กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
ในโอกาสที่ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าว ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบคำถามสื่อมวลชน สรุปได้ดังนี้
สื่อมวลชน: การที่ปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ จะมีผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศเชิงรุกหรือไม่ และงานในส่วนของรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ จะดำเนินการอย่างไร
รมว. กต.: ต้องทำงานหนักขึ้น และจากการหารือในเรื่องนี้ คงจะแก้ปัญหาไปได้ตามความเหมาะสม บางเรื่องปลัดกระทรวงการต่างประเทศจะรับหน้าที่แทน นอกจากนี้ ดร. ประชา คุณะเกษม อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาที่เป็นตำแหน่งทางการเมือง และ ดร.ลลิตา ฤกษ์สำราญ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งทั้งสองท่านนี้จะมี บทบาทที่จะช่วยเหลืองานต่างๆ ของผมได้ โดยจะร่วมกันทำงานเป็นทีม
สื่อมวลชน: ตามที่มีข้อเสนอให้ประเทศไทยมีบทบาทเป็นผู้นำในกระบวนการสร้างสันติภาพ ตลอดจนเป็นผู้ริเริ่มในเรื่องการลดการสะสมอาวุธในภูมิภาคนี้ ท่านมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร
รมว.กต.: เรื่องการไม่เเข่งขันการสะสมอาวุธถือเป็นทิศทางที่ถูกต้องอยู่แล้ว และการที่ รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาสนับสนุนกระบวนการสร้างสันติภาพ และพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินงานสร้างสันติภาพภายใต้กรอบของสหประชาชาติ ก็ถือเป็นเรื่องชัดเจนอยู่แล้วว่า ประเทศไทยไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งทางอาวุธเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ รวมทั้งถ้ามีสิ่งใดที่ประเทศไทยสามารถส่งเสริมให้เกิดกระบวนการสันติภาพได้ ก็ยินดีและพร้อมที่จะกระทำ นอกจากนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนการรักษาสันติภาพในติมอร์ตะวันออกต่อไปด้วย สื่อมวลชน: ขอทราบนโยบายต่างประเทศของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกับพม่าซึ่งกำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้
รมว.กต.: ประเทศไทยจะต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกันเป็นพันๆ กิโลเมตร ความสัมพันธ์ย่อมขลุกขลักได้เป็นครั้งคราว ประเทศไทยมีนโยบายที่จะไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน และไม่ยินยอมให้กลุ่มใดเข้ามาใช้ดินแดนไทยเพื่อต่อต้าน หรือสร้างปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านของเรา แต่ขณะเดียวกันหากปัญหาภายในของพม่ามีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของไทย ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าไปดูแล โดยฝ่ายกองทัพจะตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย และบูรณะภาพแห่งดินแดน และกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับกระทรวงกลาโหมเพื่อสนับสนุนให้มีการใช้กลไกการเจรจาทั้งในกรอบของ Township Border Committee (TBC) และ Regional Border Committee (RBC) โดยขณะนี้ได้รับรายงานว่า ได้มีการเปิดเจรจาในกรอบ TBC ขึ้นใหม่ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี นอกจากนี้ ประเทศไทยยินดีต่อกระบวนการที่นำไปสู่ความปรองดองแห่งชาติของพม่า และหากมีสิ่งใดที่ประเทศไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำให้กระบวนการดังกล่าวราบรื่น และเป็นรูปธรรมขึ้น ประเทศไทยก็พร้อมที่จะดำเนินการ
