แท็ก
ธปท.
ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ไม่สามารถระดมเงินจาก ธ.พาณิชย์เพื่อดูดซับสภาพคล่องและเพิ่มการออมได้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวออกมาว่า ธปท. จะเปิดระดมเงินจาก ธ.พาณิชย์
ในลักษณะเงินฝากมีดอกเบี้ยหรือการเพิ่มสัดส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องรายปักษ์ร้อยละ 7 เพื่อดูดซับสภาพคล่อง
และเพิ่มการออมของประเทศว่า ตามกฎหมายในปัจจุบัน ธปท. ไม่สามารถรับเงินฝาก ธ.พาณิชย์โดยให้อัตราดอกเบี้ยได้
ส่วนการกู้ยืมภายใต้ตลาดซื้อคืนพันธบัตรนั้น หาก ธปท. เป็นผู้กู้ยืมจาก ธ.พาณิชย์ก็ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราตลาด โดย
ในตลาดอาร์พีนั้นส่วนหนึ่งขณะนี้ ธปท. เป็นคนกู้เงินอยู่ สำหรับมาตรการสนับสนุนเงินออมที่จะเสนอ นรม. นั้น ยัง
อยู่ระหว่างการหาข้อสรุปและเตรียมการในการออกมาตรการกับ ก.คลัง ด้าน ดร.ธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท. ยังไม่มีแนวคิดที่จะเพิ่มสัดส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
รายปักษ์ที่ ธ.พาณิชย์ต้องดำรงร้อยละ 7 ของเงินฝาก เพราะมีผลกระทบต่อเรื่องอื่นตามมา และตามปกติวิธีดูดซับ
สภาพคล่องจากระบบนั้น ธปท. ใช้การซื้อขายพันธบัตรในตลาดอาร์พีเป็นหลัก ซึ่งมีทั้งการดูดเงินกับปล่อยเงินออกไป
สู่ระบบแล้วแต่จังหวะที่เหมาะสม (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
2. ก.คลังปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ลงเหลือร้อยละ 4.1-4.6 นายสมชัย สัจ
จพงษ์ โฆษก ก.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังได้ปรับประมาณการภาวะเศรษฐกิจใหม่หลังจากสถานการณ์ราคาน้ำมันใน
ตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในระดับร้อยละ 4.1-4.6 จากเดิมร้อยละ 4.6-5.1 ซึ่ง
เป็นการคาดการณ์ที่สูงกว่าสถาบันต่าง ๆ คาดการณ์ไว้ โดยก่อนหน้านี้ทั้งสถาบันวิจัยต่างประเทศและศูนย์วิจัยของ
ธ.พาณิชย์ไทยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 4 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตร
มาสแรกมาแล้วหลังจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่าง ๆ ทั้งราคาน้ำมัน ไข้หวัดนก ปัญหาภัยแล้ง เป็นต้น นอก
จากนี้ ตัวเลขดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจในไตรมาสสองได้ปรับตัวดีขึ้นทั้งผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ
7.7 ดัชนีผลผลิตการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะติดลบในระดับร้อยละ 2.9 รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวได้เริ่มฟื้น
ตัวกลับมาขยายตัวที่ระดับร้อยละ 1.9 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ลดลงร้อยละ 8.6 และอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้น
เป็น 34.6 ล้านคน จากไตรมาสแรก 34 ล้านคน ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าทั้งจีน เกาหลี และ
สิงคโปร์ปรับตัวดีขึ้น ส่วนสถานการณ์ในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเห็นสัญญาณได้จากดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือน
ก.ค. ที่ขาดดุลลงเหลือเพียง 84 ล้านดอลลาร์ สรอ. และคาดว่าในครึ่งปีหลังดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุล
ประมาณ 1,200-2,200 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เดลินิวส์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
3. ก.คลังยกร่างแผนแม่บทการเงินฐานราก คาดมาตรการการออมภาคบังคับประกาศใช้ได้ก่อน
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รอง ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้มาตรการการออมภาคบังคับของ ก.
