นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนกรกฎาคม 2548 ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2548 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2548 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ภัยธรรมชาติใน 6 จังหวัดภาคใต้ชายฝั่งทะเลอันดามัน ภาวะภัยแล้ง ความไม่สงบในภาคใต้ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศและการส่งออกชะลอตัวลง
แรงกดดันต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น อัตราเงินเฟ้อในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 เร่งตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.7 และ 1.1 ตามลำดับ จากผลของการปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2548 ขาดดุลถึง 4.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุน เชื้อเพลิงและวัตถุดิบที่เร่งตัวสูงต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าการส่งออกชะลอตัว ทำให้คณะกรรมการฯ คาดว่ามีโอกาสสูงที่ดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลในปีนี้
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์ในครั้งที่แล้ว
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับสูงขึ้นเทียบกับข้อสมมติที่ใช้ในครั้งก่อนจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและมากกว่าที่ประเมินไว้เดิม
สำหรับข้อสมมติราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศได้ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน สอดคล้องกับข้อสมมติราคาน้ำมันดิบดูไบที่เพิ่มขึ้นและการลอยตัวราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2548
2. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ยังคงปรับสูงขึ้น แต่ในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่ประเมินไว้เดิม
3. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าปรับลดลงเล็กน้อย จากผลกระทบของราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
4. รายจ่ายอุปโภคภาครัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นจากการปรับลดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองปกครองส่วนท้องถิ่นและการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ขณะที่ข้อสมมติการลงทุนภาครัฐปรับสูงขึ้น จากการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเร่งรัดการเบิกจ่ายและกรอบเงินลงทุนสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่
5. ข้อสมมติค่าจ้างขั้นต่ำปรับสูงขึ้น สอดคล้องกับมติของคณะกรรมการค่าจ้าง
เมื่อพิจารณาปัจจัยด้านลบต่อเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากราคาน้ำมัน กอปรกับแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงในไตรมาสที่ 1 ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2548 และ 2549 จะชะลอลงกว่าที่ประมาณการไว้เดิม และเมื่อพิจารณาประกอบกับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไป กล่าวคือ ความเสี่ยงด้านบวก ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่อาจมีการเร่งเบิกจ่ายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงด้านลบ ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ยังผันผวนและอาจสูงกว่าข้อสมมติ ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอาจต่ำกว่าที่คาด และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนปรับลดลง คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวลดลงจากประมาณการเดิม โดยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.5 — 4.5 ส่วนในปี 2549 ขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5 — 6.0
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ คาดว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2548 จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลาย และการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ แรงกระตุ้นทางการคลังที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไปมีเพิ่มขึ้นทั้งจากต้นทุนราคาน้ำมัน และแนวโน้มการเบิกจ่ายของภาครัฐที่สูงขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น หากไม่สามารถตรึงราคาสินค้าบางรายการต่อไปได้อีก จะส่งผลต่อเนื่องให้ต้นทุนการผลิตต่าง ๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าแรงงาน คณะกรรมการฯ จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2548 จะเร่งขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ 4.0-4.5 จากที่เฉลี่ยร้อยละ 2.7 ในปี 2547 และหากราคาน้ำมันยังคงโน้มสูงขึ้น โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะโน้มต่ำลงมากคงเป็นไปได้ยาก และคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.5 — 4.5 ในปี 2549 สูงกว่าที่คาดไว้เดิมในรายงานฉบับก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเฉลี่ยที่ร้อยละ 1-2 ในปี 2548 และเร่งขึ้นเข้าใกล้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เฉลี่ยร้อยละ 2-3 ในปี 2549 ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉลี่ยรายไตรมาส มีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะออกนอกเป้าหมายที่ร้อยละ 0-3.5 ต่อปี ในช่วงท้ายของประมาณการ
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณา ดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2548 คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ในเกณฑ์ที่น่าพอใจท่ามกลางปัจจัยลบหลายประการ อาทิ
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ภัยธรรมชาติ และความไม่สงบในภาคใต้ แต่ในขณะเดียวกันความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวมีมากขึ้น ดังนั้น เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจอันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.50 ต่อปี
2. สำหรับการประชุมในวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 คณะกรรมการฯ เห็นว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเร่งตัวสูงกว่าเป้าหมายมีมากขึ้น ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ภายในเกณฑ์ที่กำหนด อันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 2.50 ต่อปี เป็นร้อยละ 2.75 ต่อปี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2548 ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ภัยธรรมชาติใน 6 จังหวัดภาคใต้ชายฝั่งทะเลอันดามัน ภาวะภัยแล้ง ความไม่สงบในภาคใต้ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศและการส่งออกชะลอตัวลง
