3.1 ประเด็นเศรษฐกิจต่างประเทศ (28 มิถุนายน - 25 กรกฎาคม 2548)
เศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อไปได้ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม โดยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจหลายตัวยังคง ปรับตัวดีขึ้น อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและ ผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของญี่ปุ่นยังคงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากภาคการส่งออกที่ซบเซา ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซาจากภาวะการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของประเทศ G-3 ยัง ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะญี่ปุ่น สะท้อนว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นยังไม่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อมากนัก
สหรัฐอเมริกา
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มขยายตัว ต่อเนื่อง สะท้อนได้จากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยยอดค้าปลีกในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1.7 (mom) หรือร้อยละ 10.4 (yoy) ตามการเพิ่มขึ้นของยอดจำหน่ายรถยนต์ ทั้งนี้ อุปสงค์ที่ยังคงขยายตัวดีขึ้น เป็นผลมาจากภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานปรับลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 5.0ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm payroll) เพิ่มขึ้น 146,000 ตำแหน่ง โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในภาคบริการ อนึ่ง ตัวเลข การจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U. of Michigan Confidence Index) ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 96.5 ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี
สำหรับความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 53.8 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในองค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อใหม่และ การผลิต สะท้อนว่าภาคธุรกิจเริ่มสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้ชะลอคำสั่งซื้อในช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากสินค้า คงคลังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ดัชนี ISM Non-Manufacturing ซึ่งเป็นดัชนีความเชื่อมั่นในภาคบริการปรับตัวสูงขึ้น เช่นกัน อยู่ที่ระดับ 62.2 ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่ ต้นปี โดยเป็นผลจากการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ นาย Alan Greenspan ประธาน Fed ได้ แถลงชี้แจงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อไป โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้แม้ว่าราคาน้ำมันและ ราคาบ้านจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ ภาวะ Housing boom ในสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวปรับลดลงซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัว ดังนั้น Fed จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงต่อไป อย่างไรก็ตามนาย Greenspan กล่าวว่า 3 ปัจจัยหลักซึ่งมีผลต่อการประเมินทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายของ Fed ได้แก่ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงาน และอัตราดอกเบี้ยระยะยาว
กลุ่มประเทศยูโร
- ภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรยังคง เปราะบาง สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศในช่วง ที่ผ่านมายังแสดงทิศทางที่ขัดแย้งกัน (mixed) และมี แนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากอุปสงค์ภายในกลุ่มประเทศยูโรโซนที่ซบเซา ขณะที่ภาคการผลิตมีแนวโน้มชะลอลงเช่นกัน ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอุตสาหกรรม (Industrial confidence) ล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2548 อยู่ที่ -10 เทียบกับ -11 ในเดือนก่อน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer confidence) ทรงตัวที่ --15 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะการจ้างงานที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ทรงตัวดัชนี PMIอยู่ในระดับสูง