คลังศึกษาได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้นแล้ว นอกจากนี้ ยังได้ยกร่างแผนแม่บทการเงินฐานราก ซึ่งในส่วนของมาตรการ
การออมภาคบังคับนั้นคาดว่าน่าจะเสนอเป็นกฎหมายประกาศใช้ได้ก่อน ส่วนการออมระดับฐานรากนั้นจะช่วยให้
องค์กรกลุ่มการออมทรัพย์ระดับฐานรากทำหน้าที่การออมได้ดีขึ้นเนื่องจากได้รับการดูแลจากธนาคารรัฐ และจะช่วย
ดึงเงินออมในระดับฐานรากถึงระดับกลางให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ หากมี 2 มาตรการดังกล่าว จะทำให้เงินออมของ
ประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 160,000-170,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 2 ต่อจีดีพี ซึ่งการ
ออมรวมของประเทศในปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 30-35 ของจีดีพี เป็นระดับทรงตัวไม่ได้มีการปรับลดลงแต่อย่าง
ใด อย่างไรก็ตาม หากมองเฉพาะภาคครัวเรือนสัดส่วนการออมลดลงจากร้อยละ 14 ต่อจีดีพี จากอดีต มาอยู่ที่
ร้อยละ 3-4 ต่อจีดีพี ในปัจจุบัน สาเหตุคาดว่าเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบมาเป็นระยะเวลาหลายปี
ประกอบกับประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการเงินได้ง่ายขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้
ประชาชนหันมากู้เงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น สำหรับการออมในภาคธุรกิจกลับมีระดับที่สูงมากจนเกิน
ไป สาเหตุเป็นเพราะภาคธุรกิจไม่ได้นำรายได้ที่เกิดจากการทำธุรกิจมาลงทุนเพิ่มเติม ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็มี
ระดับเงินออมที่สูงเช่นกัน ดังนั้น การที่ภาครัฐจะนำเงินออมไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
จึงนับได้ว่าเป็นอีกทางหนึ่งที่จะกระตุ้นให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินออมของประเทศกลับมาเองโดย
อัตโนมัติ เพราะจากการศึกษาพบว่าการออมของประชาชนขึ้นอยู่กับรายได้มากกว่าการใช้มาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้
มีการออมหรือผลตอบแทนที่เกิดจากการออม สำหรับมาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการออมภาคครัวเรือนที่
ธปท. เสนอมานั้น หากมีความจำเป็น ก.คลังจะต้องพิจารณาอีกครั้ง (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
4. นรม. เร่งรัดเปิดประกวดราคาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รองโฆษก
ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นรม. ได้เร่งรัดที่ประชุม ครม. ให้รัฐมนตรี
ทุกกระทรวงเร่งรัดการเปิดประกวดราคาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ทุกโครงการภายในสิ้นปีนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า
โครงการได้เริ่มต้นแล้ว และจะทำให้มีเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน นรม. ได้เสนอแนว
คิดให้ นายพินิจ จารุสมบัติ รอง นรม. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปในการใช้ งปม. ของรัฐบาลให้คุ้มค่าและมี
ประสิทธิภาพกรณีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง ซึ่งจะต้องมีการขุดลอกคูคลองหรือแม่น้ำอยู่แล้ว จะทำให้
สามารถประหยัด งปม. ได้หากประสานกับภาคเอกชนที่มีความต้องการดินให้มาขุดลอกคู่คลองให้รัฐบาลฟรี แต่ใช้ดิน
แลกเปลี่ยนกับค่าแรงงานและค่าอุปกรณ์ทดแทน (ไทยรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ สรอ. ณ สัปดาห์ล่าสุดลดลงอยู่ที่ระดับ —12 รายงานจากนิวยอร์ก
เมื่อ 30 ส.ค.48 The ABC News and Washington Post เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ สรอ.
