แท็ก
อาเซียน
กรุงเทพฯ--4 พ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
นับตั้งแต่การก่อตั้ง ASEAN เมื่อปี 2510 จนถึงปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าอาเซียนประสบความสำเร็จในการบรรลุถึงเป้าหมายสำคัญๆ และเจตนารมย์ที่กำหนดไว้ในปฏิญญากรุงเทพฯ อย่างน่าพอใจ ทั้งในด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและด้านการพัฒนาความสัมพันธ์กับโลกภายนอก
ความสำเร็จประการหนึ่งน่าจะได้แก่การดำเนินการเพื่อให้ทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันหน้าเข้าหากันและร่วมมือกันมากขึ้นในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งการรวมตัวกันของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนกำลังพัฒนาเป็นรูปเป็นร่างอย่างต่อเนื่องตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม อาเซียนในวัย 33 ปี กำลังประสบกับเงื่อนไขใหม่ๆ หลายประการทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกภูมิภาคซึ่งท้าทายกระบวนการรวมตัวและความเป็นปึกแผ่นของประเทศสมาชิก และบั่นทอนความน่าเชื่อถือและบทบาทขององค์กรอาเซียนด้วย จึงมีความจำเป็นที่ประเทศสมาชิกจะต้องมีความตื่นตัวและให้ความสนใจในการร่วมกันแสวงหาแนวทางในการเผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆเหล่านี้ต่อไป
ความมั่นคงทางการเมืองในภูมิภาค
ภายหลังจากสงครามเย็นยุติลง และการแก้ไขปัญหากัมพูชา สถานการณ์ความมั่นคงทาง การเมืองในภูมิภาคโดยส่วนรวมเริ่มดีขึ้นและยังคงมีแนวโน้มในทางบวกต่อไป โดยประเทศในอินโดจีนได้ เข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนครบทุกประเทศแล้วโดยกัมพูชาเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ 10 เมื่อปี 2542 ส่วนสถานการณ์ในติมอร์ตะวันออกกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ขณะเดียวกัน อาเซียนได้ผลักดันการจัดทำเอกสารแนวทางปฏิบัติระดับภูมิภาคในทะเล จีนใต้ (Regional Code of Conduct on the South China Sea) ระหว่างอาเซียนกับจีนซึ่งจะช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่ประเทศนอกภูมิภาค นอกจากนั้น อาเซียน
ยังคงให้ความสนใจต่อสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี โดยล่าสุด ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้เชิญรมว.กต.เกาหลีเหนือมาเยือนไทยในช่วงการประชุม AMM ครั้งที่ 33 ในเดือนกรกฎาคม 2543 เพื่อจักได้มีโอกาส
สัมผัสกับบรรยากาศของการประชุมและกระบวนการร่วมมือระดับภูมิภาค และมีโอกาสได้พบปะกับประเทศอื่นรวมทั้งประเทศที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับปัญหาในคาบสมุทรเกาหลีด้วย ทั้งนี้ อาเซียนยังคงมีบทบาทนำในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นในเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนาให้เป็นกลไกในการสร้างเสถียรภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และป้องกันมิให้เกิดปัญหาความขัดแย้งใน
ภูมิภาค ทั้งนี้ ยังได้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) เป็นหลักในการดำเนินความสัมพันธ์ในภูมิภาค อีกทั้งได้พยายามเร่งการปฏิบัติตามสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEANWFZ) และโน้มน้าวให้ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์เข้าร่วมในสนธิสัญญาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคยังคงมีความแปรปรวนสืบเนื่องจากปัญหาในทะเลจีนใต้ ความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ตลอดจนปัญหาภายในของบางประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพม่าและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของ
ภูมิภาค ในขณะเดียวกัน อาเซียนยังต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายใหม่ๆ อาทิ ปัญหาข้ามชาติซึ่งทวีความรุ่นแรงมากยิ่งขึ้นและต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในระดับภูมิภาคเพื่อแก้ไขปัญหา
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในอาเซียน
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของอาเซียนเริ่มมีเป้าหมายชัดเจนที่จะนำไปสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาค นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 4 ณ สิงคโปร์ เมื่อปี 2535 มีดำริจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) นับแต่นั้นมากิจกรรมของอาเซียนได้ขยายครอบคลุมไปสู่ทุกสาขาหลักทางเศรษฐกิจ รวมทั้งในด้านการค้าสินค้าและบริการ การลงทุน มาตรฐานอุตสาหกรรมและการเกษตร ทรัพย์สินทางปัญญา การขนส่ง พลังงาน และการเงิน การคลัง เป็นต้น ทั้งนี้ โดยมีการกำหนดทิศทาง
โครงร่างและแผนงานความร่วมมือ ตลอดจนระยะเวลาบรรลุผลที่ชัดเจนภายใต้วิสัยทัศน์อาเซียน ค.ศ. 2020 และแผนปฏิบัติการฮานอย (Hanoi Plan of Action) ซึ่งกำหนดเป้าหมายที่จะให้อาเซียนเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีการไหลเวียนของสินค้า การบริการ และการลงทุนอย่างเสรี พัฒนาการที่สำคัญๆ มีดังนี้
ภายใต้ AFTA มีการร่นระยะเวลาการลดภาษีศุลกากรของ 6 ประเทศสมาชิกดั้งเดิม สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมให้เหลืออัตรา 0-5% ภายในปี ค.ศ. 2002 และ 0% ภายในปี ค.ศ. 2010 และสำหรับสินค้าเกษตรให้เหลือ 0-5% ภายในปี ค.ศ. 2010
มีการเจรจาเปิดเสรีด้านการค้าบริการใน 7 สาขา (การขนส่งทางทะเล การขนส่งทางอากาศ การเงินการคลัง วิชาชีพธุรกิจ การก่อสร้าง โทรคมนาคม และการท่องเที่ยว)เพื่อให้ประเทศสมาชิกเปิดเสรีด้านการบริการมากกว่าที่ผูกพันไว้ในกรอบ WTO ขณะนี้ อาเซียนได้เริ่มเจรจารอบใหม่โดยมี เป้าหมายให้การเปิดเสรีครอบคลุมทุกสาขาการบริการ (รวม 12 สาขา) ภายในปี ค.ศ. 2020
มีการร่นเวลาการจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียน (AIA) จากเดิมปี ค.ศ. 2010 เป็นปี ค.ศ. 2003 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียนที่มีความได้เปรียบและดึงดูดการลงทุนจาก
ภายในและภายนอกภูมิภาค โดยครอบคลุมการลงทุนโดยตรงทั้งหมดยกเว้นการลงทุนด้านหลักทรัพย์ ทั้งนี้ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องเปิดอุตสาหกรรม (Market Access) ในทุกสาขาที่ไม่มีการขอยกเว้นไว้ และให้การปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) แก่นักลงทุนอาเซียน กล่าวคือคนชาติของรัฐสมาชิกหรือนิติบุคคลของรัฐสมาชิก โดยทันทีสำหรับ 7 ประเทศสมาชิก ทั้งนี้ความตกลง AIA มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2542 ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตที่มีการขอยกเว้นชั่วคราว ประเทศสมาชิกจะต้องยกเลิกภายในปี ค.ศ. 2003 มีการกำหนดมาตรการเชื่อมโยงเส้นทางถนนหลวง 23 สาย สนามบินศุลกากร 36 แห่ง และท่าเรือ 46 แห่งทั่วภูมิภาคให้อยู่ในระบบโครงข่ายการขนส่งอาเซียน และจะมีการอนุญาตและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการขนส่งในแต่ละประเทศสามารถดำเนินการขนส่งสินค้าผ่านแดน (Goods in Transit) ทั่วอาเซียนภายในปลายปีนี้ โดยจะขยายไปถึงการขนส่งข้ามแดน (Inter-state Transport) และการขนส่งหลายรูปแบบ (Multi-modal Transport) ด้วยในอนาคตอันใกล้นี้ มีการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรแก่บริษัทต่างๆ ในอาเซียนที่มีการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบ/ส่วนประกอบระหว่างกันเพื่อนำไปผลิตสินค้าสำเร็จรูป/กึ่งสำเร็จรูปตามโครงการความร่วมมือทางอุตสาหกรรม (AICO) แล้ว 40 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการผลิตรถยนต์ของบริษัทญี่ปุ่น
การรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนดังกล่าวข้างต้นมีผลในทางบวกต่อการค้าและการลงทุนอย่างชัดเจน โดยตลาดอาเซียนมีประชากรถึง 500 ล้านคน มีผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) รวมกันประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการค้าภายในภูมิภาคได้ ขยายตัวจาก 44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2536 (ก่อนความตกลง AFTA มีผลบังคับใช้) เป็น 73.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2541 และมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติโดยเฉลี่ยต่อปีได้ขยายตัวเช่นกันจาก 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2529-2534 เป็น 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2536-2540