สื่อมวลชน: ท่านมีข้อเสนอแนะอย่างใดบ้างต่ออาเซียนทรอยก้า ซึ่งได้รับการเห็นชอบเมื่อปีที่แล้ว และควรใช้กลไกอาเซียนทรอยก้าในการแก้ปัญหาในภูมิภาคที่กำลังเกิดขึ้นหรือไม่ และท่านคิดว่า ในปัจจุบันประเทศใดในกลุ่มอาเซียนควรเป็นผู้นำ นอกเหนือจากประเทศไทย
รมว. กต.: อาเซียนทรอยก้าเป็นกลไกชนิดหนึ่งในหลายกลไกในการระงับข้อพิพาท แต่ว่าเวลานี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กลไกอาเซียนทรอยก้า เพราะยังมิได้เป็นความขัดแย้งระดับประเทศ หากพูดถึงกรณีไทย-พม่าซึ่งเกิดจากปัญหาภายในของพม่าที่มีผลกระทบต่อชีวิตของคนไทยที่ชายแดน ดังนั้น เมื่อเป็นปัญหาในระดับชายแดน ก็ควรแก้ปัญหาด้วยกลไกในระดับชายแดนเช่นกัน ส่วนประเด็นที่สองนั้น คงไม่มีใครเป็นผู้นำใคร แต่ถ้าในเรื่องใดที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลักดันอาเซียนให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความร่วมมือด้านสันติภาพ หรือเขตการค้าเสรีอาเซียนก็ดี ประเทศไทยก็พร้อมที่จะมีส่วนร่วม
สื่อมวลชน: อยากทราบว่าจะมีการเยือนในระดับสูงระหว่างรัฐบาลไทยกับพม่าหรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไรกับปัญหาพรมแดนไทย-พม่า ซึ่งเจรจาไปได้ประมาณ 60 กิโลเมตรจากทั้งหมดกว่า 2,400 กิโลเมตร
รมว. กต.: การแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนของหน่วยราชการ หรือภาคเอกชนก็ดี กับฝ่ายพม่านั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้อยู่แล้ว แต่การเยือนในระดับสูงต้องดูความเหมาะสมของสถานการณ์ ในช่วงที่ผ่านมา ผมได้กล่าวแล้วว่า ยังไม่มีแผนการจะไปเยือนพม่า เนื่องจากต้องดูความเหมาะสม ตลอดจนสถานการณ์การเจรจาที่ชายแดนเสียก่อน สำหรับปัญหาการปักปันเขตแดนไทย-พม่า ผมได้เรียนอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายแล้วว่า ต้องเร่งมือเพิ่มเติม แต่ก็เป็นธรรมดาที่การเจรจาเกี่ยวกับเรื่องชายแดนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีประเทศใดกระทำได้เสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว
สื่อมวลชน: ในฐานะที่เป็นประเทศพุทธ ไทยจะมีท่าทีหรือบทบาทอย่างไรต่อกรณีที่กลุ่มทาลิบันจะทำลายพระพุทธรูปที่เป็นมรดกโบราณของโลก รมว. กต.: กระทรวงการต่างประเทศถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก และไทยไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว โดยกระทรวงฯ ขอความร่วมมือไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน (ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกลุ่มทาลิบัน) UNESCO และเลขาธิการสหประชาชาติ ผมขอเรียนผ่านสื่อมวลชนในที่นี้ด้วยว่าขอให้พิจารณาการกระทำดังกล่าวให้รอบคอบ เพราะกระทบกระเทือนจิตใจของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก และอาจนำไปสู่การกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
สื่อมวลชน: ท่านมองบทบาทของอาเซียนอย่างไร
รมว. กต.: อาเซียนจะมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้น โดยอาเซียนจะต้องขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียให้ได้มากที่สุด นอกเหนือจากความพยายามในการรักษาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนให้คงไว้ ดังนั้นผมจึงให้ความสำคัญกับนโยบายมองตะวันตก (Look West Policy) และการเชื่อมโยงระหว่างประเทศในเอเชียใต้ กับกลุ่มประเทศในอาเซียน
