1. เศรษฐกิจไทยในปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5.25-6.25 ในขณะที่ปี 2547 GDPไทยขยายตัวที่ประมาณร้อยละ 6.3 2. ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสำคัญอันดับที่ 23 ของโลก ในปี 2547 มีสัดส่วนการส่งออกประมาณร้อยละ 1.13 ของการส่งออกรวมในตลาดโลก ปี 2546 (ไทยอยู่อันดับที่ 23 สัดส่วนร้อยละ 1.16) 3. ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าสำคัญอันดับที่ 23 ของโลก ของปี 2547 มีสัดส่วนการนำเข้าประมาณร้อยละ 1.66 ของการนำเข้าในตลาดโลก 4. การค้าของไทยในเดือน ม.ค.-ก.ย. 2548 มีมูลค่า 171,449.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.00 แยกเป็นการส่งออกมูลค่า 82,020.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.12 การนำเข้ามีมูลค่า 89,428.92 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.95 ไทยเสียเปรียบดุลการค้า เป็นมูลค่า 7,407.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 5. กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกในปี 2548 ที่มูลค่า 115,837 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 การส่งออกเดือน ม.ค.-ก.ย. 2548 มีมูลค่า 82,020.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.12 หรือคิดเป็นร้อยละ 70.81 ของเป้าหมายการส่งออก คาดว่าจะสามารถส่งออกได้ตามเป้าหมาย 6. สินค้าส่งออกสำคัญ 50 อันดับแรก สัดส่วนรวมกันร้อยละ 83.47 ของมูลค่าการส่งออกเดือน ก.ย. 2548 สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเปลี่ยนแปลงสูง มีดังนี้ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 40 มี 2 รายการ คือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก ร้อยละ 43.52 และ 41.07 ตามลำดับ การที่มูลค่าการส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเพิ่มขึ้นสูงกว่าสินค้าอื่นเพราะสามารถขยายการส่งออกไปยังตลาดออสเตรเลีย มาเลเซีย และซาอุดิอาระเบีย ให้เพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่าร้อยละ 70 ส่วนเม็ดพลาสติก สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นในอัตราสูงเพราะสามรถขยายการส่งออก ไปยังญี่ปุ่นและอินเดีย ได้เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 100 ส่วนตลาดอื่นที่ขยายตัวกว่าร้อยละ 40 ได้แก่ เวียดนาม สหรัฐฯ และอินโดนีเซีย 7. ตลาดส่งออกสำคัญ 50 อันดับแรก สัดส่วนรวมกันร้อยละ 95.81 ของมูลค่าการส่งออก เดือน ม.ค.-ก.ย. 2548 ตลาดที่มีมูลค่าการส่งออกเปลี่ยนแปลงสูง มีดังนี้ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 มี 1 ตลาด ได้แก่ อาร์เจนตินา โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 286.37 - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 4 ตลาด ได้แก่ อินเดีย ตุรกี นิวซีแลนด์ และสาธารณรัฐเช็ก โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 65.49, 57.88,61.09 และ 60.22 ตามลำดับ 8. การนำเข้า 8.1 สินค้านำเข้ามีสัดส่วนโครงสร้างดังนี้ - สินค้าเชื้อเพลิง สัดส่วนร้อยละ 17.97 เพิ่มขึ้นร้อยละ 68.12 - สินค้าทุน สัดส่วนร้อยละ 28.09 เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.37 - สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สัดส่วนร้อยละ 42.82 เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.68 - สินค้าบริโภค สัดส่วนร้อยละ 6.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.16 - สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง สัดส่วนร้อยละ 3.43 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.03 - สินค้าอื่นๆ สัดส่วนร้อยละ 1.19 เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.49 8.2 แหล่งนำเข้าสำคัญ 10 อันดับแรก มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 68.31 ของมูลค่าการนำเข้าเดือน ก.ย. 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ซาอุดีอาระเบีย เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย สัดส่วนร้อยละ 21.96, 9.29, 7.31, 6.85, 4.96, 4.44, 3.74, 3.44, 3.30 และ 2.92 โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 16.98, 43.33, 22.07, 49.46, 80.24, 25.80, 10.27, 77.02, 6.81 และ 69.39 ตามลำดับ 9. ข้อคิดเห็น 1. จากสถานการณ์ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและอัตราการเจริญเติบโตต่อเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วย ปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ปัญหาความไม่สงบทางภาคใต้และปัญหาไข้หวัดนกในสัตว์ปีกที่กำลังเกิดขึ้น ภาครัฐได้มีมาตรการเสริมในการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นหลักการคือ การลดรายจ่ายเพิ่มรายได้เป็นสำคัญ 2. ภาคการส่งออกเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่เป็นความหวังในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้สามารถขยายตัวได้ดีซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (ส.