ในไตรมาส 1/2548 ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก คงหนีไม่พ้นราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นวิกฤติด้านราคาน้ำมัน ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศ 3 มหาอำนาจหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและญี่ปุ่น มีสัญญาณการเจริญเติบโตที่ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนสำหรับสหรัฐอเมริกายังประสบปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นนั้น การส่งออกเริ่มชะลอตัวลง จากการที่ 3 มหาอำนาจหลักดังกล่าวประสบปัญหาการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวเช่นเดียวกัน เนื่องจาก 3 ประเทศมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประมาณเกือบ 3 ใน 4 ของ GDP โลก แต่ในขณะที่จีน การส่งออกได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอัตราร้อยละ 35 ทำให้ดุลการค้าเกินดุล และเกินดุลกับสหรัฐอเมริกามากที่สุด ส่วนประเทศในแถบเอเชียส่วนใหญ่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงจากภาคการส่งออกชะลอตัวโดยเฉพาะการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทำให้คาดว่าเศรษฐกิจโลกในปี2548อาจขยายตัวได้ไม่เกินร้อยละ 3
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกและประเทศต่างๆที่สำคัญ (%)
ประเทศ 2547 2548 *
เศรษฐกิจโลก 4 3
สหรัฐอเมริกา 4.4 3.3
สหภาพยุโรป (EU 25 ) 2.4 1.9
เอเชียและออสเตรเลีย 4.7 3.4
ญี่ปุ่น 2.6 0.9
ฮ่องกง 8.1 4.6
สิงคโปร์ 8.4 4.5
เกาหลีใต้ 4.7 3.1
อินโดนีเซีย 5.1 5.4
ฟิลิบปินส์ 6.1 5.1
มาเลเซีย 7.1 4.8
ไทย 6.1 5.2
จีน 9.5 9
หมายเหตุ : ตัวเลขจาก Economist Intelligence Unit
* เป็นตัวเลขคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2548
สำหรับประเด็นเศรษฐกิจโลกที่สำคัญในไตรมาส 1/2548 มีดังนี้
1. สหรัฐอเมริกายังประสบปัญหาการขาดดุลแฝด (Twin deficits) ทั้งขาดดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้สหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์ (Fed Funds) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548, 22 มีนาคม 2548 และ 3พฤษภาคม 2548 เป็นร้อยละ 2.5, 2.75 และ 3 ตามลำดับ ซึ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้มุมมองหนึ่งคาดการณ์กันว่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางของเอเชียจะซื้อเงินดอลลาร์ สรอ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้ค่าเงินของประเทศตนแข็งค่าเกินไปเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แต่ถ้าวิเคราะห์กันในอีกมุมมองหนึ่งจากการที่สหรัฐฯขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่วิกฤติมากขึ้น ทำให้ภาระหนี้สินมีมากขึ้น ความเชื่อมั่นของประเทศต่างๆต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจลดลงโดยไม่ซื้อดอลลาร์ สรอ. ทำให้เงินทุนอาจไม่ไหลเข้าสหรัฐฯ โดยประเทศต่าง ๆ หันไปถือเงินตราสกุลอื่นแทน ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลง ทำให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง ทำให้คาดการณ์ว่า ปี 2548 เศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวประมาณ ร้อยละ 3.3 เท่านั้น
2. เศรษฐกิจสหภาพยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากอุปสงค์ภายในประเทศจากการที่การว่างงานอยู่ในระดับสูง การขาดดุลงบประมาณในประเทศหลักๆหลายประเทศ ประกอบกับความผันผวนของราคาน้ำมัน ความไม่สมดุลของภาวะเศรษฐกิจโลก และการแข็งค่าของเงินยูโรย่อมกระทบต่อภาวะการส่งออกและภาวะเศรษฐกิจ ทำให้คาดการณ์ว่าปี 2548 เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 1.9 เท่านั้น
3.สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยการเกินดุลการค้าลดลงจากการชะลอตัวลงของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้คาดการณ์ว่าในปี 2548 เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวประมาณร้อยละ 0.9
4.ในส่วนของเศรษฐกิจจีนนั้น ถึงแม้จะประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจแบบชะลอลงอย่างช้าๆ (Soft Landing) ก็ตาม แต่ภาวะเศรษฐกิจยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการที่การส่งออกยังขยายตัวสูงในอัตราร้อยละ 35 การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวถึงแม้จะขยายตัวในอัตราที่ลดลง การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรขยายตัวเช่นเดียวกัน ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อจีนในการปรับค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวได้ดีในอัตราร้อยละ 9
5. สำหรับสถานการณ์การค้าโลกในต้นปี 2548 เมื่อพิจารณาประเทศเศรษฐกิจหลักที่สำคัญพบว่าสหรัฐอเมริกามีมูลค่าสินค้าส่งออกในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2548 134,706.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 245,494.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 110,787.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการ ขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุดถึง 29,125.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จีนมีมูลค่าสินค้าส่งออกในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2548 95,028.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 84,177.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เกินดุลการค้า 10,851 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามากที่สุดถึง 13,465.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับ ญี่ปุ่นนั้นในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2548 มีมูลค่าการส่งออกสินค้า 88,881.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 76,612.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เกินดุลการค้า 12,269.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามากที่สุดถึง 10,978.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจากการที่รสนิยมการบริโภคของประชาชนญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคสินค้าราคาถูกจากจีน ทำให้ญี่ปุ่นหันมาทำการค้ากับจีนมากขึ้น โดยนำเข้าสินค้าจีนมากขึ้น ทำให้แนวโน้มการขาดดุลการค้ากับจีนขยายตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ
6. ในไตรมาสนี้ การจัดทำข้อตกลงทางการค้าในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคีได้ทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FTA ซึ่งทุกประเทศได้เล็งเห็นความสำคัญในการเปิดตลาดทั้งตลาดการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ ไม่เพียงเพื่อสร้างเครือข่ายด้านการค้า การผลิต และการลงทุนระหว่างประเทศคู่เจรจาตกลงเท่านั้น แต่จะครอบคลุมไปถึงการใช้ประเทศคู่เจรจาตกลงเป็นประตูไปสู่ตลาดบริเวณภูมิภาคใกล้เคียงด้วย เพื่อเล็งผลประโยชน์ในการแสวงหาตลาดใหม่ ๆที่จะทำการค้า การผลิต และการลงทุนร่วมกันต่อไป
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจทางด้านอุปสงค์เริ่มแสดงให้เห็นแนวโน้มการชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคมปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 92.9 จาก 94.1 ในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น (สหรัฐอเมริกาฯ บริโภคน้ำมันเป็นอันดับ 1 ของโลก) ส่งผลให้ยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากยอดขายในห้างสรรพสินค้า เสื้อผ้า และภัตตาคารปรับลดลง อย่างไรก็ตามยอดขายรถยนต์ น้ำมัน และวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นส่งผลให้ยอดค้าปลีกไม่ชะลอลดลงมากนัก
นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นยังส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed ) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Fed Funds) ในช่วงแรกของปี 2548 ไปแล้ว 3 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ วันที่ 22 มีนาคม และ 3 พฤษภาคม เป็นร้อยละ 2.5, 2.75 และ 3 ตามลำดับ และคาดว่าอาจจะปรับไปจนกระทั่งอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับดุลยภาพ ซึ่งอยู่ประมาณ ร้อยละ 3.5-4.5
ทางด้านการลงทุนของภาคเอกชนค่อย ๆ ฟื้นตัวเล็กน้อย โดยภาคเอกชนยังลังเลที่จะจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากกังวลที่ต้นทุนจะสูงขึ้น ทำให้การจ้างงานฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และจากการที่ผลิตภาพการผลิต (Productivity) มีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยของแรงงานสูงขึ้น ประกอบกับต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ผู้ผลิตจึงผลักภาระไปยังผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เกิดภาวะเงินเฟ้อนำไปสู่การปรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็นวัฎจักร อีกทั้งการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯและการขาดแคลนเงินออม ทำให้ต้องกู้หนี้สาธารณะยากต่อการบริหารนโยบายการคลัง สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลง ขณะที่การนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้นกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพโดยรวมของประเทศ ทำให้คาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในอัตราร้อยละ 3.3
เศรษฐกิจจีน
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจจีนยังขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.5 ซึ่งสวนกระแสที่รัฐบาลประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงมากจากการส่งออกและการลงทุน ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวแข็งแกร่ง
สำหรับการส่งออกในเดือนมีนาคมขยายตัวร้อยละ 32.8 เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ขยายตัวร้อยละ 30 ทางด้านการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในไตรมาส 1/2548 ขยายตัวร้อยละ 22.8 โดยการลงทุนในเมืองขยายตัวสูงกว่าการลงทุนในชนบท โดยเฉพาะการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนร้อยละ 25.7 ของการลงทุนที่เกิดขึ้นในเมืองทั้งหมดที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.7 ทำให้ธนาคารกลางจีนต้องออกมาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์เมื่อกลางเดือนมีนาคม เพื่อป้องกันปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจากฟองสบู่แตก และปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ตามมา อนึ่งสำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ได้ขยายตัวร้อยละ 16.9 เทียบกับช่วงไตรมาส 4/2547 ที่ขยายตัวร้อยละ 21 ในส่วนของการบริโภคในไตรมาส 1/2548 ยอดค้าปลีกยังขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 13.7 และจากการที่จีนเข้าเป็นสมาชิก WTO ประกอบกับการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ทำให้อัตราภาษีในจีนต่ำลง ส่งผลให้ราคาสินค้าลดต่ำลงมาก เช่น รถยนต์ Volkswagen ในจีนขายเพียงประมาณคันละ 5 แสนบาท เป็นต้น กระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
สำหรับอัตราเงินเฟ้อของจีนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ2.7เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์และมกราคมที่ร้อยละ 3.9 และ 1.9 ตามลำดับ ทำให้อัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 1/2548 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ทั้งนี้คาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 9.0