ณ สัปดาห์สิ้นสุด 28 ส.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ —12 จากระดับ —9 ในสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากระดับราคาน้ำมัน
เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ ดัชนีที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค 2 ใน 3 ตัวลดลง ส่วนอีก 1 ตัว ไม่
เปลี่ยนแปลง คือ จำนวนผู้บริโภคที่มุมมองด้านบวกสำหรับเศรษฐกิจในประเทศลดลงอยู่ที่ร้อยละ 37 จากร้อยละ
39 ในสัปดาห์ก่อน ส่วนจำนวนผู้มีมุมมองด้านบวกด้านการเงินส่วนบุคคลลดลงอยู่ที่ร้อยละ 59 จากร้อยละ 61 ใน
สัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่จำนวนผู้บริโภคที่มีความเชื่อมั่นว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการจับจ่ายใช้สอยไม่เปลี่ยนแปลงอยู่
ที่ระดับร้อยละ 36 เช่นเดิม อนึ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ สรอ.เป็นเครื่องชี้วัดถึงมุมมองทั่วไปด้านการใช้
จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งมีสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของระบบเศรษฐกิจ สรอ. โดยได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง
1,000 รายในรอบ 4 สัปดาห์ และมีความผิดพลาดระหว่างบวกลบร้อยละ 3 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ให้ข้อ
สังเกตว่า ผู้บริโภคใน สรอ.มักมีพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับที่ตอบไว้ในแบบสำรวจ (รอยเตอร์)
2. จำนวนคนว่างงานในเยอรมนีในเดือน ส.ค.48 ลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน รายงานจาก
เบอร์ลิน เมื่อ 30 ส.ค.48 แหล่งข่าวที่ทราบตัวเลขจำนวนคนว่างงานในเยอรมนีก่อนที่ สนง.แรงงานกลางของ
เยอรมนีจะประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ส.ค.48 เวลา 8.00 น.ตามเวลากรีนนิช เปิดเผยว่าจำนวนคน
ว่างงานในเยอรมนีในเดือน ส.ค.48 หลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วลดลง 12,000 คนจากเดือนก่อน ลดลงเป็น
เดือนที่ 5 ติดต่อกัน และลดลงน้อยกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ที่ 20,000 คนจากผลสำรวจเมื่อสัปดาห์ก่อน ในขณะที่
จำนวนคนว่างงานก่อนปรับตัวเลขตามฤดูกาลในเดือน ส.ค. 48 ลดลง 44,000 คนเหลือ 4.728 ล้านคน หรือ
เท่ากับร้อยละ 11.4 ของจำนวนคนทำงานทั้งหมดของประเทศ ลดลงจากร้อยละ 11.5 ในเดือน ก.ค.48 โดย
จำนวนคนว่างงานในเยอรมนีลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่หลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดีจำนวนคนว่างงานยังอยู่ในระดับใกล้ 5 ล้านคนและเป็นประเด็นที่คาดว่า
จะทำให้พรรครัฐบาลแพ้การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 18 ก.ย.48 นี้ โดยผลสำรวจคะแนนนิยมล่าสุดปรากฎว่าพรรค
รัฐบาลมีคะแนนตามหลังพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอยู่ 12 — 16 คะแนน โดยหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมให้
สัญญาว่าจะยังคงปฏิรูปตลาดแรงงานต่อจากที่พรรครัฐบาลได้ทำไว้และจะผ่อนคลายกฎการปลดคนงานเพื่อกระตุ้นให้
ธุรกิจมีการจ้างงานมากขึ้น (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ก.ค.48 ลดลงร้อยละ 1.1 เทียบต่อเดือน รายงานจาก
โตเกียวเมื่อ 31 ส.ค.48 The Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) เปิดเผยว่า
ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ก.ค.48 ลดลงร้อยละ 1.1 เทียบกับเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ใน
เดือนก่อนหน้า เป็นการลดลงมากกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 0.5 สาเหตุจากการ
ลดลงของผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์การขนส่งและเครื่องมือเครื่องจักรทั่วไป อย่างไรก็ตาม METI คาดว่า
ผลผลิตโรงงานซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของผลผลิตอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ในเดือน ส.ค.และ ก.