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน อาทิการรับประเทศสมาชิกใหม่ซึ่งทำให้ตลาดของอาเซียนใหญ่ขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม (two-tier) โดยปริยายเนื่องจากระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันมาก วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินในเอเชียก็ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศสมาชิกและต่อขีดความสามารถในการดำเนินโครงการที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากอีกทั้งถูกใช้เป็นข้ออ้างโดยภาคเอกชนในท้องถิ่นให้มีการชะลอการเปิดเสรีทางการค้าสินค้าและบริการด้วย นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ อาทิ ความพยายามที่จะให้มีการค้ารอบใหม่ในกรอบ WTO การเร่งเปิดเสรีในกรอบ APEC และการที่จีนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญทางการค้าและการลงทุนของอาเซียนล่าสุด มีบางประเทศที่เริ่มขอชะลอการลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าบางรายการในรายการยกเว้นการลดภาษีชั่วคราว (Temporary Exclusion List : TEL) ซึ่งมีกำหนดจะต้องนำเข้าสู่กระบวนการลดภาษีภายในปี ค.ศ. 2000 นี้ และทยอยลดภาษีให้เหลือ 0-5% ภายในปี ค.ศ. 2002 ตามพันธกรณีภายใต้ AFTA แล้ว โดยมาเลเซียขอชะลอการลดภาษีสำหรับสินค้าชุดประกอบรถยนต์ (Completely Knocked-Down: CKD) และรถยนต์ประกอบแล้ว (Completely Built-Unit: CBU) โดยอ้างว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของมาเลเซียได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจจึงต้องมีการปกป้องไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งไทยได้พยายามขอให้มาเลเซียทบทวนท่าทีดังกล่าวมาโดยตลอดเพราะเห็นว่าประเทศสมาชิกควรต้องปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างเคร่งครัดมิฉะนั้นจะเป็นการสร้างกรณีตัวอย่างและส่งผลกระทบต่อภาพพจน์และความน่าเชื่อถือของอาเซียน นอกจากนั้น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้แจ้งว่าจะขอชะลอการลดภาษีสำหรับสินค้าน้ำตาล ซึ่งอยู่ในรายการ TEL โดยจะขอโอนย้ายไปสู่รายการสินค้าอ่อนไหว (sensitive list) แทนซึ่งกำหนดจะต้องเริ่มลดภาษีในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2001-2003 โดยทยอยการลดภาษีให้เหลือ 0-5% ภายในปี ค.ศ. 2010
ความร่วมมือด้านสังคม
ความร่วมมือด้านสังคมของอาเซียนในปัจจุบันมีความหลากหลายมาก รวมถึงการพัฒนาสังคม วัฒนธรรม การศึกษา สาธารณสุข วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วสืบเนื่องจากกระแสโลกาภิวัตน์ กอรปกับค่านิยมของประชาชนทั่วภูมิภาคที่เริ่มมีความคาดหวังในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิขั้นพื้นฐานอื่นๆ มากขึ้น ตลอดจนผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ได้สร้างปัญหาการว่างงานและความยากจนที่ขยายช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากยิ่งขึ้น อาเซียนจึงได้เริ่มให้ความสำคัญลำดับต้นต่อการร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ทิศทางในอนาคต
เพื่อให้ ASEAN สามารถเผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นและในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการเสริมสร้างรากฐานแห่งความร่วมมือของประเทศในภูมิภาคในกรอบอาเซียน อาเซียนจำเป็นต้องผลักดันความร่วมมือในสาขาต่างๆ ให้มีความก้าวหน้าขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของประชาชน จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ ดังนี้
เสริมสร้างบทบาทของเวทีการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกให้เป็นกลไกป้องกันแก้ไขความขัดแย้งในภูมิภาค ตลอดจนพัฒนา บทบาทและการมีส่วนร่วมของอาเซียนในการแก้ไขป้องกันปัญหาหรือสถานการณ์ในภูมิภาคได้อย่างทัน เหตุการณ์ ซึ่งในเรื่องนี้ ไทยได้เสนอให้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ประสานงานอาเซียน (ASEAN Troika) เพื่อเป็นแกนนำในการส่งเสริมให้อาเซียนสามารถเผชิญสิ่งท้าทาย ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที
ผลักดันการรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อขยายการค้าภายใน ภูมิภาคและชักจูงการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ความตกลงทางเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการพิจารณาแนวทางความร่วมมือรูปแบบใหม่ๆ ที่จะใช้เป็นพื้นฐานของความร่วมมืออาเซียนต่อเนื่องจากที่มีการจัดตั้ง AFTA และ AIA แล้วในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งในเรื่องนี้ อาจรวมถึงการเปิดเสรีเต็มรูปแบบสำหรับสินค้าบางรายการที่อาเซียนมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงระดับโลก (ASEAN Product Community) และการเปิดเสรีทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์ภายใน อาเซียน เป็นต้น