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : [email protected] (ยังมีต่อ)
-อน-
ในโอกาสที่ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้แถลงข่าว ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบคำถามสื่อมวลชน สรุปได้ดังนี้
สื่อมวลชน: การที่ปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ จะมีผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศเชิงรุกหรือไม่ และงานในส่วนของรัฐมนตรีช่วยว่าการฯ จะดำเนินการอย่างไร
รมว. กต.: ต้องทำงานหนักขึ้น และจากการหารือในเรื่องนี้ คงจะแก้ปัญหาไปได้ตามความเหมาะสม บางเรื่องปลัดกระทรวงการต่างประเทศจะรับหน้าที่แทน นอกจากนี้ ดร. ประชา คุณะเกษม อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ จะรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาที่เป็นตำแหน่งทางการเมือง และ ดร.ลลิตา ฤกษ์สำราญ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งทั้งสองท่านนี้จะมี บทบาทที่จะช่วยเหลืองานต่างๆ ของผมได้ โดยจะร่วมกันทำงานเป็นทีม
สื่อมวลชน: ตามที่มีข้อเสนอให้ประเทศไทยมีบทบาทเป็นผู้นำในกระบวนการสร้างสันติภาพ ตลอดจนเป็นผู้ริเริ่มในเรื่องการลดการสะสมอาวุธในภูมิภาคนี้ ท่านมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร
รมว.กต.: เรื่องการไม่เเข่งขันการสะสมอาวุธถือเป็นทิศทางที่ถูกต้องอยู่แล้ว และการที่ รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาสนับสนุนกระบวนการสร้างสันติภาพ และพร้อมที่จะสนับสนุนการดำเนินงานสร้างสันติภาพภายใต้กรอบของสหประชาชาติ ก็ถือเป็นเรื่องชัดเจนอยู่แล้วว่า ประเทศไทยไม่ต้องการเห็นความขัดแย้งทางอาวุธเกิดขึ้นในภูมิภาคนี้ รวมทั้งถ้ามีสิ่งใดที่ประเทศไทยสามารถส่งเสริมให้เกิดกระบวนการสันติภาพได้ ก็ยินดีและพร้อมที่จะกระทำ นอกจากนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนการรักษาสันติภาพในติมอร์ตะวันออกต่อไปด้วย สื่อมวลชน: ขอทราบนโยบายต่างประเทศของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกับพม่าซึ่งกำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้
รมว.กต.: ประเทศไทยจะต้องมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างไรก็ตาม ประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกันเป็นพันๆ กิโลเมตร ความสัมพันธ์ย่อมขลุกขลักได้เป็นครั้งคราว ประเทศไทยมีนโยบายที่จะไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน และไม่ยินยอมให้กลุ่มใดเข้ามาใช้ดินแดนไทยเพื่อต่อต้าน หรือสร้างปัญหากับประเทศเพื่อนบ้านของเรา แต่ขณะเดียวกันหากปัญหาภายในของพม่ามีผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของไทย ก็เป็นเรื่องที่ต้องเข้าไปดูแล โดยฝ่ายกองทัพจะตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตย และบูรณะภาพแห่งดินแดน และกระทรวงการต่างประเทศได้ประสานกับกระทรวงกลาโหมเพื่อสนับสนุนให้มีการใช้กลไกการเจรจาทั้งในกรอบของ Township Border Committee (TBC) และ Regional Border Committee (RBC) โดยขณะนี้ได้รับรายงานว่า ได้มีการเปิดเจรจาในกรอบ TBC ขึ้นใหม่ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี นอกจากนี้ ประเทศไทยยินดีต่อกระบวนการที่นำไปสู่ความปรองดองแห่งชาติของพม่า และหากมีสิ่งใดที่ประเทศไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำให้กระบวนการดังกล่าวราบรื่น และเป็นรูปธรรมขึ้น ประเทศไทยก็พร้อมที่จะดำเนินการ