ย.48 สะท้อนว่าผลผลิตอุตสาหกรรมอาจมีทิศทางแข็งแกร่งขึ้น และก่อให้เกิดความคาดหวังว่าเศรษฐกิจอาจจะ
เคลื่อนไหวในระดับที่ดีขึ้น สำหรับผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี (เม.ย.-มิ.ย.48) ลดลงร้อยละ
0.4 เทียบต่อไตรมาส หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการส่งออกขยายตัวชะลอ
ลงโดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศจีน ประกอบกับการที่ปริมาณสินค้าคงคลังของสินค้าไฮเทคในตลาดโลกเพิ่มขึ้น
และส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าดังกล่าวของญี่ปุ่น (รอยเตอร์)
4. รัฐบาลเกาหลีใต้ตระหนักถึงผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ รายงานจากโซล เมื่อ
วันที่ 30 ส.ค. 48 รมว.คลังเกาหลีใต้เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนจะจัดเก็บภาษีสำหรับผู้มีบ้านหลายหลังและผู้มีที่ดิน
จำนวนมาก ซึ่งหากมีการดำเนินการดังกล่าวจริงประชากรประมาณน้อยกว่าร้อยละ 2 จะได้รับผลกระทบจาก
มาตรการนี้ ทั้งนี้รองรมว.คลังเกาหลีใต้ซึ่งดูแลเรื่องนโยบายภาษียอมรับว่ามีความวิตกว่าชาวเกาหลีใต้จำนวนมาก
จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีดังกล่าวซึ่งจะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวและเพิ่มภาระให้แก่ผู้เสีย
ภาษีโดยทั่วไปนอกจากนั้นยังส่งผลต่อการใช้จ่ายผู้บริโภคด้วย ทั้งนี้รัฐบาลเกาหลีใต้มีแผนที่จะเปิดเผยมาตรการภาษี
ใหม่ในวันพุธนี้โดยมาตรการดังกล่าวจะจัดเก็บภาษีในอัตราสูงแก่ผู้มีบ้านเป็นของตนเองหลายหลัง อย่างไรก็ตามนัก
เศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่าการปรับเพิ่มอัตราภาษีดังกล่าวของรัฐและความเป็นไปได้ในการลดลงอย่างรวดเร็ว
ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคซึ่งปัจจุบันเปราะบางอยู่แล้วจากราคาน้ำมันที่
อยู่ในระดับสูงต้องลดลงอีก ทั้งนี้ธ.กลางเกาหลีใต้ยังเชื่อมั่นว่าการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนจะอยู่ในอัตราที่
สูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้อันจะทำให้เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของเอเซียจะขยายตัวร้อยละ 3.8
ในปีนี้แม้ในช่วงครึ่งแรกปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวเพียงร้อยละ 3.0 ก็ตาม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 31 ส.ค. 48 30 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.363 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.1657/41.4443 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.84792 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 692.86/ 11.62 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,450/8,550 8,550/8,650 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 59.85 58.14 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.54*/23.39* 26.54*/23.39* 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 29 ส.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ไม่สามารถระดมเงินจาก ธ.พาณิชย์เพื่อดูดซับสภาพคล่องและเพิ่มการออมได้
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงกรณีที่มีข่าวออกมาว่า ธปท. จะเปิดระดมเงินจาก ธ.พาณิชย์
ในลักษณะเงินฝากมีดอกเบี้ยหรือการเพิ่มสัดส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องรายปักษ์ร้อยละ 7 เพื่อดูดซับสภาพคล่อง