ค. และ ก.ย.) ภาคการส่งออกขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดคือเกินกว่าร้อยละ 20 จึงเป็นที่คาดว่าจะสามารถส่งออกได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนปัจจัยที่สองด้านการนำเข้าโดยเฉพาะพลังงานเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติแล้วเนื่องจากนโยบายการลดพลังงานทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้นระหว่างการส่งออกและนำเข้า และที่สำคัญภาครัฐสามารถดำเนินโครงการต่างๆ ได้ตามเป้าหมายจึงมีผล ให้สามารถเยียวยาเศรษฐกิจให้มีกำลังแข็งแกร่งขึ้นมา เห็นได้จากไตรมาสแรกเศรษฐกิจไทยโตในระดับ 3.3% ไตรมาสที่ 2 เริ่มดีขึ้นมาอยู่ที่ 4.4% สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช) ได้ให้ความเห็นว่าปัจจุบันดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น จึงคาดว่าในไตรมาส 3 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5-5% เพราะในด้านการผลิตภาคเกษตรกรรมมีดัชนีผลผลิตพืชผลเพิ่มขึ้น 1.81% และดัชนีการผลิต สินค้าอุตสาหกรรมและดัชนีผลผลิตพืชผลเพิ่มขึ้น 10.7% ในเดือนสิงหาคมสำหรับปัญหาไข้หวัดนกคาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนักเพราะปัจจุบันไทยมีความรู้และประสบการณ์มากพอในการแก้ไขสถานการให้คลี่คลายได้ และไทยก็จะยังสามารถส่งออกไก่ได้เพิ่มขี้นโดยเฉพาะไก่สุก 3. เกี่ยวกับการส่งออกในปี 2549 นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่าการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 นั้น เป็นเป้าหมายการส่งออกที่สูงมาก เนื่องจากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าต่างๆ ทั่วโลกมีอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยประมาณ 3-4% การที่จะผลักดันให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกได้ ไทยจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อแย่งชิงตลาดกับประเทศผู้ส่งออกรายอื่นที่เป็นคู่แข่งรวมทั้งภาครัฐจะต้องแก้ไขปัญหาอุปสรรคให้มีความสะดวกมากขึ้นรวมไปถึงมาตรการกีดกันทางการค้าที่อีกหลายประเทศนำมาใช้กับสินค้าไทย จำเป็นที่ภาครัฐต้องประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาให้เป็นผลสำเร็จต่อไป เศรษฐกิจไทยในปี 2549 มีตัวแปรที่เป็นปัจจัยลบทั้งด้านราคาน้ำมัน ปัญหาไข้หวัดนกที่กลับมาระบาดอีก อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มสูงขึ้นมีผลให้อัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้นแต่ก็เป็นต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้นบ้าง 4. จากข้อมูลของสำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนในช่วง 9 เดือน (ม.ค-ก.ย) ปี 2548 มีการขอรับการส่งเสริมการลงทุน 965 ราย จำนวนเงินลงทุน 453.6 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น ร้อยละ 21.41 ทุนจดทะเบียน 126.6พันล้านบาท แยกเป็นการลงทุนของไทย 101. 0 พันล้านบาท ต่างชาติ 25.6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 150.9% นักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่ได้แก่ ญี่ปุ่น ยุโรป ไต้หวัน อเมริกา ฮ่องกง และสิงคโปร์ การที่นักลงทุนต่างประเทศขอรับการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าภาคการผลิตจะขยายตัวสูงขึ้นและประเทศไทยยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันโดยเวิลด์ อิโคโนมิค ฟอรั่ม ได้จัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันโดยรวมในปี 2548 ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 36 อย่างไรก็ตามประเทศไทยยังต้องแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบราชการ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ประสิทธิภาพและการศึกษาของแรงงานรวมไปถึงกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นปัญหาอุปสรรคทั้งด้านการค้าและการผลิต 5. การที่กระทรวงพาณิชย์ได้วางเป้าหมายการส่งออกและยุทธศาสตร์การเจาะตลาดในเชิงลึกเพื่อบุกตลาดโดยทูตพาณิชย์ทุกประเทศต้องใช้ยุทธวิธีด้านการตลาดในเชิงลึกให้สามารถขยายตลาดการค้าให้กว้างขวางยิ่งขึ้น รวมถึงการส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้ไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อความมั่งคงในตลาดการค้ามากขึ้น จึงคาดว่าในปี 2549 ไทยจะสามารถขยายตลาดการค้าได้กว้างขวางกว่าเดิมและจะบรรลุเป้าหมายการส่งออก ที่มา: http://www.depthai.go.th