เสริมสร้างการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศ/กลุ่มประเทศนอกภูมิภาคเพิ่มเติมจากกรอบ APEC และกับสหภาพยุโรปในกรอบ ASEM โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศในเอเชียตะวันออกในกรอบ ASEAN+3: East Asia Cooperation ซึ่งเป็นดำริจากที่ประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำอาเซียนและผู้นำจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ และการพัฒนาความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ เขตเศรษฐกิจระหว่างออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (CER) และกลุ่มประเทศละตินอเมริกา เป็นต้น
เร่งรัดความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศลุ่มน้ำโขง โดยรณรงค์ให้ช่วงระหว่างปีค.ศ. 2000-2010 เป็นทศวรรษแห่งความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศในลุ่มน้ำโขง เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศสมาชิกใหม่และสนับสนุนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ให้สอดคล้องกับตลาดของอาเซียน ทั้งนี้ โดยระดมความร่วมมือจากประเทศนอกภูมิภาค องค์การระหว่างประเทศและภาคเอกชนด้วย
ร่วมกันเสริมสร้างโครงข่ายรองรับทางสังคม (Social Safety Nets) เพื่อเป็นมาตรการเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมุ้งเน้นการขจัดความยากจน การเพิ่มการจ้างงานที่มีผลผลิตที่สูงขึ้น และการคุ้มครองกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคม ทั้งนี้ โดยระดมความร่วมมือและการสนับสนุนจากต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ และองค์การที่มิใช่ของรัฐบาลด้วย
เร่งกำหนดแผนงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับภูมิภาคที่มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อสามารถปรับตัวเข้ากับวิทยาการสมัยใหม่และสภาพทางเศรษฐกิจตลอดจนความต้องการของภาคธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ โดยการร่วมมือกับประเทศที่สามในลักษณะของความร่วมมือทวิภาคี ความร่วมมือในกรอบเหลี่ยมเศรษฐกิจต่างๆ ตลอดจนความร่วมมือสามเส้า นอกจากนั้น ต้องมีการร่วมมือด้านการศึกษาในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การจัดทำเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (ASEAN University Network) เพื่อเชื่อมโยงมหาวิทยาลัยของ ภูมิภาค และการพิจารณาจัดตั้งมหาวิทยาลัย ASEAN Virtual University เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มของมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยโดยใช้อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีการศึกษาทางไกลอื่นๆ
ตลอด 33 ปี ที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าอาเซียนได้วิวัฒนาการมาจากสภาวะความจำเป็นทางการเมืองเพื่อเป็นเวทีความร่วมมือในการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงให้บังเกิดขึ้นในภูมิภาค โดยต่อมาอีกระยะหนึ่งเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อาเซียนก็ได้มุ่งเน้นความสนใจไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจมากขึ้นโดยมีการจัดตั้ง AFTA เพื่อนำไปสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกในสภาวะที่การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศทวีความรุนแรงขึ้น โดยจนถึงปัจจุบัน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนได้ขยายเพิ่มขึ้นทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก และขณะนี้ อาเซียนได้เริ่มให้ความสนใจมากขึ้นที่จะร่วมมือเพื่อการพัฒนาสังคมและปรับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น และกำลังจะหาทางพัฒนาความร่วมมือในเชิงคุณภาพเพื่อให้ทุกฝ่ายและสังคมทุกระดับมีจิตสำนึกของความเป็นประชาคมอาเซียนมากยิ่งขึ้น โดยให้อาเซียนเป็นองค์กรการที่สามารถเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของประชาชนในภูมิภาคนี้--จบ--
-อน-