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากการส่งออกและการลงทุนที่ชะลอลงตามอุปสงค์ในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (IT) ประกอบกับปัญหาภาวะเงินฝืดที่เรื้อรังทำให้การบริโภคภาคเอกชนไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งปัญหาการขาดดุลงบประมาณสูงทำให้สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นแทบไม่มี
สำหรับดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมเกินดุลลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 จากการที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นจนทำให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดีการส่งออกในเดือนมีนาคมได้ปรับตัวดีขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 6.2 สูงกว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ขยายตัวร้อยละ 1.7 ทั้งนี้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับการผลิตและการลงทุนได้ชะลอตัวลงจากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจได้ปรับตัวลดลง โดย Business Survey Index (BSI) ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปรับตัวลดลงจากช่วงเดือน ตุลาคม-ธันวาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น
การขาดดุลงบประมาณยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยหนี้ภาครัฐสูงถึงประมาณร้อยละ 160 ของ GDP อีกทั้งญี่ปุ่นยังประสบปัญหาภาวะเงินฝืดอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนมีนาคมเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงหดตัวร้อยละ 0.3 เนื่องจากระดับราคาคอมพิวเตอร์ ข้าวสารและค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ได้แก่ ไฟฟ้าและโทรศัพท์ได้ปรับลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาคอมพิวเตอร์ที่ปรับลดลงกว่าร้อยละ 30 และไม่สามารถหักล้างจากการที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มว่าญี่ปุ่นจะยังเผชิญกับภาวะเงินฝืดในปี 2548 อย่างแน่นอน ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2548 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.9 เท่านั้น
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง โดยตัวเลขดัชนีที่สำคัญคือ PMI ภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50.4 จากระดับ 51.9 ในเดือนกุมภาพันธ์ นับเป็นระดับที่ต่ำที่สุดซึ่งสะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมไม่ขยายตัวเลยในเดือนมีนาคม ขณะที่ PMI ภาคบริการในเดือนมีนาคมทรงตัวจากเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับ 53.0 สาเหตุจากความไม่เชื่อมั่นและมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ จากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น และภาวะการจ้างงานที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยอัตราการว่างงานยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 8.9 ตามการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานของเยอรมนีและฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามการอุปโภคบริโภคเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้นเล็กน้อย สะท้อนจากยอดค้าปลีกเบื้องต้นในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งขยายตัวสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ถึงแม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น แต่แรงกดดันทางด้านภาวะเงินเฟ้อยังไม่เห็นชัดเจน ดังนั้นจากการประชุมของธนาคารกลางยุโรป ( ECB ) จึงมีมติยืนยันที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2 ต่อปีเช่นเดิม เนื่องจากสภาพคล่องยังล้นระบบอยู่ ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 1.9
เศรษฐกิจอาเซียน
สิงคโปร์
เศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาส 1/2548 ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.4 โดยภาคการผลิตที่แท้จริง
( Real Sector ) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรม จากการที่การผลิตในสาขา Biomedical ซึ่งมีวัฏจักรผันผวนมากและปัจจุบันอยู่ในช่วงขาลง ประกอบกับการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็ชะลอตัวลงตามอุปสงค์ในตลาดโลก ทางด้านภาคบริการชะลอตัวลงเล็กน้อยตามภาคการค้าส่งและค้าปลีก อย่างไรก็ตาม ภาคบริการด้านการเงินยังคงขยายตัวแข็งแกร่ง
สำหรับการส่งออกในเดือนมีนาคมมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นโดยขยายตัวร้อยละ 16.9 เทียบกับร้อยละ 7.9 ในเดือนกุมภาพันธ์ ทางด้านอัตราเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ร้อยละ 0.0 เทียบกับ 0.4 ในเดือนมกราคม ทั้งนี้คาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจสิงคโปร์จะขยายตัวร้อยละ 4.5
มาเลเซีย
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจของมาเลเซียมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญก็คือราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น สร้างแรงกดดันทางด้านภาวะเงินเฟ้อ สำหรับอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมอยู่ที่ร้อยละ 2.6 เนื่องจากประเทศประสบปัญหาภาวะแห้งแล้ง ทำให้ราคาอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้น และราคาสินค้าที่มิใช่อาหารก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากการปรับขึ้นของค่าขนส่ง
ด้านการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ลดลง และการชะลอตัวจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชน การปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศก็ชะลอตัวด้วยเช่นเดียวกัน
ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจมาเลเซียจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.8
ฟิลิปปินส์
ในไตรมาส1/2548เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ยังชะลอตัวลงจากการส่งออกที่ชะลอตัวลง การบริโภคภาคเอกชนที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจนความเข้มงวดของภาครัฐในการใช้จ่ายเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังเนื่องจากหนี้ภาครัฐยังอยู่ในระดับสูง ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากผลทางด้านอุปทานที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมอยู่ที่ร้อยละ 8.5 ส่งผลให้เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2548 ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 หลังจากได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2546 ซึ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาและค่าจ้างรวมทั้งรักษาความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯและฟิลิปปินส์ ทั้งนี้คาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์จะขยายตัวร้อยละ 5.1
อินโดนีเซีย
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจอินโดนีเซียค่อนข้างทรงตัวจากผลกระทบของคลื่นยักษ์สึนามิที่เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เนื่องจากภาครัฐต้องตั้งงบประมาณขาดดุลในปี 2548 ไว้ที่ร้อยละ 0.8 ของ GDP เพื่อฟื้นฟูบูรณะประเทศ ซึ่งหากพิจารณาทางด้านบวกย่อมเกิดปริมาณการใช้จ่ายของภาครัฐหมุนเวียนในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่เมื่อมองผลกระทบอีกด้านย่อมก่อให้เกิดปัญหาหนี้ภาครัฐที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ทางด้านอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมอัตราเงินเฟ้อได้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 8.8 จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันภายในประเทศที่สูงขึ้นมาก สำหรับการส่งออกได้ชะลอตัวลงโดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันที่ต้องแข่งขันกับสินค้าส่งออกต้นทุนต่ำจากจีนและอินเดีย นอกจากนี้เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.7 ทำให้นักลงทุนคาดว่าจะกระทบต่อการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะขยายตัวร้อยละ 5.4
เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย
ไต้หวัน ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจไต้หวันมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากภาคการส่งออกในเดือนมีนาคมที่ขยายตัวถึงร้อยละ 21.2 เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ขยายตัวเพียง ร้อยละ 7.7 สำหรับ
สินค้าที่ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นได้แก่กลุ่มสินค้าเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับอัตราเงินเฟ้อของไต้หวันสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.3 เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ร้อยละ 1.9เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น และภาวะอากาศหนาวทำให้ราคาผักสูงขึ้นผิดปกติ และเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2548 ธนาคารกลางไต้หวันประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน discount rate จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 1.875 เพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อจากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น และเพื่อลดความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไต้หวันและสหรัฐฯเป็นการป้องกันเงินไหลออก ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจไต้หวันจะขยายตัวร้อยละ 4.5
ฮ่องกง ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจฮ่องกงค่อนข้างจะมีแนวโน้มดีขึ้นจาก ไตรมาส 4/2547
โดยเศรษฐกิจฮ่องกงยังคงขยายตัวร้อยละ 8.1 ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ได้อานิสงฆ์จากจีนที่การท่องเที่ยวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2548 จะมีแนวโน้มชะลอตัวลงซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและต้นทุนของธุรกิจสูงขึ้น อย่างไรก็ตามได้มีสัญญาณการฟื้นตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุปสงค์ภายในประเทศ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อใน 2 เดือนแรกของไตรมาส 1/2548 อยู่ที่ร้อยละ 0.1 อีกทั้งธนาคารกลางฮ่องกงได้ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด โดยเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2548 ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานการให้กู้ยืมเงินแก่ธนาคารพาณิชย์จากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 4.25 ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม เนื่องจากฮ่องกงผูกค่าเงินไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและเป็นการรักษาเสถียรภาพทางการเงินป้องกันเงินทุนไหลออกนอกประเทศ ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจฮ่องกงจะขยายตัวร้อยละ 4.6
