1. สภาพคล่องและอัตราดอกเบี้ย
สภาพคล่องระบบการเงินโดยรวมในเดือนพฤษภาคมทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจาก ช่วงปลายเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องถึงต้นเดือนมิถุนายน สภาพคล่องระบบการเงินปรับลดลงชั่วคราว จากการที่ภาคธุรกิจเอกชนนำส่งภาษีรายได้นิติบุคคล งวดประจำปีให้กับภาครัฐ จำนวนประมาณ 30-35 พันล้านบาท
ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ธนาคารพาณิชย์ไทยลดการให้กู้ยืมในตลาดซื้อคืนพันธบัตร ขณะที่สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีความต้องการกู้ยืมเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงสภาพคล่องระบบ การเงินที่ลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ 4 แห่งทรงตัว อยู่ในระดับเดียวกับเดือนก่อนหน้า (ทรงตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5)
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงตามแนวโน้มเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราเฉลี่ย 5 ปี ก่อนช่วงวิกฤตมากขึ้น
สภาพคล่องของระบบการเงิน ในเดือนพฤษภาคมทรงตัวอยู่ในระดับสูง ต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนก่อน โดยที่ สภาพคล่องระบบการเงินได้ปรับลดลง ชั่วคราวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมต่อเนื่อง ถึงต้นเดือนมิถุนายน เนื่องจาก ภาคธุรกิจเอกชน นำส่งภาษีรายได้นิติบุคคลงวดประจำปีให้แก่ภาครัฐจำนวนประมาณ 30-35 พันล้านบาท
อัตราดอกเบี้ยตลาดเงิน ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคาร (interbank rate) ลดลงเล็กน้อยจากเฉลี่ยร้อยละ 1.98 ต่อปีในเดือนเมษายน เป็นร้อยละ 1.79 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม และเป็นร้อยละ 1.69 ต่อปี ณ วันที่ 26 มิถุนายน สำหรับอัตรา ดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรอายุ 1 วัน และ 14 วันล่าสุด (26 มิถุนายน) อยู่ที่อัตราร้อยละ 0.94 และ 1.5 ต่อปีตามลำดับ
อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ ทรงตัว โดยอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR และเงินฝากประจำ 3 เดือนของ 4 ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ยังคงอยู่ที่อัตราร้อยละ 8.0-8.25 และ 3.5 ต่อปีตามลำดับ ในเดือนพฤษภาคม โดยทรงตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
2. เงินฝากและสินเชื่อธนาคารพาณิชย์
เงินฝากในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 12.5 พันล้านบาทจากเดือนเมษายน คิดเป็นอัตราเพิ่ม ร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน แต่เงินฝากลดลงร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยไม่จูงใจผู้ฝาก และภาคเอกชน มีการออกตราสารหนี้เพิ่มขึ้น
สินเชื่อ non-BIBF ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 27.5 พันล้านบาทจากเดือนเมษายน ในขณะที่สินเชื่อ BIBF ค่อนข้างทรงตัว ทำให้อัตราการขยายตัวของสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากเดือนเมษายน และลดลงร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ปรับตัว ดีขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 3.6 ในเดือนเมษายน
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 12.5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดือนเมษายน ขณะที่ลดลง 50 พันล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงไม่ จูงใจผู้ฝาก และภาคเอกชนออกตราสารหนี้ที่เสนออัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้น
สำหรับสินเชื่อที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ (non-BIBF) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งมีอัตราลดลงร้อยละ 0.5 ต่อปี
ในส่วนของ สินเชื่อกิจการวิเทศ ธนกิจ (แปลงเป็นบาทด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ณ 30 มิ.ย. 40) ลดลงร้อยละ 34.3 ต่อปี เทียบกับเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 35.7 ต่อปี
โดยภาพรวมแล้ว สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ ที่คำนวณสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ลดลงร้อยละ 2.8 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 3.6 ต่อปี และที่คำนวณด้วยอัตราตลาด ลดลง ร้อยละ 3.7 ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 4.7 ต่อปี
3. ฐานเงินและปริมาณเงิน
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม มียอดคงค้างลดลง 27 พันล้านบาทจากเดือนเมษายน เนื่องจากการลดลงของเงินสดในมือภาคเอกชนและเงินฝากสถาบันการเงินที่ธปท.