นับตั้งแต่การก่อตั้ง ASEAN เมื่อปี 2510 จนถึงปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าอาเซียนประสบความสำเร็จในการบรรลุถึงเป้าหมายสำคัญๆ และเจตนารมย์ที่กำหนดไว้ในปฏิญญากรุงเทพฯ อย่างน่าพอใจ ทั้งในด้านการเมืองและความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมและด้านการพัฒนาความสัมพันธ์กับโลกภายนอก
ความสำเร็จประการหนึ่งน่าจะได้แก่การดำเนินการเพื่อให้ทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันหน้าเข้าหากันและร่วมมือกันมากขึ้นในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งการรวมตัวกันของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนกำลังพัฒนาเป็นรูปเป็นร่างอย่างต่อเนื่องตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม อาเซียนในวัย 33 ปี กำลังประสบกับเงื่อนไขใหม่ๆ หลายประการทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกภูมิภาคซึ่งท้าทายกระบวนการรวมตัวและความเป็นปึกแผ่นของประเทศสมาชิก และบั่นทอนความน่าเชื่อถือและบทบาทขององค์กรอาเซียนด้วย จึงมีความจำเป็นที่ประเทศสมาชิกจะต้องมีความตื่นตัวและให้ความสนใจในการร่วมกันแสวงหาแนวทางในการเผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆเหล่านี้ต่อไป
ความมั่นคงทางการเมืองในภูมิภาค
ภายหลังจากสงครามเย็นยุติลง และการแก้ไขปัญหากัมพูชา สถานการณ์ความมั่นคงทาง การเมืองในภูมิภาคโดยส่วนรวมเริ่มดีขึ้นและยังคงมีแนวโน้มในทางบวกต่อไป โดยประเทศในอินโดจีนได้ เข้าร่วมเป็นสมาชิกอาเซียนครบทุกประเทศแล้วโดยกัมพูชาเข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ 10 เมื่อปี 2542 ส่วนสถานการณ์ในติมอร์ตะวันออกกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ขณะเดียวกัน อาเซียนได้ผลักดันการจัดทำเอกสารแนวทางปฏิบัติระดับภูมิภาคในทะเล จีนใต้ (Regional Code of Conduct on the South China Sea) ระหว่างอาเซียนกับจีนซึ่งจะช่วยสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องรวมทั้งสร้างความมั่นใจให้แก่ประเทศนอกภูมิภาค นอกจากนั้น อาเซียน
ยังคงให้ความสนใจต่อสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี โดยล่าสุด ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการฯ ได้เชิญรมว.กต.เกาหลีเหนือมาเยือนไทยในช่วงการประชุม AMM ครั้งที่ 33 ในเดือนกรกฎาคม 2543 เพื่อจักได้มีโอกาส
สัมผัสกับบรรยากาศของการประชุมและกระบวนการร่วมมือระดับภูมิภาค และมีโอกาสได้พบปะกับประเทศอื่นรวมทั้งประเทศที่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับปัญหาในคาบสมุทรเกาหลีด้วย ทั้งนี้ อาเซียนยังคงมีบทบาทนำในการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นในเอเชีย-แปซิฟิก (ARF) โดยมุ่งหวังที่จะพัฒนาให้เป็นกลไกในการสร้างเสถียรภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และป้องกันมิให้เกิดปัญหาความขัดแย้งใน
ภูมิภาค ทั้งนี้ ยังได้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมให้สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (TAC) เป็นหลักในการดำเนินความสัมพันธ์ในภูมิภาค อีกทั้งได้พยายามเร่งการปฏิบัติตามสนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEANWFZ) และโน้มน้าวให้ประเทศที่มีอาวุธนิวเคลียร์เข้าร่วมในสนธิสัญญาดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคยังคงมีความแปรปรวนสืบเนื่องจากปัญหาในทะเลจีนใต้ ความขัดแย้งในคาบสมุทรเกาหลี ความตึงเครียดระหว่างจีน-ไต้หวัน ตลอดจนปัญหาภายในของบางประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพม่าและอินโดนีเซีย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของ
ภูมิภาค ในขณะเดียวกัน อาเซียนยังต้องเผชิญกับสิ่งท้าทายใหม่ๆ อาทิ ปัญหาข้ามชาติซึ่งทวีความรุ่นแรงมากยิ่งขึ้นและต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมในระดับภูมิภาคเพื่อแก้ไขปัญหา
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในอาเซียน
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจของอาเซียนเริ่มมีเป้าหมายชัดเจนที่จะนำไปสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาค นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 4 ณ สิงคโปร์ เมื่อปี 2535 มีดำริจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) นับแต่นั้นมากิจกรรมของอาเซียนได้ขยายครอบคลุมไปสู่ทุกสาขาหลักทางเศรษฐกิจ รวมทั้งในด้านการค้าสินค้าและบริการ การลงทุน มาตรฐานอุตสาหกรรมและการเกษตร ทรัพย์สินทางปัญญา การขนส่ง พลังงาน และการเงิน การคลัง เป็นต้น ทั้งนี้ โดยมีการกำหนดทิศทาง