เกาหลีใต้ ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจเกาหลีใต้ค่อนข้างชะลอตัวลง แต่ในเดือนมีนาคม การส่งออกกลับขยายตัวมาอยู่ที่ร้อยละ 13.5 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 6.7 และจากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนสินค้ารวมทั้งราคาสินค้าได้ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนชะลอลง สำหรับภาครัฐโดยกระทรวงการคลังได้ขยายระยะเวลาการลดภาษีนำเข้าน้ำมันออกไปจนถึงสิ้นปี 2548 จากที่ได้ลดภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและปิโตรเลียมมาอยู่ที่ร้อยละ 1 และ 5 ตามลำดับตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 เพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศให้สมดุลต่อไปในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจของเกาหลีใต้จะขยายตัวร้อยละ 3.1 เท่านั้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกและประเทศต่างๆที่สำคัญ (%)
ประเทศ 2547 2548 *
เศรษฐกิจโลก 4 3
สหรัฐอเมริกา 4.4 3.3
สหภาพยุโรป (EU 25 ) 2.4 1.9
เอเชียและออสเตรเลีย 4.7 3.4
ญี่ปุ่น 2.6 0.9
ฮ่องกง 8.1 4.6
สิงคโปร์ 8.4 4.5
เกาหลีใต้ 4.7 3.1
อินโดนีเซีย 5.1 5.4
ฟิลิบปินส์ 6.1 5.1
มาเลเซีย 7.1 4.8
ไทย 6.1 5.2
จีน 9.5 9
หมายเหตุ : ตัวเลขจาก Economist Intelligence Unit
* เป็นตัวเลขคาดการณ์ ณ เดือนพฤษภาคม 2548
สำหรับประเด็นเศรษฐกิจโลกที่สำคัญในไตรมาส 1/2548 มีดังนี้
1. สหรัฐอเมริกายังประสบปัญหาการขาดดุลแฝด (Twin deficits) ทั้งขาดดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้สหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์ (Fed Funds) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2548, 22 มีนาคม 2548 และ 3พฤษภาคม 2548 เป็นร้อยละ 2.5, 2.75 และ 3 ตามลำดับ ซึ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้มุมมองหนึ่งคาดการณ์กันว่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯโดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารกลางของเอเชียจะซื้อเงินดอลลาร์ สรอ และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้ค่าเงินของประเทศตนแข็งค่าเกินไปเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แต่ถ้าวิเคราะห์กันในอีกมุมมองหนึ่งจากการที่สหรัฐฯขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่วิกฤติมากขึ้น ทำให้ภาระหนี้สินมีมากขึ้น ความเชื่อมั่นของประเทศต่างๆต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจลดลงโดยไม่ซื้อดอลลาร์ สรอ. ทำให้เงินทุนอาจไม่ไหลเข้าสหรัฐฯ โดยประเทศต่าง ๆ หันไปถือเงินตราสกุลอื่นแทน ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลง ทำให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง ทำให้คาดการณ์ว่า ปี 2548 เศรษฐกิจสหรัฐฯจะขยายตัวประมาณ ร้อยละ 3.3 เท่านั้น
2. เศรษฐกิจสหภาพยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากอุปสงค์ภายในประเทศจากการที่การว่างงานอยู่ในระดับสูง การขาดดุลงบประมาณในประเทศหลักๆหลายประเทศ ประกอบกับความผันผวนของราคาน้ำมัน ความไม่สมดุลของภาวะเศรษฐกิจโลก และการแข็งค่าของเงินยูโรย่อมกระทบต่อภาวะการส่งออกและภาวะเศรษฐกิจ ทำให้คาดการณ์ว่าปี 2548 เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 1.9 เท่านั้น
3.สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นมีสัญญาณชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยการเกินดุลการค้าลดลงจากการชะลอตัวลงของการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ประกอบกับความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ทำให้คาดการณ์ว่าในปี 2548 เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัวประมาณร้อยละ 0.9
4.ในส่วนของเศรษฐกิจจีนนั้น ถึงแม้จะประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจแบบชะลอลงอย่างช้าๆ (Soft Landing) ก็ตาม แต่ภาวะเศรษฐกิจยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการที่การส่งออกยังขยายตัวสูงในอัตราร้อยละ 35 การผลิตภาคอุตสาหกรรมยังคงขยายตัวถึงแม้จะขยายตัวในอัตราที่ลดลง การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรขยายตัวเช่นเดียวกัน ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อจีนในการปรับค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้น อย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจจะยังคงขยายตัวได้ดีในอัตราร้อยละ 9
5. สำหรับสถานการณ์การค้าโลกในต้นปี 2548 เมื่อพิจารณาประเทศเศรษฐกิจหลักที่สำคัญพบว่าสหรัฐอเมริกามีมูลค่าสินค้าส่งออกในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2548 134,706.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 245,494.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 110,787.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการ ขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุดถึง 29,125.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จีนมีมูลค่าสินค้าส่งออกในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2548 95,028.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 84,177.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เกินดุลการค้า 10,851 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามากที่สุดถึง 13,465.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับ ญี่ปุ่นนั้นในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2548 มีมูลค่าการส่งออกสินค้า 88,881.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 76,612.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เกินดุลการค้า 12,269.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามากที่สุดถึง 10,978.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และจากการที่รสนิยมการบริโภคของประชาชนญี่ปุ่นที่นิยมบริโภคสินค้าราคาถูกจากจีน ทำให้ญี่ปุ่นหันมาทำการค้ากับจีนมากขึ้น โดยนำเข้าสินค้าจีนมากขึ้น ทำให้แนวโน้มการขาดดุลการค้ากับจีนขยายตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ
6. ในไตรมาสนี้ การจัดทำข้อตกลงทางการค้าในรูปแบบทวิภาคีและพหุภาคีได้ทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FTA ซึ่งทุกประเทศได้เล็งเห็นความสำคัญในการเปิดตลาดทั้งตลาดการเกษตร อุตสาหกรรม และบริการ ไม่เพียงเพื่อสร้างเครือข่ายด้านการค้า การผลิต และการลงทุนระหว่างประเทศคู่เจรจาตกลงเท่านั้น แต่จะครอบคลุมไปถึงการใช้ประเทศคู่เจรจาตกลงเป็นประตูไปสู่ตลาดบริเวณภูมิภาคใกล้เคียงด้วย เพื่อเล็งผลประโยชน์ในการแสวงหาตลาดใหม่ ๆที่จะทำการค้า การผลิต และการลงทุนร่วมกันต่อไป
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจทางด้านอุปสงค์เริ่มแสดงให้เห็นแนวโน้มการชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคมปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 92.9 จาก 94.1 ในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น (สหรัฐอเมริกาฯ บริโภคน้ำมันเป็นอันดับ 1 ของโลก) ส่งผลให้ยอดค้าปลีกในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 จากเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากยอดขายในห้างสรรพสินค้า เสื้อผ้า และภัตตาคารปรับลดลง อย่างไรก็ตามยอดขายรถยนต์ น้ำมัน และวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นส่งผลให้ยอดค้าปลีกไม่ชะลอลดลงมากนัก
นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นยังส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 ซึ่งอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed ) ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (Fed Funds) ในช่วงแรกของปี 2548 ไปแล้ว 3 ครั้ง คือ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ วันที่ 22 มีนาคม และ 3 พฤษภาคม เป็นร้อยละ 2.5, 2.75 และ 3 ตามลำดับ และคาดว่าอาจจะปรับไปจนกระทั่งอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับดุลยภาพ ซึ่งอยู่ประมาณ ร้อยละ 3.5-4.5
ทางด้านการลงทุนของภาคเอกชนค่อย ๆ ฟื้นตัวเล็กน้อย โดยภาคเอกชนยังลังเลที่จะจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากกังวลที่ต้นทุนจะสูงขึ้น ทำให้การจ้างงานฟื้นตัวอย่างช้า ๆ และจากการที่ผลิตภาพการผลิต (Productivity) มีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยของแรงงานสูงขึ้น ประกอบกับต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ผู้ผลิตจึงผลักภาระไปยังผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น เกิดภาวะเงินเฟ้อนำไปสู่การปรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเป็นวัฎจักร อีกทั้งการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯและการขาดแคลนเงินออม ทำให้ต้องกู้หนี้สาธารณะยากต่อการบริหารนโยบายการคลัง สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ลดลง ขณะที่การนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ดุลการค้าขาดดุลเพิ่มขึ้นกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพโดยรวมของประเทศ ทำให้คาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ในอัตราร้อยละ 3.3
เศรษฐกิจจีน
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจจีนยังขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 9.5 ซึ่งสวนกระแสที่รัฐบาลประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวสูงมากจากการส่งออกและการลงทุน ประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวแข็งแกร่ง
สำหรับการส่งออกในเดือนมีนาคมขยายตัวร้อยละ 32.8 เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ขยายตัวร้อยละ 30 ทางด้านการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในไตรมาส 1/2548 ขยายตัวร้อยละ 22.8 โดยการลงทุนในเมืองขยายตัวสูงกว่าการลงทุนในชนบท โดยเฉพาะการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนร้อยละ 25.7 ของการลงทุนที่เกิดขึ้นในเมืองทั้งหมดที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.7 ทำให้ธนาคารกลางจีนต้องออกมาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์เมื่อกลางเดือนมีนาคม เพื่อป้องกันปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจากฟองสบู่แตก และปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ตามมา อนึ่งสำหรับการผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ได้ขยายตัวร้อยละ 16.9 เทียบกับช่วงไตรมาส 4/2547 ที่ขยายตัวร้อยละ 21 ในส่วนของการบริโภคในไตรมาส 1/2548 ยอดค้าปลีกยังขยายตัวในระดับสูงที่ร้อยละ 13.7 และจากการที่จีนเข้าเป็นสมาชิก WTO ประกอบกับการดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ทำให้อัตราภาษีในจีนต่ำลง ส่งผลให้ราคาสินค้าลดต่ำลงมาก เช่น รถยนต์ Volkswagen ในจีนขายเพียงประมาณคันละ 5 แสนบาท เป็นต้น กระตุ้นให้เกิดการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
สำหรับอัตราเงินเฟ้อของจีนลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ2.7เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์และมกราคมที่ร้อยละ 3.9 และ 1.9 ตามลำดับ ทำให้อัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 1/2548 อยู่ที่ร้อยละ 2.8 ทั้งนี้คาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 9.0
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากการส่งออกและการลงทุนที่ชะลอลงตามอุปสงค์ในสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (IT) ประกอบกับปัญหาภาวะเงินฝืดที่เรื้อรังทำให้การบริโภคภาคเอกชนไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง อีกทั้งปัญหาการขาดดุลงบประมาณสูงทำให้สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นแทบไม่มี
สำหรับดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือนมีนาคมเกินดุลลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 จากการที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นจนทำให้มูลค่าการนำเข้าเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดีการส่งออกในเดือนมีนาคมได้ปรับตัวดีขึ้น โดยขยายตัวร้อยละ 6.2 สูงกว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่ขยายตัวร้อยละ 1.7 ทั้งนี้สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับการผลิตและการลงทุนได้ชะลอตัวลงจากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจได้ปรับตัวลดลง โดย Business Survey Index (BSI) ช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม ปรับตัวลดลงจากช่วงเดือน ตุลาคม-ธันวาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันและราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น
การขาดดุลงบประมาณยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่น โดยหนี้ภาครัฐสูงถึงประมาณร้อยละ 160 ของ GDP อีกทั้งญี่ปุ่นยังประสบปัญหาภาวะเงินฝืดอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนมีนาคมเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงหดตัวร้อยละ 0.3 เนื่องจากระดับราคาคอมพิวเตอร์ ข้าวสารและค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ได้แก่ ไฟฟ้าและโทรศัพท์ได้ปรับลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาคอมพิวเตอร์ที่ปรับลดลงกว่าร้อยละ 30 และไม่สามารถหักล้างจากการที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้มีแนวโน้มว่าญี่ปุ่นจะยังเผชิญกับภาวะเงินฝืดในปี 2548 อย่างแน่นอน ทั้งนี้คาดว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2548 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 0.9 เท่านั้น
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวลง โดยตัวเลขดัชนีที่สำคัญคือ PMI ภาคอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคมปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 50.4 จากระดับ 51.9 ในเดือนกุมภาพันธ์ นับเป็นระดับที่ต่ำที่สุดซึ่งสะท้อนว่าภาคอุตสาหกรรมไม่ขยายตัวเลยในเดือนมีนาคม ขณะที่ PMI ภาคบริการในเดือนมีนาคมทรงตัวจากเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับ 53.0 สาเหตุจากความไม่เชื่อมั่นและมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ จากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น และภาวะการจ้างงานที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยอัตราการว่างงานยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งล่าสุดเดือนกุมภาพันธ์ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ร้อยละ 8.9 ตามการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงานของเยอรมนีและฝรั่งเศส อย่างไรก็ตามการอุปโภคบริโภคเริ่มส่งสัญญาณที่ดีขึ้นเล็กน้อย สะท้อนจากยอดค้าปลีกเบื้องต้นในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งขยายตัวสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้
ถึงแม้ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น แต่แรงกดดันทางด้านภาวะเงินเฟ้อยังไม่เห็นชัดเจน ดังนั้นจากการประชุมของธนาคารกลางยุโรป ( ECB ) จึงมีมติยืนยันที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2 ต่อปีเช่นเดิม เนื่องจากสภาพคล่องยังล้นระบบอยู่ ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 1.9
เศรษฐกิจอาเซียน
สิงคโปร์
เศรษฐกิจสิงคโปร์ในไตรมาส 1/2548 ชะลอตัวลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.4 โดยภาคการผลิตที่แท้จริง
( Real Sector ) เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคอุตสาหกรรม จากการที่การผลิตในสาขา Biomedical ซึ่งมีวัฏจักรผันผวนมากและปัจจุบันอยู่ในช่วงขาลง ประกอบกับการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก็ชะลอตัวลงตามอุปสงค์ในตลาดโลก ทางด้านภาคบริการชะลอตัวลงเล็กน้อยตามภาคการค้าส่งและค้าปลีก อย่างไรก็ตาม ภาคบริการด้านการเงินยังคงขยายตัวแข็งแกร่ง
สำหรับการส่งออกในเดือนมีนาคมมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นโดยขยายตัวร้อยละ 16.9 เทียบกับร้อยละ 7.9 ในเดือนกุมภาพันธ์ ทางด้านอัตราเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ร้อยละ 0.0 เทียบกับ 0.4 ในเดือนมกราคม ทั้งนี้คาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจสิงคโปร์จะขยายตัวร้อยละ 4.5
มาเลเซีย
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจของมาเลเซียมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญก็คือราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น สร้างแรงกดดันทางด้านภาวะเงินเฟ้อ สำหรับอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมอยู่ที่ร้อยละ 2.6 เนื่องจากประเทศประสบปัญหาภาวะแห้งแล้ง ทำให้ราคาอาหารมีแนวโน้มสูงขึ้น และราคาสินค้าที่มิใช่อาหารก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากการปรับขึ้นของค่าขนส่ง
ด้านการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ลดลง และการชะลอตัวจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชน การปรับลดการใช้จ่ายของรัฐบาลเพื่อลดการขาดดุลงบประมาณส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศก็ชะลอตัวด้วยเช่นเดียวกัน
ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจมาเลเซียจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 4.8
ฟิลิปปินส์