ดัชนีPMI ภาคการผลิต (Manufacturing Index) ของกลุ่มประเทศยูโรโซนล่าสุดในเดือนมิถุนายนยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 โดยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ระดับ 49.8 โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีย่อยด้านคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ การจ้างงาน และการผลิต ขณะที่ ดัชนี PMI ภาคบริการ (Service Index) ยังคงทรงตัวอยู่เหนือ ระดับ 50 โดยอยู่ที่ระดับ 53.1 เทียบกับระดับ 53.5 ในเดือนก่อนโดยดัชนีย่อยที่ปรับลดลงเป็นการลดลงในส่วนของ ดัชนีBusiness Activity และBusiness Expectation สะท้อนว่า ภาคบริการของกลุ่มประเทศยูโรยังคงขยายตัวต่อไปได้แต่ในอัตราที่ชะลอลง ดัชนี PMI ภาคการผลิต และภาค บริการที่ค่อนข้างทรงตัวส่งผลให้ดัชนี PMI Composite Index อยู่ที่ระดับ 52.2 ใกล้เคียงกับระดับ 52.1 ในเดือนก่อน
อัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโรในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 (yoy) สูงกว่าเป้าที่ร้อยละ 2 จากการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดที่อยู่อาศัย หมวดแอลกอฮอล์และยาสูบ และหมวดขนส่ง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4(yoy) ชะลอลงเล็กน้อยจากร้อยละ 1.6 (yoy) ในเดือนก่อน
ทั้งนี้ EU Commission คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ ของกลุ่มประเทศยูโรในไตรมาสที่ 2 ยังคงจะชะลอตัว จากผลกระทบของราคาน้ำมันและการชะลอตัวของภาคการผลิตของโลก โดยประมาณการว่าจะขยายตัว ร้อยละ 0.1-0.5 (qoq) และในไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวร้อยละ 0.2-0.6 (qoq)
ญี่ปุ่น
- เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น โดย ปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวมาจากอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคเอกชน สะท้อนจากยอดค้าปลีกในเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัวร้อยละ 2.7 (yoy) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะการจ้างงานและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ผลสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการ หรือ Tankan Survey ล่าสุดในเดือนมิถุนายนปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรก ในรอบ 3 ไตรมาส โดยดัชนีที่สำรวจผู้ประกอบการ รายใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 18 เทียบกับระดับ 14 ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงแรงขับเคลื่อน (momentum)ของการขยายตัวของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548
นอกจากนี้ ดัชนี PMI ซึ่งเป็นตัวชี้กิจกรรมการผลิต (manufacturing activity) ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นโดยล่าสุดในเดือนมิถุนายน ดัชนี PMI ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ53.9 สูงที่สุดในรอบ 10 เดือน จากยอดการสั่งซื้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นจะสามารถปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป
แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวดีขึ้นจากอุปสงค์ภายในประเทศ แต่สถานการณ์เงินฝืดในญี่ปุ่นยัง คงไม่คลี่คลาย โดยราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากยังคงไม่สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อ ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่ เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ เป็นผลจากการปรับลดราคาสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี และ ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ได้แก่ ค่าไฟฟ้าและค่าโทรศัพท์
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยจากผลสำรวจของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ที่สำรวจบริษัทขนาดใหญ่ 156 บริษัท พบว่าร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่าการส่งผ่านภาระต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคเป็นไปได้ยาก โดยธุรกิจที่ตอบว่าได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เหล็ก รถยนต์ อลูมิเนียม และซีเมนต์
เอเชีย
เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียในช่วงไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก สะท้อนจากตัวเลข GDP ของสิงคโปร์ และจีนที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของบางประเทศได้เริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงอาจสร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดมากขึ้นสำหรับการส่งออกของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคยังชะลอตัว ยกเว้นจีนที่ยังขยายตัวได้ในระดับสูงเนื่องจากสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดโลกได้มากกว่าประเทศอื่นทั้งนี้ จีนได้ประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจากการตรึงค่าเงินหยวนกับดอลลาร์ สรอ. ไปสู่การตรึงกับตะกร้าเงิน หลังจากที่ได้รับแรงกดดันให้ปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่ามาเป็นเวลานาน