สื่อมวลชน: ท่านมีข้อเสนอแนะอย่างใดบ้างต่ออาเซียนทรอยก้า ซึ่งได้รับการเห็นชอบเมื่อปีที่แล้ว และควรใช้กลไกอาเซียนทรอยก้าในการแก้ปัญหาในภูมิภาคที่กำลังเกิดขึ้นหรือไม่ และท่านคิดว่า ในปัจจุบันประเทศใดในกลุ่มอาเซียนควรเป็นผู้นำ นอกเหนือจากประเทศไทย
รมว. กต.: อาเซียนทรอยก้าเป็นกลไกชนิดหนึ่งในหลายกลไกในการระงับข้อพิพาท แต่ว่าเวลานี้ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้กลไกอาเซียนทรอยก้า เพราะยังมิได้เป็นความขัดแย้งระดับประเทศ หากพูดถึงกรณีไทย-พม่าซึ่งเกิดจากปัญหาภายในของพม่าที่มีผลกระทบต่อชีวิตของคนไทยที่ชายแดน ดังนั้น เมื่อเป็นปัญหาในระดับชายแดน ก็ควรแก้ปัญหาด้วยกลไกในระดับชายแดนเช่นกัน ส่วนประเด็นที่สองนั้น คงไม่มีใครเป็นผู้นำใคร แต่ถ้าในเรื่องใดที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลักดันอาเซียนให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความร่วมมือด้านสันติภาพ หรือเขตการค้าเสรีอาเซียนก็ดี ประเทศไทยก็พร้อมที่จะมีส่วนร่วม
สื่อมวลชน: อยากทราบว่าจะมีการเยือนในระดับสูงระหว่างรัฐบาลไทยกับพม่าหรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไรกับปัญหาพรมแดนไทย-พม่า ซึ่งเจรจาไปได้ประมาณ 60 กิโลเมตรจากทั้งหมดกว่า 2,400 กิโลเมตร
รมว. กต.: การแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนของหน่วยราชการ หรือภาคเอกชนก็ดี กับฝ่ายพม่านั้น เป็นสิ่งที่กระทำได้อยู่แล้ว แต่การเยือนในระดับสูงต้องดูความเหมาะสมของสถานการณ์ ในช่วงที่ผ่านมา ผมได้กล่าวแล้วว่า ยังไม่มีแผนการจะไปเยือนพม่า เนื่องจากต้องดูความเหมาะสม ตลอดจนสถานการณ์การเจรจาที่ชายแดนเสียก่อน สำหรับปัญหาการปักปันเขตแดนไทย-พม่า ผมได้เรียนอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมายแล้วว่า ต้องเร่งมือเพิ่มเติม แต่ก็เป็นธรรมดาที่การเจรจาเกี่ยวกับเรื่องชายแดนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีประเทศใดกระทำได้เสร็จภายในเวลาอันรวดเร็ว
สื่อมวลชน: ในฐานะที่เป็นประเทศพุทธ ไทยจะมีท่าทีหรือบทบาทอย่างไรต่อกรณีที่กลุ่มทาลิบันจะทำลายพระพุทธรูปที่เป็นมรดกโบราณของโลก รมว. กต.: กระทรวงการต่างประเทศถือว่าเรื่องนี้มีความสำคัญมาก และไทยไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว โดยกระทรวงฯ ขอความร่วมมือไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถาน (ซึ่งมีความสัมพันธ์กับกลุ่มทาลิบัน) UNESCO และเลขาธิการสหประชาชาติ ผมขอเรียนผ่านสื่อมวลชนในที่นี้ด้วยว่าขอให้พิจารณาการกระทำดังกล่าวให้รอบคอบ เพราะกระทบกระเทือนจิตใจของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก และอาจนำไปสู่การกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้
สื่อมวลชน: ท่านมองบทบาทของอาเซียนอย่างไร
รมว. กต.: อาเซียนจะมีบทบาทที่สำคัญมากขึ้น โดยอาเซียนจะต้องขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียให้ได้มากที่สุด นอกเหนือจากความพยายามในการรักษาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนให้คงไว้ ดังนั้นผมจึงให้ความสำคัญกับนโยบายมองตะวันตก (Look West Policy) และการเชื่อมโยงระหว่างประเทศในเอเชียใต้ กับกลุ่มประเทศในอาเซียน
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : [email protected] (ยังมีต่อ)
-อน-