ในไตรมาส1/2548เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ยังชะลอตัวลงจากการส่งออกที่ชะลอตัวลง การบริโภคภาคเอกชนที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจนความเข้มงวดของภาครัฐในการใช้จ่ายเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการคลังเนื่องจากหนี้ภาครัฐยังอยู่ในระดับสูง ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากผลทางด้านอุปทานที่ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมอยู่ที่ร้อยละ 8.5 ส่งผลให้เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2548 ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 หลังจากได้ตรึงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2546 ซึ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพของราคาและค่าจ้างรวมทั้งรักษาความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯและฟิลิปปินส์ ทั้งนี้คาดว่าในปี 2548 เศรษฐกิจฟิลิปปินส์จะขยายตัวร้อยละ 5.1
อินโดนีเซีย
ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจอินโดนีเซียค่อนข้างทรงตัวจากผลกระทบของคลื่นยักษ์สึนามิที่เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 เนื่องจากภาครัฐต้องตั้งงบประมาณขาดดุลในปี 2548 ไว้ที่ร้อยละ 0.8 ของ GDP เพื่อฟื้นฟูบูรณะประเทศ ซึ่งหากพิจารณาทางด้านบวกย่อมเกิดปริมาณการใช้จ่ายของภาครัฐหมุนเวียนในเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น แต่เมื่อมองผลกระทบอีกด้านย่อมก่อให้เกิดปัญหาหนี้ภาครัฐที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ทางด้านอัตราเงินเฟ้อในเดือนมีนาคมอัตราเงินเฟ้อได้ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 8.8 จากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันภายในประเทศที่สูงขึ้นมาก สำหรับการส่งออกได้ชะลอตัวลงโดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันที่ต้องแข่งขันกับสินค้าส่งออกต้นทุนต่ำจากจีนและอินเดีย นอกจากนี้เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2548 ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 7.7 ทำให้นักลงทุนคาดว่าจะกระทบต่อการขยายตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจอินโดนีเซียจะขยายตัวร้อยละ 5.4
เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย
ไต้หวัน ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจไต้หวันมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากภาคการส่งออกในเดือนมีนาคมที่ขยายตัวถึงร้อยละ 21.2 เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ขยายตัวเพียง ร้อยละ 7.7 สำหรับ
สินค้าที่ได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นได้แก่กลุ่มสินค้าเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์
สำหรับอัตราเงินเฟ้อของไต้หวันสูงขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 2.3 เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ร้อยละ 1.9เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น และภาวะอากาศหนาวทำให้ราคาผักสูงขึ้นผิดปกติ และเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2548 ธนาคารกลางไต้หวันประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน discount rate จากร้อยละ 1.75 เป็นร้อยละ 1.875 เพื่อป้องกันปัญหาเงินเฟ้อจากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น และเพื่อลดความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยของไต้หวันและสหรัฐฯเป็นการป้องกันเงินไหลออก ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจไต้หวันจะขยายตัวร้อยละ 4.5
ฮ่องกง ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจฮ่องกงค่อนข้างจะมีแนวโน้มดีขึ้นจาก ไตรมาส 4/2547
โดยเศรษฐกิจฮ่องกงยังคงขยายตัวร้อยละ 8.1 ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ได้อานิสงฆ์จากจีนที่การท่องเที่ยวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2548 จะมีแนวโน้มชะลอตัวลงซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและต้นทุนของธุรกิจสูงขึ้น อย่างไรก็ตามได้มีสัญญาณการฟื้นตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์และอุปสงค์ภายในประเทศ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อใน 2 เดือนแรกของไตรมาส 1/2548 อยู่ที่ร้อยละ 0.1 อีกทั้งธนาคารกลางฮ่องกงได้ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด โดยเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2548 ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานการให้กู้ยืมเงินแก่ธนาคารพาณิชย์จากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 4.25 ตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม เนื่องจากฮ่องกงผูกค่าเงินไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาและเป็นการรักษาเสถียรภาพทางการเงินป้องกันเงินทุนไหลออกนอกประเทศ ในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจฮ่องกงจะขยายตัวร้อยละ 4.6
เกาหลีใต้ ในไตรมาส 1/2548 เศรษฐกิจเกาหลีใต้ค่อนข้างชะลอตัวลง แต่ในเดือนมีนาคม การส่งออกกลับขยายตัวมาอยู่ที่ร้อยละ 13.5 เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 6.7 และจากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนสินค้ารวมทั้งราคาสินค้าได้ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนชะลอลง สำหรับภาครัฐโดยกระทรวงการคลังได้ขยายระยะเวลาการลดภาษีนำเข้าน้ำมันออกไปจนถึงสิ้นปี 2548 จากที่ได้ลดภาษีนำเข้าน้ำมันดิบและปิโตรเลียมมาอยู่ที่ร้อยละ 1 และ 5 ตามลำดับตั้งแต่เดือนเมษายน 2547 เพื่อลดผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศให้สมดุลต่อไปในปี 2548 คาดว่าเศรษฐกิจของเกาหลีใต้จะขยายตัวร้อยละ 3.1 เท่านั้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-