ทางการสิงคโปร์ประกาศประมาณการ GDPล่วงหน้า (Advance GDP Estimate) สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2548 (คำนวณจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเมษายนและพฤษภาคม) โดยให้ขยายตัวร้อยละ 3.9 (yoy) เร่งขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 (yoy) หรือขยายตัวร้อยละ 12.3 (qoq saa) ปัจจัยสำคัญมาจากการขยายตัวของภาคการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มวิศวกรรมการขนส่งขณะเดียวกันการผลิตในอุตสาหกรรม biomedical ก็เริ่มฟื้นตัวแม้ยังติดลบอยู่ ส่วนการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเคมีภัณฑ์ยังคงขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ สำหรับภาคบริการเร่งตัวขึ้นในเกือบทุกกลุ่ม ยกเว้นการขนส่งทางน้ำและการสื่อสาร
เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวสูงที่ร้อยละ9.5 (yoy) ต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 9.4 yoy) โดยมีปัจจัยมาจากการบริโภค การลงทุน และการส่งออกที่ยังขยายตัวแข็งแกร่ง โดยการลงทุนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งในเดือนพฤษภาคมรัฐบาลมาเลเซียได้ปรับขึ้นราคาได้แก่ การลงทุนในเหมืองถ่านหิน การผลิตไฟฟ้า การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และการสร้างทางรถไฟ ทั้งนี้ สำนักสถิติ จีนเห็นว่าโดยรวมแล้วภาวะเศรษฐกิจจีนอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังมีปัญหาในบางเรื่อง อาทิ การทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และปัญหาเรื่องการลงทุนที่ยังสูงเกินไป และมีโครงสร้างที่ยังไม่เหมาะสม ซึ่งในช่วงหลังของปีนี้ทางการจีนจะยังคงดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อรักษาการขยายตัวให้มั่นคงและแข็งแกร่งต่อไป
แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่เริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่เศรษฐกิจของเกาหลีมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวช้ากว่า ที่คาดไว้ โดยธนาคารกลางเกาหลีได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2005 จากร้อยละ 4.0 เป็น ร้อยละ 3.8 เนื่องจากคาดว่าการลงทุนและการส่งออกจะชะลอลงกว่าที่ประมาณการไว้เดิม จากปัจจัยราคาน้ำมันที่สูงกว่าคาด อย่างไรก็ดี ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2548 ที่ร้อยละ 3.0
อัตราเงินเฟ้อของประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่มีการปรับลดลงบ้างตาม การลดลงของราคาสินค้าในหมวดอาหาร โดยอัตราเงินเฟ้อของจีนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 (yoy) หลังจากอยู่ที่ร้อยละ1.8 (yoy) ติดต่อกัน 2 เดือน สำหรับอัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ในเดือนมิถุนายนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.6 (yoy)ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน โดยมีปัจจัยมาจากการชะลอลงของราคาอาหาร ที่อยู่อาศัย และค่าสาธารณูปโภค นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อของสิงคโปร์ได้เริ่มติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ2 ปี โดยติดลบร้อยละ 0.2 (yoy) เนื่องจากการปรับตัวลดลงของราคารถยนต์ กอปรกับร้านค้าต่างลดราคาสินค้าในช่วง เทศกาลลดราคาประจำปี
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียกลับเร่ง สูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.2 (yoy) ในเดือนมิถุนายน ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยองค์ประกอบที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งขึ้นมาจากหมวดอาหาร ค่าขนส่ง เครื่องดื่มและยาสูบน้ำมันดีเซลร้อยละ 23 จึงส่งผลกระทบต่อราคาอาหาร และค่าขนส่ง นอกจากนี้ ทางการยังปรับเพิ่มอากรสำหรับเครื่องดื่มและยาสูบอีกด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนค่าเงินในภูมิภาคเอเชียที่อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา แม้จะแข็งค่าขึ้นบ้างภายหลังการแข็งค่าของเงินหยวน แต่ยังคงสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้กับหลายประเทศ
