1. ฐานเงินและปริมาณเงิน
- ฐานเงินและปริมาณเงินขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 ลดลง 1.7 พันล้านบาทจากเดือนก่อน โดยอยู่ที่ระดับ 761.2 พันล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 13.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อน ได้แก่ (1) สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น (2) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่รัฐบาลลดลงจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท. ในช่วงการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลและการนำส่งรายได้รัฐวิสาหกิจ และ (3) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่สถาบันการเงินลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในพันธบัตร ธปท. เพิ่มขึ้น
ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน โดยอยู่ที่ร้อยละ 3.3 3.5 และ 4.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ
2. อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
- เงินบาทอ่อนค่าลงจากความเชื่อมั่นในดอลลาร์ สรอ. ที่เพิ่มขึ้น กอปรกับความกังวลเกี่ยวกับการ
ชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
- อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินปรับสูงขึ้นตามการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและสภาพคล่อง
ที่ตึงตัวขึ้น
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะกลางปรับลดลงจากความต้องการลงทุนที่มากขึ้น
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนมิถุนายน 2548 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.92 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
ปรับค่าอ่อนลงอย่างต่อเนื่องและแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ทั้งจากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ
โดยปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนการขาดดุลที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ อาทิ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เป็นต้น
สำหรับในช่วงวันที่ 1-25 กรกฎาคม 2548เงินบาทอ่อนค่าลงมาเฉลี่ยที่ 41.78 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนค่าเงินบาทโน้มอ่อนลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดยมีปัจจัยลบเพิ่มขึ้น คือ การปรับลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศไทยของกองทุนต่างประเทศรายใหญ่อย่างไรก็ดี
เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นตามค่าเงินหยวนหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศปรับค่าเงินหยวนและระบบอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2548
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือน มิถุนายน 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.42 และ 2.41 ต่อปี ตามลำดับ สูงขึ้นจากเดือนก่อนส่วนหนึ่งเพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2548 และจาก
สภาพคล่องที่ค่อนข้างตึงตัวขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงนำส่งเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลเข้าคลัง
สำหรับในช่วงวันที่ 1-25 กรกฎาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับสูงขึ้นอีกเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.52 และ 2.55 ต่อปี ตามลำดับ ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 ทั้งนี้ สภาพคล่องในระบบค่อนข้างตึงตัวในช่วงก่อนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน เพราะธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงได้ดำรงเงินสดสำรองไว้ค่อนข้างสูง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนมิถุนายน 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลงทุกระยะเวลา โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะไม่เกิน 1 ปี ลดลงมากเนื่องจากความต้องการลงทุนในตลาดพันธบัตรที่มากขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารพาณิชย์พยายามลดยอดเงินฝากเพื่อลดภาระการนำส่ง
ค่าธรรมเนียมกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ทำให้นักลงทุนต้องย้ายฐานการลงทุนจากเงินฝากมายังตลาดพันธบัตรชั่วคราว สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับลดลง เพราะความไม่แน่นอนในอุปทาน และเป็นการปรับลดลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
ในช่วงวันที่ 1-25 กรกฎาคม 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นทุกระยะเวลา
เนื่องจากนักลงทุนได้คาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. วันที่ 20 กรกฎาคมล่วงหน้าไปแล้ว กอปรกับนักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปน่าจะปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายและระดับอัตราดอกเบี้ยในระบบอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป
3. เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
- เงินฝากขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นจากเดือนก่อน ในขณะที่สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับสูงขึ้น
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนมิถุนายน 2548 ขยายตัวร้อยละ 2.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน
แต่ลดลง 86.0 พันล้านบาทจากเดือนพฤษภาคม 2548 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการลดยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เพื่อลดภาระการนำส่งค่าธรรมเนียมกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
สินเชื่อภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์ (รวมการถือครองหลักทรัพย์ของภาคเอกชน) ในเดือนมิถุนายน 2548 ขยายตัวร้อยละ 4.2 จากระยะเดียวกันปีก่อนซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากเดือนพฤษภาคม โดยยอดคงค้างสินเชื่อลดลง 70.0 พันล้านบาทจากเดือนก่อน เนื่องจากมีการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทบริหารสินทรัพย์ 2 แห่ง
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งทรงตัวในเดือนมิถุนายนก่อนที่จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงวันที่ 1-25 กรกฎาคม 2548 ทั้งด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ย
เงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.19 และ 5.75 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
- ฐานเงินและปริมาณเงินขยายตัวในอัตราที่ใกล้เคียงกับเดือนก่อน