และเพิ่มการออมของประเทศว่า ตามกฎหมายในปัจจุบัน ธปท. ไม่สามารถรับเงินฝาก ธ.พาณิชย์โดยให้อัตราดอกเบี้ยได้
ส่วนการกู้ยืมภายใต้ตลาดซื้อคืนพันธบัตรนั้น หาก ธปท. เป็นผู้กู้ยืมจาก ธ.พาณิชย์ก็ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราตลาด โดย
ในตลาดอาร์พีนั้นส่วนหนึ่งขณะนี้ ธปท. เป็นคนกู้เงินอยู่ สำหรับมาตรการสนับสนุนเงินออมที่จะเสนอ นรม. นั้น ยัง
อยู่ระหว่างการหาข้อสรุปและเตรียมการในการออกมาตรการกับ ก.คลัง ด้าน ดร.ธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท. ยังไม่มีแนวคิดที่จะเพิ่มสัดส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง
รายปักษ์ที่ ธ.พาณิชย์ต้องดำรงร้อยละ 7 ของเงินฝาก เพราะมีผลกระทบต่อเรื่องอื่นตามมา และตามปกติวิธีดูดซับ
สภาพคล่องจากระบบนั้น ธปท. ใช้การซื้อขายพันธบัตรในตลาดอาร์พีเป็นหลัก ซึ่งมีทั้งการดูดเงินกับปล่อยเงินออกไป
สู่ระบบแล้วแต่จังหวะที่เหมาะสม (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
2. ก.คลังปรับลดประมาณการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีนี้ลงเหลือร้อยละ 4.1-4.6 นายสมชัย สัจ
จพงษ์ โฆษก ก.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังได้ปรับประมาณการภาวะเศรษฐกิจใหม่หลังจากสถานการณ์ราคาน้ำมันใน
ตลาดโลกปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตในระดับร้อยละ 4.1-4.6 จากเดิมร้อยละ 4.6-5.1 ซึ่ง
เป็นการคาดการณ์ที่สูงกว่าสถาบันต่าง ๆ คาดการณ์ไว้ โดยก่อนหน้านี้ทั้งสถาบันวิจัยต่างประเทศและศูนย์วิจัยของ
ธ.พาณิชย์ไทยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 4 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดในไตร
มาสแรกมาแล้วหลังจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่าง ๆ ทั้งราคาน้ำมัน ไข้หวัดนก ปัญหาภัยแล้ง เป็นต้น นอก
จากนี้ ตัวเลขดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจในไตรมาสสองได้ปรับตัวดีขึ้นทั้งผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ
7.7 ดัชนีผลผลิตการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะติดลบในระดับร้อยละ 2.9 รวมทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวได้เริ่มฟื้น
ตัวกลับมาขยายตัวที่ระดับร้อยละ 1.9 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกที่ลดลงร้อยละ 8.6 และอัตราการจ้างงานเพิ่มขึ้น
เป็น 34.6 ล้านคน จากไตรมาสแรก 34 ล้านคน ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าทั้งจีน เกาหลี และ
สิงคโปร์ปรับตัวดีขึ้น ส่วนสถานการณ์ในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเห็นสัญญาณได้จากดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือน
ก.ค. ที่ขาดดุลลงเหลือเพียง 84 ล้านดอลลาร์ สรอ. และคาดว่าในครึ่งปีหลังดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุล
ประมาณ 1,200-2,200 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เดลินิวส์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
3. ก.คลังยกร่างแผนแม่บทการเงินฐานราก คาดมาตรการการออมภาคบังคับประกาศใช้ได้ก่อน
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รอง ผอ.สนง.เศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้มาตรการการออมภาคบังคับของ ก.