การส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ยกเว้นการส่งออกของจีนที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และการส่งออกของสิงคโปร์ที่เริ่ม ปรับตัวดีขึ้น การส่งออกของไต้หวันในเดือนมิถุนายนชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.1 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 4.0 โดยการส่งออกสินค้าประเภทเทคโนโลยียังคงหดตัวอยู่ สำหรับการส่งออกสินค้า ประเภทไม่ใช่พลังงาน (Non-oil domestic exports) ของสิงคโปร์ในเดือนมิถุนายนฟื้นตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.4 (yoy) หลังจากหดตัวร้อยละ 2.3 ในเดือนก่อนหน้า จากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าในกลุ่มเภสัชภัณฑ์ สำหรับการส่งออกของจีนในเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 30.6 สูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนหนึ่งที่ทำให้การส่งออกของจีนยังคงขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคมาจากการที่สินค้าจีนครองตลาดโลกในสัดส่วนที่สูงกว่า
- นโยบายการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากเริ่มมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อโดยเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ธนาคารกลางไต้หวันได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน Discount Rate ร้อยละ 0.125 ต่อปี เป็นร้อยละ 2.0 ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานติดต่อกันทุกไตรมาสนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว เนื่องจากมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังอยู่ในระดับต่ำ
สำหรับฟิลิปปินส์นั้นแม้อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงแต่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์พบว่าสภาพคล่องในระบบที่อยู่ในระดับสูงได้ส่งผลให้ค่าเงินฟิลิปปินส์เปโซอ่อนค่าลง ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะต่อไป จึงได้ปรับขึ้นอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมาย (Regular reserve requirement) ร้อยละ 1 และเงินสำรองเพื่อสภาพคล่อง(Liquidity reserve requirement) ร้อยละ 1
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ธนาคาร กลางอินโดนีเซียได้ประกาศอย่างเป็นทางการในการปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินจากกรอบเป้าหมาย การขยายตัวของปริมาณเงิน (Monetary base targeting framework) เป็นกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย (Interest rate targeting framework) และเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานSBI rate ระยะ 1 เดือน จากร้อยละ 8.25 เป็นร้อยละ 8.5 เพื่อดูแลเสถียรภาพด้านราคา ทั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้กำหนดเป้าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปีนี้ไว้ที่ร้อยละ 5-7 และจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินทุกๆ 3 เดือน
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2548 ธนาคารกลางจีน ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจากการตรึงค่าเงินหยวนไว้กับดอลลาร์ สรอ. ไปอิงค่าเงินหยวนกับตะกร้าเงิน โดยอัตราแลกเปลี่ยนจะเปลี่ยนแปลงไปตามอุปสงค์และอุปทานของตลาด และได้กำหนดให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าทันทีไปอยู่ที่ 8.11 หยวนต่อดอลลาร์ สรอ. และต่อมาในวันเดียวกันธนาคารกลางมาเลเซีย ก็ได้ประกาศปรับเปลี่ยนการตรึงค่าเงินริงกิตกับดอลลาร์ สรอ. ไปสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบจัดการ
อนึ่ง เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2548 สถาบันจัดอันดับ Standard & Poor's Ratings Services ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาว สกุลเงินตราต่างประเทศของจีน จาก BBB+ เป็น A- และระยะสั้นจาก A-2 เป็น A-1 และมี outlook เป็นบวก เนื่องจากรัฐบาลจีนได้เร่งดำเนินการปฏิรูปโครงสร้าง ภาคการเงินและผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจมีผลกำไรดีขึ้น ขณะเดียวกันได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศของฮ่องกงจาก A+ เป็น AA- และระยะสั้นจาก A-1 เป็น A-1+ และมี outlook คงที่ เนื่องจากฮ่องกงมีภาวะเศรษฐกิจที่ แข็งแกร่ง ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และได้พ้นจากภาวะเงินฝืด รวมทั้งมีภาวะการคลังที่ดีขึ้น และแม้ว่าฮ่องกงจะมีความเสี่ยงจากการที่มีความเชื่อมโยงกับจีนสูง แต่ความเสี่ยงได้ลดลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของจีนแข็งแกร่งต่อเนื่อง
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
เศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นมีแนวโน้มขยายตัวตามการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ สำหรับในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อไปได้ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม โดยดัชนีชี้นำเศรษฐกิจหลายตัวยังคง ปรับตัวดีขึ้น อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและ ผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของญี่ปุ่นยังคงเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากภาคการส่งออกที่ซบเซา ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องตามอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซาจากภาวะการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของประเทศ G-3 ยัง ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะญี่ปุ่น สะท้อนว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นยังไม่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อมากนัก
สหรัฐอเมริกา
- เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มขยายตัว ต่อเนื่อง สะท้อนได้จากการเพิ่มขึ้นของการใช้จ่ายของผู้บริโภค โดยยอดค้าปลีกในเดือนมิถุนายนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 1.7 (mom) หรือร้อยละ 10.4 (yoy) ตามการเพิ่มขึ้นของยอดจำหน่ายรถยนต์ ทั้งนี้ อุปสงค์ที่ยังคงขยายตัวดีขึ้น เป็นผลมาจากภาวะการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานปรับลดลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 5.0ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2544 ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-farm payroll) เพิ่มขึ้น 146,000 ตำแหน่ง โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการจ้างงานในภาคบริการ อนึ่ง ตัวเลข การจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (U. of Michigan Confidence Index) ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 96.5 ซึ่งนับเป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่ต้นปี
สำหรับความเชื่อมั่นภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยดัชนีเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนมาอยู่ที่ระดับ 53.8 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในองค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อใหม่และ การผลิต สะท้อนว่าภาคธุรกิจเริ่มสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น หลังจากที่ได้ชะลอคำสั่งซื้อในช่วงก่อนหน้านี้เนื่องจากสินค้า คงคลังอยู่ในระดับสูง ขณะที่ดัชนี ISM Non-Manufacturing ซึ่งเป็นดัชนีความเชื่อมั่นในภาคบริการปรับตัวสูงขึ้น เช่นกัน อยู่ที่ระดับ 62.2 ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่ ต้นปี โดยเป็นผลจากการจ้างงานที่ปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ นาย Alan Greenspan ประธาน Fed ได้ แถลงชี้แจงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อไป โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้แม้ว่าราคาน้ำมันและ ราคาบ้านจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ ภาวะ Housing boom ในสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราผลตอบแทน พันธบัตรรัฐบาลระยะยาวปรับลดลงซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัว ดังนั้น Fed จึงยังมีความจำเป็นที่จะต้องปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงต่อไป อย่างไรก็ตามนาย Greenspan กล่าวว่า 3 ปัจจัยหลักซึ่งมีผลต่อการประเมินทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายของ Fed ได้แก่ แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ ราคาพลังงาน และอัตราดอกเบี้ยระยะยาว
กลุ่มประเทศยูโร
- ภาวะเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยูโรยังคง เปราะบาง สะท้อนจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศในช่วง ที่ผ่านมายังแสดงทิศทางที่ขัดแย้งกัน (mixed) และมี แนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากอุปสงค์ภายในกลุ่มประเทศยูโรโซนที่ซบเซา ขณะที่ภาคการผลิตมีแนวโน้มชะลอลงเช่นกัน ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นด้านอุตสาหกรรม (Industrial confidence) ล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2548 อยู่ที่ -10 เทียบกับ -11 ในเดือนก่อน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer confidence) ทรงตัวที่ --15 ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากภาวะการจ้างงานที่ยังคงซบเซาต่อเนื่อง ประกอบกับราคาน้ำมันที่ทรงตัวดัชนี PMIอยู่ในระดับสูง
