1.ฐานเงินและปริมาณเงิน
- ฐานเงินและปริมาณเงินขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 754.0 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10.3 จากระยะเดียวกันกับปีก่อน แต่ลดลง 7.2 พันล้านบาทจากเดือนก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อนได้แก่ 1.สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น 2.สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่ร้ฐบาลลดลงจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ธปท.และ 3.สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่สถาบันการเงินลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในพันธบัตร ธปท.เพิ่มขึ้น
ปริมาณเงิน M2 เร่งตัวขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 4.5 ที่สำคัญเป็นผลจากการควบรวมระหว่างบริษัทเงินทุนไทยเพิ่มทรัพย์และบริษัทเงินทุนทิสโก้ และยกระดับเป็นธนาคารทิสโก้ ขณะที่ปริมาณเงินM2aและM3 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อย
2.อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
-เงินบาทแข็งตัวขึ้นหลังจากจีนปรับค่าเงิน
-อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดปรับสูงขึ้นตามการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมปรับสูงขึ้นจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนกรกฎาคม 2548 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 41.76 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยมีการเคลื่อนไหวผันผวน กล่าวคือในช่วงต้นเดือนอ่อนค่าลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีที่42.18 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมเนื่องจากความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ สรอ.ปรับดีขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยลบเฉพาะของเงินบาทเช่น การขาดดุลการค้า ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตามค่าเงินในภูมิภาคหลังจีนประกาศปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ในช่วงวันที่ 1-25 สิงหาคม 2548 เงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่41.18 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.โดยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนก่อนจากที่ตลาดคาดว่าค่าเงินหยวนของจีนและริงกิตมาเลเซียจะแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้ทยอยเข้ามาถือเงินภูมิภาคบางสกุล ประกอบกับมึเงินทุนไหลเข้าตลาดหลักทรัพย์ และการแถลงตัวเลขดุลการค้าเบื้องต้นในเดือนกรกฎาคมที่ขาดดุลลง อย่างไรก็ดีเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนเป็นบางช่วงโดยมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมัน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนกรกฎาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร ระยะเวลา 1 วัน และอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.55 และ 2.57 ต่อปี ตามลำดับ สูงขึ้นจากเดือนก่อนตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นสำคัญ
สำหรับในช่วงวันที่ 1-25 สิงหาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ1วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ1วันปรับสูงขึ้นอีกมาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.70 ต่อปีเท่ากัน ตามการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนกรกฎาคม 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับสูงขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะพันธบัตรระยะเกินกว่า 1 ปี โดยเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ส่งผลให้ตลาดเชื่อมั่นว่าอัตราดอกเบี้ยยังจะปรับสูงขึ้นต่อไปเป็นสำคัญ นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อได้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทยเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันด้วย
ในช่วงวันที่1-25 สิงหาคม 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะมากกว่า 1 ปี ส่วนหนึ่งปรับสูงขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น อีกส่วนหนึ่งเนื่องจากตลาดเห็นว่าอัตราเงินปรับสูงขึ้นมาในเดือนกรกฎาคมประกอบกับมีแรงเสริมจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯซึ่งปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับลดลงเนื่องจากนักลงทุนยังคงพักเงินไว้ในตราสารหนี้ระยะสั้นเพราะคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังปรับสูงขึ้นต่อไป
3.เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
-เงินฝากขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ขณะที่สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
-อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับสูงขึ้น โดยมี ธพ.หลายแห่งได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม 2548 ขยายตัวร้อยละ4.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 136.0 พันล้านบาทจากเดือนมิถุนายน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการควบรวมระหว่างบริษัทเงินทุนไทยเพิ่มทรัพย์และบริษัทเงินทุนทิสโก้ และการโอนสินทรัพย์และหนี้สินระหว่างบริษัทเงินทุนธนชาติและธนาคารธนชาตตามนโยบาย One Presence ซึ่งหากหักเงินฝากที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการควบรวมดังกล่าวออกเงินฝากในเดือนกรกฎาคม 2548 ขยายตัวร้อยละ 2.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาคธุรกิจเป็นสำคัญ
สินเชื่อภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์(รวมการถือครองหลักทรัพย์ของภาคเอกชน)ในเดือนกรกฎาคม2548 ซึ่งขยายตัวร้อยละ6.3จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้นจากเดือนมิถุนายนจากการควบรวมและการโอนสินทรัพย์และหนี้สินของสถาบันการเงินดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้เมื่อมีการหักสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการควบรวมดังกล่าวออก สินเชื่อในเดือนกรกฎาคมขยายตัวร้อยละ 4.4 จากระยะเดียวกับปีก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคครัวเรือนเป็นสำคัญ
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนกรกฎาคม ปรับสูงขึ้นทั้งอัตราดอกเบี้ย เงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ย4ธนาคารอยู่ที่ร้อยละ 1.19และ 5.75 ต่อปี ตามลำดับ ณ สิ้นเดือนทั้งนี้ในช่วงวันที่ 1-25สิงหาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ได้ปรับสูงขึ้นไปอีก โดยอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.38ต่อปี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
- ฐานเงินและปริมาณเงินขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2548 อยู่ที่ระดับ 754.0 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10.3 จากระยะเดียวกันกับปีก่อน แต่ลดลง 7.2 พันล้านบาทจากเดือนก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อนได้แก่ 1.สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น 2.สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่ร้ฐบาลลดลงจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ธปท.และ 3.สินเชื่อสุทธิที่ ธปท.ให้แก่สถาบันการเงินลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในพันธบัตร ธปท.เพิ่มขึ้น
ปริมาณเงิน M2 เร่งตัวขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 4.5 ที่สำคัญเป็นผลจากการควบรวมระหว่างบริษัทเงินทุนไทยเพิ่มทรัพย์และบริษัทเงินทุนทิสโก้ และยกระดับเป็นธนาคารทิสโก้ ขณะที่ปริมาณเงินM2aและM3 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อย
2.อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
-เงินบาทแข็งตัวขึ้นหลังจากจีนปรับค่าเงิน
-อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดปรับสูงขึ้นตามการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
-อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลโดยรวมปรับสูงขึ้นจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าที่ตลาดคาดไว้
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนกรกฎาคม 2548 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 41.76 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยมีการเคลื่อนไหวผันผวน กล่าวคือในช่วงต้นเดือนอ่อนค่าลงมาแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปีที่42.18 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคมเนื่องจากความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ สรอ.ปรับดีขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยลบเฉพาะของเงินบาทเช่น การขาดดุลการค้า ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้และการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วตามค่าเงินในภูมิภาคหลังจีนประกาศปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ในช่วงวันที่ 1-25 สิงหาคม 2548 เงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่41.18 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.โดยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนก่อนจากที่ตลาดคาดว่าค่าเงินหยวนของจีนและริงกิตมาเลเซียจะแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้ทยอยเข้ามาถือเงินภูมิภาคบางสกุล ประกอบกับมึเงินทุนไหลเข้าตลาดหลักทรัพย์ และการแถลงตัวเลขดุลการค้าเบื้องต้นในเดือนกรกฎาคมที่ขาดดุลลง อย่างไรก็ดีเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนเป็นบางช่วงโดยมีปัจจัยลบจากราคาน้ำมัน
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือนกรกฎาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร ระยะเวลา 1 วัน และอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.55 และ 2.57 ต่อปี ตามลำดับ สูงขึ้นจากเดือนก่อนตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นสำคัญ
สำหรับในช่วงวันที่ 1-25 สิงหาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ1วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ1วันปรับสูงขึ้นอีกมาเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.70 ต่อปีเท่ากัน ตามการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบาย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนกรกฎาคม 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับสูงขึ้นจากเดือนก่อน โดยเฉพาะพันธบัตรระยะเกินกว่า 1 ปี โดยเป็นผลจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ส่งผลให้ตลาดเชื่อมั่นว่าอัตราดอกเบี้ยยังจะปรับสูงขึ้นต่อไปเป็นสำคัญ นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐซึ่งปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากตลาดคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อได้ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของไทยเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันด้วย
ในช่วงวันที่1-25 สิงหาคม 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะมากกว่า 1 ปี ส่วนหนึ่งปรับสูงขึ้นตามทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น อีกส่วนหนึ่งเนื่องจากตลาดเห็นว่าอัตราเงินปรับสูงขึ้นมาในเดือนกรกฎาคมประกอบกับมีแรงเสริมจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯซึ่งปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นปรับลดลงเนื่องจากนักลงทุนยังคงพักเงินไว้ในตราสารหนี้ระยะสั้นเพราะคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังปรับสูงขึ้นต่อไป
3.เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
-เงินฝากขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ขณะที่สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
-อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับสูงขึ้น โดยมี ธพ.หลายแห่งได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม 2548 ขยายตัวร้อยละ4.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 136.0 พันล้านบาทจากเดือนมิถุนายน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการควบรวมระหว่างบริษัทเงินทุนไทยเพิ่มทรัพย์และบริษัทเงินทุนทิสโก้ และการโอนสินทรัพย์และหนี้สินระหว่างบริษัทเงินทุนธนชาติและธนาคารธนชาตตามนโยบาย One Presence ซึ่งหากหักเงินฝากที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการควบรวมดังกล่าวออกเงินฝากในเดือนกรกฎาคม 2548 ขยายตัวร้อยละ 2.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาคธุรกิจเป็นสำคัญ
สินเชื่อภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์(รวมการถือครองหลักทรัพย์ของภาคเอกชน)ในเดือนกรกฎาคม2548 ซึ่งขยายตัวร้อยละ6.3จากระยะเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นอัตราที่สูงขึ้นจากเดือนมิถุนายนจากการควบรวมและการโอนสินทรัพย์และหนี้สินของสถาบันการเงินดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้เมื่อมีการหักสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการควบรวมดังกล่าวออก สินเชื่อในเดือนกรกฎาคมขยายตัวร้อยละ 4.4 จากระยะเดียวกับปีก่อน โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่ให้แก่ภาคครัวเรือนเป็นสำคัญ
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งในเดือนกรกฎาคม ปรับสูงขึ้นทั้งอัตราดอกเบี้ย เงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ย4ธนาคารอยู่ที่ร้อยละ 1.19และ 5.75 ต่อปี ตามลำดับ ณ สิ้นเดือนทั้งนี้ในช่วงวันที่ 1-25สิงหาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ได้ปรับสูงขึ้นไปอีก โดยอยู่ที่ระดับร้อยละ 1.38ต่อปี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--