คลังศึกษาได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้นแล้ว นอกจากนี้ ยังได้ยกร่างแผนแม่บทการเงินฐานราก ซึ่งในส่วนของมาตรการ
การออมภาคบังคับนั้นคาดว่าน่าจะเสนอเป็นกฎหมายประกาศใช้ได้ก่อน ส่วนการออมระดับฐานรากนั้นจะช่วยให้
องค์กรกลุ่มการออมทรัพย์ระดับฐานรากทำหน้าที่การออมได้ดีขึ้นเนื่องจากได้รับการดูแลจากธนาคารรัฐ และจะช่วย
ดึงเงินออมในระดับฐานรากถึงระดับกลางให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ หากมี 2 มาตรการดังกล่าว จะทำให้เงินออมของ
ประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 160,000-170,000 ล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 2 ต่อจีดีพี ซึ่งการ
ออมรวมของประเทศในปัจจุบันอยู่ที่ระดับร้อยละ 30-35 ของจีดีพี เป็นระดับทรงตัวไม่ได้มีการปรับลดลงแต่อย่าง
ใด อย่างไรก็ตาม หากมองเฉพาะภาคครัวเรือนสัดส่วนการออมลดลงจากร้อยละ 14 ต่อจีดีพี จากอดีต มาอยู่ที่
ร้อยละ 3-4 ต่อจีดีพี ในปัจจุบัน สาเหตุคาดว่าเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบมาเป็นระยะเวลาหลายปี
ประกอบกับประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการเงินได้ง่ายขึ้น และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ในระดับต่ำ จึงทำให้
ประชาชนหันมากู้เงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากขึ้น สำหรับการออมในภาคธุรกิจกลับมีระดับที่สูงมากจนเกิน
ไป สาเหตุเป็นเพราะภาคธุรกิจไม่ได้นำรายได้ที่เกิดจากการทำธุรกิจมาลงทุนเพิ่มเติม ขณะเดียวกันภาครัฐเองก็มี
ระดับเงินออมที่สูงเช่นกัน ดังนั้น การที่ภาครัฐจะนำเงินออมไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
จึงนับได้ว่าเป็นอีกทางหนึ่งที่จะกระตุ้นให้คนมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินออมของประเทศกลับมาเองโดย
อัตโนมัติ เพราะจากการศึกษาพบว่าการออมของประชาชนขึ้นอยู่กับรายได้มากกว่าการใช้มาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้
มีการออมหรือผลตอบแทนที่เกิดจากการออม สำหรับมาตรการทางภาษีเพื่อกระตุ้นให้เกิดการออมภาคครัวเรือนที่
ธปท. เสนอมานั้น หากมีความจำเป็น ก.คลังจะต้องพิจารณาอีกครั้ง (ผู้จัดการรายวัน, โพสต์ทูเดย์)
4. นรม. เร่งรัดเปิดประกวดราคาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รองโฆษก
ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นรม. ได้เร่งรัดที่ประชุม ครม. ให้รัฐมนตรี
ทุกกระทรวงเร่งรัดการเปิดประกวดราคาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ทุกโครงการภายในสิ้นปีนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า
โครงการได้เริ่มต้นแล้ว และจะทำให้มีเงินเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน นรม. ได้เสนอแนว
คิดให้ นายพินิจ จารุสมบัติ รอง นรม. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปในการใช้ งปม. ของรัฐบาลให้คุ้มค่าและมี
ประสิทธิภาพกรณีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง ซึ่งจะต้องมีการขุดลอกคูคลองหรือแม่น้ำอยู่แล้ว จะทำให้
สามารถประหยัด งปม. ได้หากประสานกับภาคเอกชนที่มีความต้องการดินให้มาขุดลอกคู่คลองให้รัฐบาลฟรี แต่ใช้ดิน
แลกเปลี่ยนกับค่าแรงงานและค่าอุปกรณ์ทดแทน (ไทยรัฐ, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ สรอ. ณ สัปดาห์ล่าสุดลดลงอยู่ที่ระดับ —12 รายงานจากนิวยอร์ก
เมื่อ 30 ส.ค.48 The ABC News and Washington Post เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ สรอ.