ปัจจัยด้านอุปทานที่ทำให้ฐานเงินลดลง คือการที่ภาคเอกชนนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล งวดประจำปีให้กับภาครัฐ
ปริมาณเงิน M2A ในเดือนพฤษภาคม ยังคงมีการขยายตัวในอัตราต่ำ
ฐานเงิน ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 4.6 ต่อปี โดยมี ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนเป็นจำนวน 20 พันล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ฐานเงินมียอดคงค้างลดลง 27 พันล้านบาท เนื่องจากการลดลงของ เงินสดในมือภาคเอกชนและการลดลงของเงินฝากสถาบันการเงินที่ธปท.
ปัจจัยด้านอุปทานที่ทำให้ฐานเงิน ลดลงที่สำคัญ ได้แก่ การที่ภาคเอกชนนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดประจำปีให้แก่ ภาครัฐ ส่งผลให้สินเชื่อสุทธิที่ให้กับภาครัฐลดลง อย่างไรก็ตาม ธปท.ปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร เพิ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ระบบการเงิน ทำให้สินเชื่อสุทธิที่ให้กับสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่ง
ปริมาณเงิน M2A เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.1 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม โดยมี ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนประมาณ 3 พันล้านบาท แต่ลดลงประมาณ 2 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ตามการลดลงของเงินสดในมือประชาชนเป็นสำคัญ ขณะที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
สภาพคล่องระบบการเงินโดยรวมในเดือนพฤษภาคมทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจาก ช่วงปลายเดือนเมษายน อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องถึงต้นเดือนมิถุนายน สภาพคล่องระบบการเงินปรับลดลงชั่วคราว จากการที่ภาคธุรกิจเอกชนนำส่งภาษีรายได้นิติบุคคล งวดประจำปีให้กับภาครัฐ จำนวนประมาณ 30-35 พันล้านบาท
ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม ธนาคารพาณิชย์ไทยลดการให้กู้ยืมในตลาดซื้อคืนพันธบัตร ขณะที่สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศมีความต้องการกู้ยืมเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงสภาพคล่องระบบ การเงินที่ลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ 4 แห่งทรงตัว อยู่ในระดับเดียวกับเดือนก่อนหน้า (ทรงตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5)
อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงลดลงตามแนวโน้มเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมที่แท้จริงอยู่ในระดับต่ำกว่าอัตราเฉลี่ย 5 ปี ก่อนช่วงวิกฤตมากขึ้น
สภาพคล่องของระบบการเงิน ในเดือนพฤษภาคมทรงตัวอยู่ในระดับสูง ต่อเนื่องจากช่วงปลายเดือนก่อน โดยที่ สภาพคล่องระบบการเงินได้ปรับลดลง ชั่วคราวในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมต่อเนื่อง ถึงต้นเดือนมิถุนายน เนื่องจาก ภาคธุรกิจเอกชน นำส่งภาษีรายได้นิติบุคคลงวดประจำปีให้แก่ภาครัฐจำนวนประมาณ 30-35 พันล้านบาท
อัตราดอกเบี้ยตลาดเงิน ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคาร (interbank rate) ลดลงเล็กน้อยจากเฉลี่ยร้อยละ 1.98 ต่อปีในเดือนเมษายน เป็นร้อยละ 1.79 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม และเป็นร้อยละ 1.69 ต่อปี ณ วันที่ 26 มิถุนายน สำหรับอัตรา ดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตรอายุ 1 วัน และ 14 วันล่าสุด (26 มิถุนายน) อยู่ที่อัตราร้อยละ 0.94 และ 1.5 ต่อปีตามลำดับ
อัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ ทรงตัว โดยอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืม MLR และเงินฝากประจำ 3 เดือนของ 4 ธนาคารพาณิชย์ไทยขนาดใหญ่ยังคงอยู่ที่อัตราร้อยละ 8.0-8.25 และ 3.5 ต่อปีตามลำดับ ในเดือนพฤษภาคม โดยทรงตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
