๆ เราทุกคนอยู่รอดได้ ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ นี่คือโลกของคนตะวันออกที่เน้นการเกื้อกูลกัน ไม่ใช่ยามดียิ้มแย้ม ยามไม่ดีต่างคนต่างไป
อย่างไรก็ตาม หากมันจำเป็นต้องปลดคนงานออกจริง ๆ ธนาคารประชาชนนี่แหละที่จะช่วยเขาได้ ลองหลับตานึกภาพถึงการลดคนงาน 4-5 พันคน คนงานเหล่านี้มีการศึกษา หากเขารวมตัวกัน 5-6 คน คิดจะประกอบอาชีพ ท่านจะให้โอกาสเขาอย่างไร? สิ่งนี้น่าคิดมาก โดยเฉพาะเมื่อเกิดการตกงานภายในกรุงเทพฯ ในตัวเมือง บุคคลเหล่านี้ล้วนแต่มีครอบครัวทั้งนั้น โอกาสที่จะไม่มีการันตีย่อมไม่มี เขามีการันตีแน่นอน เพียงแต่ว่าจะคิดทำโครงการอะไรร่วมกัน
ฉะนั้น ขอให้ผู้บริหารออมสินช่วยดีไซน์สิ่งเหล่านี้ออกมาเป็นลักษณะ micro lending ให้กับกลุ่มคนไม่มากนัก 5-6 คนร่วมกัน มีวงเงินเท่าไหร่ มี cost guarantee ทำอย่างไร ถ้าท่านใช้เวลาในการประเมินผลในวันนี้ ท่านผู้บริหารระดับสูงช่วยกันคิดสักช่วงหนึ่ง เตรียมระบบรองรับให้ดี ทำอย่างไรจะให้โครงสร้างออมสินเอื้อต่อสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ละสาขาในแต่ละจังหวัดเขาต้องการความช่วยเหลือ ส่วนกลางจะช่วยเขาอย่างไร วางแผนอย่างเต็มที่ คนไม่พอก็จ้างคนเพิ่ม เพราะเวลานี้ไม่ใช่ปลดคนออก แต่เป็นเวลาของการจ้างคนเพิ่ม ถ้าเราทำสิ่งเหล่านี้ได้ บุญกุศลอันยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้น ธนาคารออมสินมีศักยภาพที่จะทำได้และต้องทำให้ดีขึ้นให้ได้ ผมเชื่อว่าในไม่ช้าเมื่อธนาคารออมสินทำเป็นตัวอย่าง สถาบันการเงินอื่นๆ ทั้งของรัฐและเอกชนจะก้าวตามท่านทันที เพราะวันนี้เขาตามท่านแล้ว ไม่ว่าธนาคารไทย หรือธนาคารต่างประเทศ เริ่มแล้ว ฉะนั้น เมื่อระบบข้อมูลข่าวสาร ระบบการจัดการ ระบบบัญชี ระบบการตรวจสอบ ท่านต้องเร่งทำให้แข็งแรงขึ้น ผมเชื่อว่าออมสินจะกลายเป็นธนาคารของประชาชน อยู่ในใจประชาชนอย่างแท้จริง
ท้ายนี้ ผมขอขอบคุณท่านอย่างจริงใจอีกครั้งหนึ่ง และขอให้การสัมมนาครั้งนี้ประสบผลสำเร็จในทุกประการที่ตั้งไว้
______________________
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
สุชาวรรณ วงศ์มองมาก : ถอดเทป
กรองจิตร สุขเกื้อ : พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : ตรวจ/ทาน--จบ--
-ศน-