ณ สัปดาห์สิ้นสุด 28 ส.ค.48 ลดลงอยู่ที่ระดับ —12 จากระดับ —9 ในสัปดาห์ก่อนหน้า เนื่องจากระดับราคาน้ำมัน
เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ ดัชนีที่เป็นองค์ประกอบของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค 2 ใน 3 ตัวลดลง ส่วนอีก 1 ตัว ไม่
เปลี่ยนแปลง คือ จำนวนผู้บริโภคที่มุมมองด้านบวกสำหรับเศรษฐกิจในประเทศลดลงอยู่ที่ร้อยละ 37 จากร้อยละ
39 ในสัปดาห์ก่อน ส่วนจำนวนผู้มีมุมมองด้านบวกด้านการเงินส่วนบุคคลลดลงอยู่ที่ร้อยละ 59 จากร้อยละ 61 ใน
สัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่จำนวนผู้บริโภคที่มีความเชื่อมั่นว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการจับจ่ายใช้สอยไม่เปลี่ยนแปลงอยู่
ที่ระดับร้อยละ 36 เช่นเดิม อนึ่ง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ สรอ.เป็นเครื่องชี้วัดถึงมุมมองทั่วไปด้านการใช้
จ่ายของผู้บริโภค ซึ่งมีสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของระบบเศรษฐกิจ สรอ. โดยได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง
1,000 รายในรอบ 4 สัปดาห์ และมีความผิดพลาดระหว่างบวกลบร้อยละ 3 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ให้ข้อ
สังเกตว่า ผู้บริโภคใน สรอ.มักมีพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับที่ตอบไว้ในแบบสำรวจ (รอยเตอร์)
2. จำนวนคนว่างงานในเยอรมนีในเดือน ส.ค.48 ลดลงเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน รายงานจาก
เบอร์ลิน เมื่อ 30 ส.ค.48 แหล่งข่าวที่ทราบตัวเลขจำนวนคนว่างงานในเยอรมนีก่อนที่ สนง.แรงงานกลางของ
เยอรมนีจะประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 31 ส.ค.48 เวลา 8.00 น.ตามเวลากรีนนิช เปิดเผยว่าจำนวนคน
ว่างงานในเยอรมนีในเดือน ส.ค.48 หลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วลดลง 12,000 คนจากเดือนก่อน ลดลงเป็น
เดือนที่ 5 ติดต่อกัน และลดลงน้อยกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ที่ 20,000 คนจากผลสำรวจเมื่อสัปดาห์ก่อน ในขณะที่
จำนวนคนว่างงานก่อนปรับตัวเลขตามฤดูกาลในเดือน ส.ค. 48 ลดลง 44,000 คนเหลือ 4.728 ล้านคน หรือ
เท่ากับร้อยละ 11.4 ของจำนวนคนทำงานทั้งหมดของประเทศ ลดลงจากร้อยละ 11.5 ในเดือน ก.ค.48 โดย
จำนวนคนว่างงานในเยอรมนีลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่หลังสงครามโลก
ครั้งที่ 2 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดีจำนวนคนว่างงานยังอยู่ในระดับใกล้ 5 ล้านคนและเป็นประเด็นที่คาดว่า
จะทำให้พรรครัฐบาลแพ้การเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 18 ก.ย.48 นี้ โดยผลสำรวจคะแนนนิยมล่าสุดปรากฎว่าพรรค
รัฐบาลมีคะแนนตามหลังพรรคอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านอยู่ 12 — 16 คะแนน โดยหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมให้
สัญญาว่าจะยังคงปฏิรูปตลาดแรงงานต่อจากที่พรรครัฐบาลได้ทำไว้และจะผ่อนคลายกฎการปลดคนงานเพื่อกระตุ้นให้
ธุรกิจมีการจ้างงานมากขึ้น (รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ก.ค.48 ลดลงร้อยละ 1.1 เทียบต่อเดือน รายงานจาก
โตเกียวเมื่อ 31 ส.ค.48 The Ministry of Economy, Trade and Industry (METI) เปิดเผยว่า
ผลผลิตอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ก.ค.48 ลดลงร้อยละ 1.1 เทียบกับเดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 ใน
เดือนก่อนหน้า เป็นการลดลงมากกว่าการคาดการณ์ของตลาดซึ่งคาดว่าจะลดลงเพียงร้อยละ 0.5 สาเหตุจากการ
ลดลงของผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์การขนส่งและเครื่องมือเครื่องจักรทั่วไป อย่างไรก็ตาม METI คาดว่า
ผลผลิตโรงงานซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักของผลผลิตอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 ในเดือน ส.ค.และ ก.