2. เงินฝากและสินเชื่อธนาคารพาณิชย์
เงินฝากในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 12.5 พันล้านบาทจากเดือนเมษายน คิดเป็นอัตราเพิ่ม ร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับเดือนเมษายน แต่เงินฝากลดลงร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยไม่จูงใจผู้ฝาก และภาคเอกชน มีการออกตราสารหนี้เพิ่มขึ้น
สินเชื่อ non-BIBF ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 27.5 พันล้านบาทจากเดือนเมษายน ในขณะที่สินเชื่อ BIBF ค่อนข้างทรงตัว ทำให้อัตราการขยายตัวของสินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากเดือนเมษายน และลดลงร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ปรับตัว ดีขึ้นจากที่ลดลงร้อยละ 3.6 ในเดือนเมษายน
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 12.5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดือนเมษายน ขณะที่ลดลง 50 พันล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจาก อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงไม่ จูงใจผู้ฝาก และภาคเอกชนออกตราสารหนี้ที่เสนออัตราผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มขึ้น
สำหรับสินเชื่อที่ไม่ใช่กิจการวิเทศธนกิจ (non-BIBF) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ซึ่งมีอัตราลดลงร้อยละ 0.5 ต่อปี
ในส่วนของ สินเชื่อกิจการวิเทศ ธนกิจ (แปลงเป็นบาทด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ณ 30 มิ.ย. 40) ลดลงร้อยละ 34.3 ต่อปี เทียบกับเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 35.7 ต่อปี
โดยภาพรวมแล้ว สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ ที่คำนวณสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ลดลงร้อยละ 2.8 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 3.6 ต่อปี และที่คำนวณด้วยอัตราตลาด ลดลง ร้อยละ 3.7 ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่ลดลงร้อยละ 4.7 ต่อปี
3. ฐานเงินและปริมาณเงิน
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม มียอดคงค้างลดลง 27 พันล้านบาทจากเดือนเมษายน เนื่องจากการลดลงของเงินสดในมือภาคเอกชนและเงินฝากสถาบันการเงินที่ธปท.
ปัจจัยด้านอุปทานที่ทำให้ฐานเงินลดลง คือการที่ภาคเอกชนนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคล งวดประจำปีให้กับภาครัฐ
ปริมาณเงิน M2A ในเดือนพฤษภาคม ยังคงมีการขยายตัวในอัตราต่ำ
ฐานเงิน ในเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 4.6 ต่อปี โดยมี ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนเป็นจำนวน 20 พันล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ฐานเงินมียอดคงค้างลดลง 27 พันล้านบาท เนื่องจากการลดลงของ เงินสดในมือภาคเอกชนและการลดลงของเงินฝากสถาบันการเงินที่ธปท.
ปัจจัยด้านอุปทานที่ทำให้ฐานเงิน ลดลงที่สำคัญ ได้แก่ การที่ภาคเอกชนนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลงวดประจำปีให้แก่ ภาครัฐ ส่งผลให้สินเชื่อสุทธิที่ให้กับภาครัฐลดลง อย่างไรก็ตาม ธปท.ปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร เพิ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ระบบการเงิน ทำให้สินเชื่อสุทธิที่ให้กับสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นจำนวนหนึ่ง
ปริมาณเงิน M2A เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.1 ต่อปีในเดือนพฤษภาคม โดยมี ยอดคงค้างเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนประมาณ 3 พันล้านบาท แต่ลดลงประมาณ 2 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ตามการลดลงของเงินสดในมือประชาชนเป็นสำคัญ ขณะที่เงินฝากธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-