ฐานเงิน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 ลดลง 1.7 พันล้านบาทจากเดือนก่อน โดยอยู่ที่ระดับ 761.2 พันล้านบาท หรือขยายตัวร้อยละ 13.1 จากระยะเดียวกันปีก่อน
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของฐานเงินจากเดือนก่อน ได้แก่ (1) สินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิของทางการเพิ่มขึ้น (2) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่รัฐบาลลดลงจากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากภาครัฐที่ ธปท. ในช่วงการนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลและการนำส่งรายได้รัฐวิสาหกิจ และ (3) สินเชื่อสุทธิที่ ธปท. ให้แก่สถาบันการเงินลดลง เนื่องจากสถาบันการเงินลงทุนในพันธบัตร ธปท. เพิ่มขึ้น
ปริมาณเงิน M2 M2a และ M3 ขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน โดยอยู่ที่ร้อยละ 3.3 3.5 และ 4.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ
2. อัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
- เงินบาทอ่อนค่าลงจากความเชื่อมั่นในดอลลาร์ สรอ. ที่เพิ่มขึ้น กอปรกับความกังวลเกี่ยวกับการ
ชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
- อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินปรับสูงขึ้นตามการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายและสภาพคล่อง
ที่ตึงตัวขึ้น
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นและระยะกลางปรับลดลงจากความต้องการลงทุนที่มากขึ้น
อัตราแลกเปลี่ยน ในเดือนมิถุนายน 2548 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 40.92 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
ปรับค่าอ่อนลงอย่างต่อเนื่องและแตะระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน ทั้งจากปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ
โดยปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทย ตลอดจนการขาดดุลที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ อาทิ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร เป็นต้น
สำหรับในช่วงวันที่ 1-25 กรกฎาคม 2548เงินบาทอ่อนค่าลงมาเฉลี่ยที่ 41.78 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของเดือนค่าเงินบาทโน้มอ่อนลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดยมีปัจจัยลบเพิ่มขึ้น คือ การปรับลดสัดส่วนการลงทุนในประเทศไทยของกองทุนต่างประเทศรายใหญ่อย่างไรก็ดี
เงินบาทได้แข็งค่าขึ้นตามค่าเงินหยวนหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศปรับค่าเงินหยวนและระบบอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2548
อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงิน ในเดือน มิถุนายน 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.42 และ 2.41 ต่อปี ตามลำดับ สูงขึ้นจากเดือนก่อนส่วนหนึ่งเพราะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2548 และจาก
สภาพคล่องที่ค่อนข้างตึงตัวขึ้นเนื่องจากเป็นช่วงนำส่งเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลเข้าคลัง
สำหรับในช่วงวันที่ 1-25 กรกฎาคม 2548 อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันและอัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคารระยะ 1 วันปรับสูงขึ้นอีกเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.52 และ 2.55 ต่อปี ตามลำดับ ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกครั้งในวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 ทั้งนี้ สภาพคล่องในระบบค่อนข้างตึงตัวในช่วงก่อนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน เพราะธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงได้ดำรงเงินสดสำรองไว้ค่อนข้างสูง
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ในเดือนมิถุนายน 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลงทุกระยะเวลา โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะไม่เกิน 1 ปี ลดลงมากเนื่องจากความต้องการลงทุนในตลาดพันธบัตรที่มากขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ธนาคารพาณิชย์พยายามลดยอดเงินฝากเพื่อลดภาระการนำส่ง
ค่าธรรมเนียมกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ทำให้นักลงทุนต้องย้ายฐานการลงทุนจากเงินฝากมายังตลาดพันธบัตรชั่วคราว สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวปรับลดลง เพราะความไม่แน่นอนในอุปทาน และเป็นการปรับลดลงตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
ในช่วงวันที่ 1-25 กรกฎาคม 2548 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นทุกระยะเวลา
เนื่องจากนักลงทุนได้คาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. วันที่ 20 กรกฎาคมล่วงหน้าไปแล้ว กอปรกับนักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปน่าจะปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายและระดับอัตราดอกเบี้ยในระบบอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไป
3. เงินฝากและสินเชื่อภาคเอกชนของระบบธนาคารพาณิชย์
- เงินฝากขยายตัวในอัตราที่เร่งขึ้นจากเดือนก่อน ในขณะที่สินเชื่อขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง
- อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ปรับสูงขึ้น
เงินฝากธนาคารพาณิชย์ ในเดือนมิถุนายน 2548 ขยายตัวร้อยละ 2.6 จากระยะเดียวกันปีก่อน
แต่ลดลง 86.0 พันล้านบาทจากเดือนพฤษภาคม 2548 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความต้องการลดยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์เพื่อลดภาระการนำส่งค่าธรรมเนียมกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ
สินเชื่อภาคเอกชนของธนาคารพาณิชย์ (รวมการถือครองหลักทรัพย์ของภาคเอกชน) ในเดือนมิถุนายน 2548 ขยายตัวร้อยละ 4.2 จากระยะเดียวกันปีก่อนซึ่งเป็นอัตราที่ชะลอลงจากเดือนพฤษภาคม โดยยอดคงค้างสินเชื่อลดลง 70.0 พันล้านบาทจากเดือนก่อน เนื่องจากมีการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทบริหารสินทรัพย์ 2 แห่ง
อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 4 แห่งทรงตัวในเดือนมิถุนายนก่อนที่จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงวันที่ 1-25 กรกฎาคม 2548 ทั้งด้านอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ โดยอัตราดอกเบี้ย
เงินฝากประจำ 12 เดือนและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.19 และ 5.75 ต่อปี ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--