โครงร่างและแผนงานความร่วมมือ ตลอดจนระยะเวลาบรรลุผลที่ชัดเจนภายใต้วิสัยทัศน์อาเซียน ค.ศ. 2020 และแผนปฏิบัติการฮานอย (Hanoi Plan of Action) ซึ่งกำหนดเป้าหมายที่จะให้อาเซียนเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีการไหลเวียนของสินค้า การบริการ และการลงทุนอย่างเสรี พัฒนาการที่สำคัญๆ มีดังนี้
ภายใต้ AFTA มีการร่นระยะเวลาการลดภาษีศุลกากรของ 6 ประเทศสมาชิกดั้งเดิม สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมให้เหลืออัตรา 0-5% ภายในปี ค.ศ. 2002 และ 0% ภายในปี ค.ศ. 2010 และสำหรับสินค้าเกษตรให้เหลือ 0-5% ภายในปี ค.ศ. 2010
มีการเจรจาเปิดเสรีด้านการค้าบริการใน 7 สาขา (การขนส่งทางทะเล การขนส่งทางอากาศ การเงินการคลัง วิชาชีพธุรกิจ การก่อสร้าง โทรคมนาคม และการท่องเที่ยว)เพื่อให้ประเทศสมาชิกเปิดเสรีด้านการบริการมากกว่าที่ผูกพันไว้ในกรอบ WTO ขณะนี้ อาเซียนได้เริ่มเจรจารอบใหม่โดยมี เป้าหมายให้การเปิดเสรีครอบคลุมทุกสาขาการบริการ (รวม 12 สาขา) ภายในปี ค.ศ. 2020
มีการร่นเวลาการจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียน (AIA) จากเดิมปี ค.ศ. 2010 เป็นปี ค.ศ. 2003 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียนที่มีความได้เปรียบและดึงดูดการลงทุนจาก
ภายในและภายนอกภูมิภาค โดยครอบคลุมการลงทุนโดยตรงทั้งหมดยกเว้นการลงทุนด้านหลักทรัพย์ ทั้งนี้ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องเปิดอุตสาหกรรม (Market Access) ในทุกสาขาที่ไม่มีการขอยกเว้นไว้ และให้การปฏิบัติเยี่ยงคนชาติ (National Treatment) แก่นักลงทุนอาเซียน กล่าวคือคนชาติของรัฐสมาชิกหรือนิติบุคคลของรัฐสมาชิก โดยทันทีสำหรับ 7 ประเทศสมาชิก ทั้งนี้ความตกลง AIA มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน 2542 ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตที่มีการขอยกเว้นชั่วคราว ประเทศสมาชิกจะต้องยกเลิกภายในปี ค.ศ. 2003 มีการกำหนดมาตรการเชื่อมโยงเส้นทางถนนหลวง 23 สาย สนามบินศุลกากร 36 แห่ง และท่าเรือ 46 แห่งทั่วภูมิภาคให้อยู่ในระบบโครงข่ายการขนส่งอาเซียน และจะมีการอนุญาตและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการขนส่งในแต่ละประเทศสามารถดำเนินการขนส่งสินค้าผ่านแดน (Goods in Transit) ทั่วอาเซียนภายในปลายปีนี้ โดยจะขยายไปถึงการขนส่งข้ามแดน (Inter-state Transport) และการขนส่งหลายรูปแบบ (Multi-modal Transport) ด้วยในอนาคตอันใกล้นี้ มีการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรแก่บริษัทต่างๆ ในอาเซียนที่มีการแลกเปลี่ยนวัตถุดิบ/ส่วนประกอบระหว่างกันเพื่อนำไปผลิตสินค้าสำเร็จรูป/กึ่งสำเร็จรูปตามโครงการความร่วมมือทางอุตสาหกรรม (AICO) แล้ว 40 โครงการ ส่วนใหญ่เป็นโครงการผลิตรถยนต์ของบริษัทญี่ปุ่น
การรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียนดังกล่าวข้างต้นมีผลในทางบวกต่อการค้าและการลงทุนอย่างชัดเจน โดยตลาดอาเซียนมีประชากรถึง 500 ล้านคน มีผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GDP) รวมกันประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนการค้าภายในภูมิภาคได้ ขยายตัวจาก 44 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2536 (ก่อนความตกลง AFTA มีผลบังคับใช้) เป็น 73.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2541 และมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติโดยเฉลี่ยต่อปีได้ขยายตัวเช่นกันจาก 7.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2529-2534 เป็น 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2536-2540