ดัชนีPMI ภาคการผลิต (Manufacturing Index) ของกลุ่มประเทศยูโรโซนล่าสุดในเดือนมิถุนายนยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 โดยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนมาอยู่ที่ระดับ 49.8 โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีย่อยด้านคำสั่งซื้อสินค้าใหม่ การจ้างงาน และการผลิต ขณะที่ ดัชนี PMI ภาคบริการ (Service Index) ยังคงทรงตัวอยู่เหนือ ระดับ 50 โดยอยู่ที่ระดับ 53.1 เทียบกับระดับ 53.5 ในเดือนก่อนโดยดัชนีย่อยที่ปรับลดลงเป็นการลดลงในส่วนของ ดัชนีBusiness Activity และBusiness Expectation สะท้อนว่า ภาคบริการของกลุ่มประเทศยูโรยังคงขยายตัวต่อไปได้แต่ในอัตราที่ชะลอลง ดัชนี PMI ภาคการผลิต และภาค บริการที่ค่อนข้างทรงตัวส่งผลให้ดัชนี PMI Composite Index อยู่ที่ระดับ 52.2 ใกล้เคียงกับระดับ 52.1 ในเดือนก่อน
อัตราเงินเฟ้อของกลุ่มประเทศยูโรในเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 (yoy) สูงกว่าเป้าที่ร้อยละ 2 จากการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดที่อยู่อาศัย หมวดแอลกอฮอล์และยาสูบ และหมวดขนส่ง แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4(yoy) ชะลอลงเล็กน้อยจากร้อยละ 1.6 (yoy) ในเดือนก่อน
ทั้งนี้ EU Commission คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจ ของกลุ่มประเทศยูโรในไตรมาสที่ 2 ยังคงจะชะลอตัว จากผลกระทบของราคาน้ำมันและการชะลอตัวของภาคการผลิตของโลก โดยประมาณการว่าจะขยายตัว ร้อยละ 0.1-0.5 (qoq) และในไตรมาสที่ 3 จะขยายตัวร้อยละ 0.2-0.6 (qoq)
ญี่ปุ่น
- เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น โดย ปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวมาจากอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคเอกชน สะท้อนจากยอดค้าปลีกในเดือนพฤษภาคมที่ขยายตัวร้อยละ 2.7 (yoy) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะการจ้างงานและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ผลสำรวจความเห็นของผู้ประกอบการ หรือ Tankan Survey ล่าสุดในเดือนมิถุนายนปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรก ในรอบ 3 ไตรมาส โดยดัชนีที่สำรวจผู้ประกอบการ รายใหญ่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 18 เทียบกับระดับ 14 ในเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงแรงขับเคลื่อน (momentum)ของการขยายตัวของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548
นอกจากนี้ ดัชนี PMI ซึ่งเป็นตัวชี้กิจกรรมการผลิต (manufacturing activity) ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นโดยล่าสุดในเดือนมิถุนายน ดัชนี PMI ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ53.9 สูงที่สุดในรอบ 10 เดือน จากยอดการสั่งซื้อที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นจะสามารถปรับตัวดีขึ้นในระยะต่อไป
แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวดีขึ้นจากอุปสงค์ภายในประเทศ แต่สถานการณ์เงินฝืดในญี่ปุ่นยัง คงไม่คลี่คลาย โดยราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากยังคงไม่สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อ ในเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่ เปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ เป็นผลจากการปรับลดราคาสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี และ ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ได้แก่ ค่าไฟฟ้าและค่าโทรศัพท์
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยจากผลสำรวจของกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม ที่สำรวจบริษัทขนาดใหญ่ 156 บริษัท พบว่าร้อยละ 60 ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่าการส่งผ่านภาระต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคเป็นไปได้ยาก โดยธุรกิจที่ตอบว่าได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ เหล็ก รถยนต์ อลูมิเนียม และซีเมนต์
เอเชีย
เศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียในช่วงไตรมาสที่ 2 มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก สะท้อนจากตัวเลข GDP ของสิงคโปร์ และจีนที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันแรงกดดันด้านเงินเฟ้อของบางประเทศได้เริ่มลดลง อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงอาจสร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะต่อไปทำให้ธนาคารกลางหลายประเทศดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดมากขึ้นสำหรับการส่งออกของประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคยังชะลอตัว ยกเว้นจีนที่ยังขยายตัวได้ในระดับสูงเนื่องจากสามารถครองส่วนแบ่งในตลาดโลกได้มากกว่าประเทศอื่นทั้งนี้ จีนได้ประกาศปรับเปลี่ยนนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจากการตรึงค่าเงินหยวนกับดอลลาร์ สรอ. ไปสู่การตรึงกับตะกร้าเงิน หลังจากที่ได้รับแรงกดดันให้ปรับค่าเงินหยวนให้แข็งค่ามาเป็นเวลานาน