ย.48 สะท้อนว่าผลผลิตอุตสาหกรรมอาจมีทิศทางแข็งแกร่งขึ้น และก่อให้เกิดความคาดหวังว่าเศรษฐกิจอาจจะ
เคลื่อนไหวในระดับที่ดีขึ้น สำหรับผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี (เม.ย.-มิ.ย.48) ลดลงร้อยละ
0.4 เทียบต่อไตรมาส หลังจากที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ในช่วงไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการส่งออกขยายตัวชะลอ
ลงโดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศจีน ประกอบกับการที่ปริมาณสินค้าคงคลังของสินค้าไฮเทคในตลาดโลกเพิ่มขึ้น
และส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าดังกล่าวของญี่ปุ่น (รอยเตอร์)
4. รัฐบาลเกาหลีใต้ตระหนักถึงผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีอสังหาริมทรัพย์ รายงานจากโซล เมื่อ
วันที่ 30 ส.ค. 48 รมว.คลังเกาหลีใต้เปิดเผยว่า รัฐบาลมีแผนจะจัดเก็บภาษีสำหรับผู้มีบ้านหลายหลังและผู้มีที่ดิน
จำนวนมาก ซึ่งหากมีการดำเนินการดังกล่าวจริงประชากรประมาณน้อยกว่าร้อยละ 2 จะได้รับผลกระทบจาก
มาตรการนี้ ทั้งนี้รองรมว.คลังเกาหลีใต้ซึ่งดูแลเรื่องนโยบายภาษียอมรับว่ามีความวิตกว่าชาวเกาหลีใต้จำนวนมาก
จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีดังกล่าวซึ่งจะส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวและเพิ่มภาระให้แก่ผู้เสีย
ภาษีโดยทั่วไปนอกจากนั้นยังส่งผลต่อการใช้จ่ายผู้บริโภคด้วย ทั้งนี้รัฐบาลเกาหลีใต้มีแผนที่จะเปิดเผยมาตรการภาษี
ใหม่ในวันพุธนี้โดยมาตรการดังกล่าวจะจัดเก็บภาษีในอัตราสูงแก่ผู้มีบ้านเป็นของตนเองหลายหลัง อย่างไรก็ตามนัก
เศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่าการปรับเพิ่มอัตราภาษีดังกล่าวของรัฐและความเป็นไปได้ในการลดลงอย่างรวดเร็ว
ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมจะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคซึ่งปัจจุบันเปราะบางอยู่แล้วจากราคาน้ำมันที่
อยู่ในระดับสูงต้องลดลงอีก ทั้งนี้ธ.กลางเกาหลีใต้ยังเชื่อมั่นว่าการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนจะอยู่ในอัตราที่
สูงขึ้นในช่วงปลายปีนี้อันจะทำให้เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ซึ่งใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของเอเซียจะขยายตัวร้อยละ 3.8
ในปีนี้แม้ในช่วงครึ่งแรกปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวเพียงร้อยละ 3.0 ก็ตาม (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 31 ส.ค. 48 30 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.363 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.1657/41.4443 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.84792 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 692.86/ 11.62 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,450/8,550 8,550/8,650 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 59.85 58.14 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.54*/23.39* 26.54*/23.39* 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 29 ส.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--