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน อาทิการรับประเทศสมาชิกใหม่ซึ่งทำให้ตลาดของอาเซียนใหญ่ขึ้นแต่ในขณะเดียวกันก็แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม (two-tier) โดยปริยายเนื่องจากระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันมาก วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินในเอเชียก็ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของทุกประเทศสมาชิกและต่อขีดความสามารถในการดำเนินโครงการที่ต้องใช้เงินทุนจำนวนมากอีกทั้งถูกใช้เป็นข้ออ้างโดยภาคเอกชนในท้องถิ่นให้มีการชะลอการเปิดเสรีทางการค้าสินค้าและบริการด้วย นอกจากนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ อาทิ ความพยายามที่จะให้มีการค้ารอบใหม่ในกรอบ WTO การเร่งเปิดเสรีในกรอบ APEC และการที่จีนกลายเป็นคู่แข่งสำคัญทางการค้าและการลงทุนของอาเซียนล่าสุด มีบางประเทศที่เริ่มขอชะลอการลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าบางรายการในรายการยกเว้นการลดภาษีชั่วคราว (Temporary Exclusion List : TEL) ซึ่งมีกำหนดจะต้องนำเข้าสู่กระบวนการลดภาษีภายในปี ค.ศ. 2000 นี้ และทยอยลดภาษีให้เหลือ 0-5% ภายในปี ค.ศ. 2002 ตามพันธกรณีภายใต้ AFTA แล้ว โดยมาเลเซียขอชะลอการลดภาษีสำหรับสินค้าชุดประกอบรถยนต์ (Completely Knocked-Down: CKD) และรถยนต์ประกอบแล้ว (Completely Built-Unit: CBU) โดยอ้างว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ของมาเลเซียได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจจึงต้องมีการปกป้องไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งไทยได้พยายามขอให้มาเลเซียทบทวนท่าทีดังกล่าวมาโดยตลอดเพราะเห็นว่าประเทศสมาชิกควรต้องปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างเคร่งครัดมิฉะนั้นจะเป็นการสร้างกรณีตัวอย่างและส่งผลกระทบต่อภาพพจน์และความน่าเชื่อถือของอาเซียน นอกจากนั้น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ได้แจ้งว่าจะขอชะลอการลดภาษีสำหรับสินค้าน้ำตาล ซึ่งอยู่ในรายการ TEL โดยจะขอโอนย้ายไปสู่รายการสินค้าอ่อนไหว (sensitive list) แทนซึ่งกำหนดจะต้องเริ่มลดภาษีในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 2001-2003 โดยทยอยการลดภาษีให้เหลือ 0-5% ภายในปี ค.ศ. 2010
ความร่วมมือด้านสังคม
ความร่วมมือด้านสังคมของอาเซียนในปัจจุบันมีความหลากหลายมาก รวมถึงการพัฒนาสังคม วัฒนธรรม การศึกษา สาธารณสุข วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วสืบเนื่องจากกระแสโลกาภิวัตน์ กอรปกับค่านิยมของประชาชนทั่วภูมิภาคที่เริ่มมีความคาดหวังในเรื่องประชาธิปไตยและสิทธิขั้นพื้นฐานอื่นๆ มากขึ้น ตลอดจนผลกระทบจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ได้สร้างปัญหาการว่างงานและความยากจนที่ขยายช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมากยิ่งขึ้น อาเซียนจึงได้เริ่มให้ความสำคัญลำดับต้นต่อการร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางสังคมและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ทิศทางในอนาคต
เพื่อให้ ASEAN สามารถเผชิญกับสิ่งท้าทายต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นและในขณะเดียวกันเพื่อเป็นการเสริมสร้างรากฐานแห่งความร่วมมือของประเทศในภูมิภาคในกรอบอาเซียน อาเซียนจำเป็นต้องผลักดันความร่วมมือในสาขาต่างๆ ให้มีความก้าวหน้าขึ้นและตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของประชาชน จึงได้ให้ความสำคัญในเรื่องต่างๆ ดังนี้
เสริมสร้างบทบาทของเวทีการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกให้เป็นกลไกป้องกันแก้ไขความขัดแย้งในภูมิภาค ตลอดจนพัฒนา บทบาทและการมีส่วนร่วมของอาเซียนในการแก้ไขป้องกันปัญหาหรือสถานการณ์ในภูมิภาคได้อย่างทัน เหตุการณ์ ซึ่งในเรื่องนี้ ไทยได้เสนอให้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ประสานงานอาเซียน (ASEAN Troika) เพื่อเป็นแกนนำในการส่งเสริมให้อาเซียนสามารถเผชิญสิ่งท้าทาย ต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที
ผลักดันการรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อขยายการค้าภายใน ภูมิภาคและชักจูงการลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งหมายความว่าจะต้องมีการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้ความตกลงทางเศรษฐกิจของอาเซียนอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการพิจารณาแนวทางความร่วมมือรูปแบบใหม่ๆ ที่จะใช้เป็นพื้นฐานของความร่วมมืออาเซียนต่อเนื่องจากที่มีการจัดตั้ง AFTA และ AIA แล้วในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งในเรื่องนี้ อาจรวมถึงการเปิดเสรีเต็มรูปแบบสำหรับสินค้าบางรายการที่อาเซียนมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงระดับโลก (ASEAN Product Community) และการเปิดเสรีทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิคส์ภายใน อาเซียน เป็นต้น