ทางการสิงคโปร์ประกาศประมาณการ GDPล่วงหน้า (Advance GDP Estimate) สำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2548 (คำนวณจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือนเมษายนและพฤษภาคม) โดยให้ขยายตัวร้อยละ 3.9 (yoy) เร่งขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 2.8 (yoy) หรือขยายตัวร้อยละ 12.3 (qoq saa) ปัจจัยสำคัญมาจากการขยายตัวของภาคการผลิต โดยเฉพาะในกลุ่มวิศวกรรมการขนส่งขณะเดียวกันการผลิตในอุตสาหกรรม biomedical ก็เริ่มฟื้นตัวแม้ยังติดลบอยู่ ส่วนการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเคมีภัณฑ์ยังคงขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ สำหรับภาคบริการเร่งตัวขึ้นในเกือบทุกกลุ่ม ยกเว้นการขนส่งทางน้ำและการสื่อสาร
เศรษฐกิจจีนในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวสูงที่ร้อยละ9.5 (yoy) ต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 9.4 yoy) โดยมีปัจจัยมาจากการบริโภค การลงทุน และการส่งออกที่ยังขยายตัวแข็งแกร่ง โดยการลงทุนที่ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งในเดือนพฤษภาคมรัฐบาลมาเลเซียได้ปรับขึ้นราคาได้แก่ การลงทุนในเหมืองถ่านหิน การผลิตไฟฟ้า การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และการสร้างทางรถไฟ ทั้งนี้ สำนักสถิติ จีนเห็นว่าโดยรวมแล้วภาวะเศรษฐกิจจีนอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังมีปัญหาในบางเรื่อง อาทิ การทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น และปัญหาเรื่องการลงทุนที่ยังสูงเกินไป และมีโครงสร้างที่ยังไม่เหมาะสม ซึ่งในช่วงหลังของปีนี้ทางการจีนจะยังคงดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเพื่อรักษาการขยายตัวให้มั่นคงและแข็งแกร่งต่อไป
แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่เริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่เศรษฐกิจของเกาหลีมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวช้ากว่า ที่คาดไว้ โดยธนาคารกลางเกาหลีได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2005 จากร้อยละ 4.0 เป็น ร้อยละ 3.8 เนื่องจากคาดว่าการลงทุนและการส่งออกจะชะลอลงกว่าที่ประมาณการไว้เดิม จากปัจจัยราคาน้ำมันที่สูงกว่าคาด อย่างไรก็ดี ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2548 ที่ร้อยละ 3.0
อัตราเงินเฟ้อของประเทศในภูมิภาคส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง แต่มีการปรับลดลงบ้างตาม การลดลงของราคาสินค้าในหมวดอาหาร โดยอัตราเงินเฟ้อของจีนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 1.6 (yoy) หลังจากอยู่ที่ร้อยละ1.8 (yoy) ติดต่อกัน 2 เดือน สำหรับอัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ในเดือนมิถุนายนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 7.6 (yoy)ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน โดยมีปัจจัยมาจากการชะลอลงของราคาอาหาร ที่อยู่อาศัย และค่าสาธารณูปโภค นอกจากนี้อัตราเงินเฟ้อของสิงคโปร์ได้เริ่มติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ2 ปี โดยติดลบร้อยละ 0.2 (yoy) เนื่องจากการปรับตัวลดลงของราคารถยนต์ กอปรกับร้านค้าต่างลดราคาสินค้าในช่วง เทศกาลลดราคาประจำปี
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อของมาเลเซียกลับเร่ง สูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.2 (yoy) ในเดือนมิถุนายน ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 ปี โดยองค์ประกอบที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งขึ้นมาจากหมวดอาหาร ค่าขนส่ง เครื่องดื่มและยาสูบน้ำมันดีเซลร้อยละ 23 จึงส่งผลกระทบต่อราคาอาหาร และค่าขนส่ง นอกจากนี้ ทางการยังปรับเพิ่มอากรสำหรับเครื่องดื่มและยาสูบอีกด้วย ทั้งนี้ ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ตลอดจนค่าเงินในภูมิภาคเอเชียที่อ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมา แม้จะแข็งค่าขึ้นบ้างภายหลังการแข็งค่าของเงินหยวน แต่ยังคงสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อให้กับหลายประเทศ