แรงกดดันต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจชัดเจนขึ้น อัตราเงินเฟ้อในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2548 เร่งตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.7 และ 1.1 ตามลำดับ จากผลของการปรับขึ้นราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศ ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2548 ขาดดุลถึง 4.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จากมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุน เชื้อเพลิงและวัตถุดิบที่เร่งตัวสูงต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าการส่งออกชะลอตัว ทำให้คณะกรรมการฯ คาดว่ามีโอกาสสูงที่ดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลในปีนี้
การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์ในครั้งที่แล้ว
1. ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับสูงขึ้นเทียบกับข้อสมมติที่ใช้ในครั้งก่อนจากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องและมากกว่าที่ประเมินไว้เดิม
สำหรับข้อสมมติราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศได้ปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน สอดคล้องกับข้อสมมติราคาน้ำมันดิบดูไบที่เพิ่มขึ้นและการลอยตัวราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2548
2. อัตราดอกเบี้ย Fed Funds ยังคงปรับสูงขึ้น แต่ในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่ประเมินไว้เดิม
3. การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าปรับลดลงเล็กน้อย จากผลกระทบของราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
4. รายจ่ายอุปโภคภาครัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นจากการปรับลดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองปกครองส่วนท้องถิ่นและการขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ขณะที่ข้อสมมติการลงทุนภาครัฐปรับสูงขึ้น จากการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเร่งรัดการเบิกจ่ายและกรอบเงินลงทุนสำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่
5. ข้อสมมติค่าจ้างขั้นต่ำปรับสูงขึ้น สอดคล้องกับมติของคณะกรรมการค่าจ้าง
เมื่อพิจารณาปัจจัยด้านลบต่อเศรษฐกิจที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากราคาน้ำมัน กอปรกับแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่ชะลอลงในไตรมาสที่ 1 ทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2548 และ 2549 จะชะลอลงกว่าที่ประมาณการไว้เดิม และเมื่อพิจารณาประกอบกับความเสี่ยงต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจในระยะต่อไป กล่าวคือ ความเสี่ยงด้านบวก ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่อาจมีการเร่งเบิกจ่ายได้เพิ่มขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงด้านลบ ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ยังผันผวนและอาจสูงกว่าข้อสมมติ ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอาจต่ำกว่าที่คาด และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนปรับลดลง คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวลดลงจากประมาณการเดิม โดยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.5 — 4.5 ส่วนในปี 2549 ขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5 — 6.0
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ คาดว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2548 จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ปัญหาภัยแล้งที่คลี่คลาย และการส่งออกที่ปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ แรงกระตุ้นทางการคลังที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและโครงการลงทุนขนาดใหญ่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
แรงกดดันเงินเฟ้อในระยะต่อไปมีเพิ่มขึ้นทั้งจากต้นทุนราคาน้ำมัน และแนวโน้มการเบิกจ่ายของภาครัฐที่สูงขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น หากไม่สามารถตรึงราคาสินค้าบางรายการต่อไปได้อีก จะส่งผลต่อเนื่องให้ต้นทุนการผลิตต่าง ๆ เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าแรงงาน คณะกรรมการฯ จึงคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2548 จะเร่งขึ้นเป็นเฉลี่ยร้อยละ 4.0-4.5 จากที่เฉลี่ยร้อยละ 2.7 ในปี 2547 และหากราคาน้ำมันยังคงโน้มสูงขึ้น โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะโน้มต่ำลงมากคงเป็นไปได้ยาก และคาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3.5 — 4.5 ในปี 2549 สูงกว่าที่คาดไว้เดิมในรายงานฉบับก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเฉลี่ยที่ร้อยละ 1-2 ในปี 2548 และเร่งขึ้นเข้าใกล้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่เฉลี่ยร้อยละ 2-3 ในปี 2549 ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉลี่ยรายไตรมาส มีโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะออกนอกเป้าหมายที่ร้อยละ 0-3.5 ต่อปี ในช่วงท้ายของประมาณการ
การดำเนินนโยบายการเงินในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
การตัดสินด้านนโยบายของคณะกรรมการฯ มีประเด็นสำคัญในการพิจารณา ดังนี้
1. ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2548 คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจสามารถขยายตัวได้ในเกณฑ์ที่น่าพอใจท่ามกลางปัจจัยลบหลายประการ อาทิ
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ภัยธรรมชาติ และความไม่สงบในภาคใต้ แต่ในขณะเดียวกันความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเร่งตัวมีมากขึ้น ดังนั้น เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจอันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.50 ต่อปี
2. สำหรับการประชุมในวันที่ 20 กรกฎาคม 2548 คณะกรรมการฯ เห็นว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลมากขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเร่งตัวสูงกว่าเป้าหมายมีมากขึ้น ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายจึงควรอยู่ในทิศทางขาขึ้นเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ภายในเกณฑ์ที่กำหนด อันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในระยะยาว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 2.50 ต่อปี เป็นร้อยละ 2.75 ต่อปี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--