เสริมสร้างการเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศ/กลุ่มประเทศนอกภูมิภาคเพิ่มเติมจากกรอบ APEC และกับสหภาพยุโรปในกรอบ ASEM โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศในเอเชียตะวันออกในกรอบ ASEAN+3: East Asia Cooperation ซึ่งเป็นดำริจากที่ประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำอาเซียนและผู้นำจีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ และการพัฒนาความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจอื่นๆ อาทิ เขตเศรษฐกิจระหว่างออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (CER) และกลุ่มประเทศละตินอเมริกา เป็นต้น
เร่งรัดความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศลุ่มน้ำโขง โดยรณรงค์ให้ช่วงระหว่างปีค.ศ. 2000-2010 เป็นทศวรรษแห่งความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจในประเทศในลุ่มน้ำโขง เพื่อยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศสมาชิกใหม่และสนับสนุนการรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ให้สอดคล้องกับตลาดของอาเซียน ทั้งนี้ โดยระดมความร่วมมือจากประเทศนอกภูมิภาค องค์การระหว่างประเทศและภาคเอกชนด้วย
ร่วมกันเสริมสร้างโครงข่ายรองรับทางสังคม (Social Safety Nets) เพื่อเป็นมาตรการเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมุ้งเน้นการขจัดความยากจน การเพิ่มการจ้างงานที่มีผลผลิตที่สูงขึ้น และการคุ้มครองกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในสังคม ทั้งนี้ โดยระดมความร่วมมือและการสนับสนุนจากต่างประเทศ องค์การระหว่างประเทศ และองค์การที่มิใช่ของรัฐบาลด้วย
เร่งกำหนดแผนงานความร่วมมือเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับภูมิภาคที่มุ่งเน้นการพัฒนาขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์เพื่อสามารถปรับตัวเข้ากับวิทยาการสมัยใหม่และสภาพทางเศรษฐกิจตลอดจนความต้องการของภาคธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ โดยการร่วมมือกับประเทศที่สามในลักษณะของความร่วมมือทวิภาคี ความร่วมมือในกรอบเหลี่ยมเศรษฐกิจต่างๆ ตลอดจนความร่วมมือสามเส้า นอกจากนั้น ต้องมีการร่วมมือด้านการศึกษาในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การจัดทำเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน (ASEAN University Network) เพื่อเชื่อมโยงมหาวิทยาลัยของ ภูมิภาค และการพิจารณาจัดตั้งมหาวิทยาลัย ASEAN Virtual University เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มของมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยโดยใช้อินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีการศึกษาทางไกลอื่นๆ
ตลอด 33 ปี ที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าอาเซียนได้วิวัฒนาการมาจากสภาวะความจำเป็นทางการเมืองเพื่อเป็นเวทีความร่วมมือในการเสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงให้บังเกิดขึ้นในภูมิภาค โดยต่อมาอีกระยะหนึ่งเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองและความมั่นคงเริ่มพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น อาเซียนก็ได้มุ่งเน้นความสนใจไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจมากขึ้นโดยมีการจัดตั้ง AFTA เพื่อนำไปสู่การรวมตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกในสภาวะที่การแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศทวีความรุนแรงขึ้น โดยจนถึงปัจจุบัน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนได้ขยายเพิ่มขึ้นทั้งในเชิงกว้างและเชิงลึก และขณะนี้ อาเซียนได้เริ่มให้ความสนใจมากขึ้นที่จะร่วมมือเพื่อการพัฒนาสังคมและปรับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น และกำลังจะหาทางพัฒนาความร่วมมือในเชิงคุณภาพเพื่อให้ทุกฝ่ายและสังคมทุกระดับมีจิตสำนึกของความเป็นประชาคมอาเซียนมากยิ่งขึ้น โดยให้อาเซียนเป็นองค์กรการที่สามารถเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของประชาชนในภูมิภาคนี้--จบ--
-อน-