การส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชีย ส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงชะลอตัว ยกเว้นการส่งออกของจีนที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง และการส่งออกของสิงคโปร์ที่เริ่ม ปรับตัวดีขึ้น การส่งออกของไต้หวันในเดือนมิถุนายนชะลอลงมาอยู่ที่ร้อยละ 3.1 (yoy) เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 4.0 โดยการส่งออกสินค้าประเภทเทคโนโลยียังคงหดตัวอยู่ สำหรับการส่งออกสินค้า ประเภทไม่ใช่พลังงาน (Non-oil domestic exports) ของสิงคโปร์ในเดือนมิถุนายนฟื้นตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 3.4 (yoy) หลังจากหดตัวร้อยละ 2.3 ในเดือนก่อนหน้า จากการฟื้นตัวของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และสินค้าในกลุ่มเภสัชภัณฑ์ สำหรับการส่งออกของจีนในเดือนมิถุนายนขยายตัวร้อยละ 30.6 สูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ส่วนหนึ่งที่ทำให้การส่งออกของจีนยังคงขยายตัวสูงเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคมาจากการที่สินค้าจีนครองตลาดโลกในสัดส่วนที่สูงกว่า
- นโยบายการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางในภูมิภาคเอเชียดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดมากขึ้น เนื่องจากเริ่มมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อโดยเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ธนาคารกลางไต้หวันได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน Discount Rate ร้อยละ 0.125 ต่อปี เป็นร้อยละ 2.0 ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในรอบ 3 ปี โดยเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานติดต่อกันทุกไตรมาสนับตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว เนื่องจากมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังอยู่ในระดับต่ำ
สำหรับฟิลิปปินส์นั้นแม้อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงแต่ธนาคารกลางฟิลิปปินส์พบว่าสภาพคล่องในระบบที่อยู่ในระดับสูงได้ส่งผลให้ค่าเงินฟิลิปปินส์เปโซอ่อนค่าลง ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในระยะต่อไป จึงได้ปรับขึ้นอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมาย (Regular reserve requirement) ร้อยละ 1 และเงินสำรองเพื่อสภาพคล่อง(Liquidity reserve requirement) ร้อยละ 1
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ธนาคาร กลางอินโดนีเซียได้ประกาศอย่างเป็นทางการในการปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินจากกรอบเป้าหมาย การขยายตัวของปริมาณเงิน (Monetary base targeting framework) เป็นกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ย (Interest rate targeting framework) และเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานSBI rate ระยะ 1 เดือน จากร้อยละ 8.25 เป็นร้อยละ 8.5 เพื่อดูแลเสถียรภาพด้านราคา ทั้งนี้ ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้กำหนดเป้าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปีนี้ไว้ที่ร้อยละ 5-7 และจะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินทุกๆ 3 เดือน
เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2548 ธนาคารกลางจีน ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนจากการตรึงค่าเงินหยวนไว้กับดอลลาร์ สรอ. ไปอิงค่าเงินหยวนกับตะกร้าเงิน โดยอัตราแลกเปลี่ยนจะเปลี่ยนแปลงไปตามอุปสงค์และอุปทานของตลาด และได้กำหนดให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าทันทีไปอยู่ที่ 8.11 หยวนต่อดอลลาร์ สรอ. และต่อมาในวันเดียวกันธนาคารกลางมาเลเซีย ก็ได้ประกาศปรับเปลี่ยนการตรึงค่าเงินริงกิตกับดอลลาร์ สรอ. ไปสู่ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบจัดการ
อนึ่ง เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2548 สถาบันจัดอันดับ Standard & Poor's Ratings Services ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาว สกุลเงินตราต่างประเทศของจีน จาก BBB+ เป็น A- และระยะสั้นจาก A-2 เป็น A-1 และมี outlook เป็นบวก เนื่องจากรัฐบาลจีนได้เร่งดำเนินการปฏิรูปโครงสร้าง ภาคการเงินและผลประกอบการของรัฐวิสาหกิจมีผลกำไรดีขึ้น ขณะเดียวกันได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะยาวสกุลเงินตราต่างประเทศของฮ่องกงจาก A+ เป็น AA- และระยะสั้นจาก A-1 เป็น A-1+ และมี outlook คงที่ เนื่องจากฮ่องกงมีภาวะเศรษฐกิจที่ แข็งแกร่ง ภาคอสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และได้พ้นจากภาวะเงินฝืด รวมทั้งมีภาวะการคลังที่ดีขึ้น และแม้ว่าฮ่องกงจะมีความเสี่ยงจากการที่มีความเชื่อมโยงกับจีนสูง แต่ความเสี่ยงได้ลดลงเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของจีนแข็งแกร่งต่อเนื่อง
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--