ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.มั่นใจเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) กล่าวให้ความมั่นใจว่า จากการสำรวจภาคธุรกิจพบว่าครึ่งหลังของปีนี้เศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นได้ แต่
สาเหตุที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง เนื่องจากนักธุรกิจมีความกังวลต่ออนาคต แต่ในความจริงก็
ไม่ได้ลดการลงทุนหรือลดการผลิตลง รวมทั้งการบริโภคยังคงเป็นบวก หากช่วงครึ่งหลังของปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจดี
ขึ้น เชื่อว่าความมั่นใจของนักลงทุนจะกลับคืนมาได้ ทั้งนี้ 6 เดือนแรกของปีนี้ เงินทุนต่างประเทศยังไหลเข้าต่อ
เนื่อง แสดงให้เห็นความเชื่อมั่น เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังน่าลงทุน มีโอกาสทำกำไรสูง เห็นได้จากกำไรของ
บริษัทในตลาดหุ้นและการส่งออกที่ขยายตัวสูง โดยเงินทุนที่เข้ามามีทั้งระยะสั้นและยาว แต่ยังไม่มีการเข้ามาเก็ง
กำไรค่าเงินบาทและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. เศรษฐกิจภาคใต้ในไตรมาส 2 ซบเซา เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบและปัจจัยแวดล้อมอื่น
ผอส. สำนักงานภาคใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงภาวะเศรษฐกิจและการเงินของภาคใต้ในช่วง
ไตรมาส 2 ปี 48 ว่า เศรษฐกิจภาคใต้โดยรวมในไตรมาส 2 ซบเซา เนื่องมาจากแรงกดดันด้านเหตุการณ์ความ
ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัจจัยแวดล้อมอื่น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทั้งในไตรมาสนี้และไตรมาสหน้า อาทิ
การสูงขึ้นของราคาน้ำมันที่มีความชัดเจนมากขึ้นจากการที่ภาครัฐปล่อยให้ราคาลอยตัว และแนวโน้มการสูงขึ้นของ
อัตราดอกเบี้ย ด้านอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 2 อยู่ที่ร้อยละ 4.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ
4.6 ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อภาพรวมทั้งประเทศที่อยู่ที่ร้อยละ 3.7 ในส่วนภาคอุตสาหกรรมโดยรวมหดตัวลง ส่วน
ภาคการท่องเที่ยวในไตรมาส 2 ก็ขยายตัวลดลงเช่นกัน เนื่องจากการเกิดแผ่นดินไหวรอบ 2 เมื่อปลายเดือน มี.
ค.และเหตุระเบิด 3 จุดในจังหวัดสงขลา ทำให้นักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัย ส่วนภาวะการจ้าง
งานพบว่า ตำแหน่งงานลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26.9 (ผู้จัดการรายวัน)
3. ดัชนีอุตสาหกรรมเดือน มิ.ย.48 ลดลงร้อยละ 2.39 เทียบต่อเดือน ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีอุตสาหกรรมประจำเดือน มิ.ย.48 ว่า ดัชนีอยู่ที่ระดับ 133.94
ลดลงร้อยละ 2.39 เทียบกับเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 137.23 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ 162.25 ลดลงร้อย
ละ 7.03 ดัชนีผลิตภาพแรงงานอุตสาหกรรม อยู่ที่ 154.66 ลดลงร้อยละ 0.68 และดัชนีผลผลิต (มูลค่าผลผลิต)
อยู่ที่ 144.54 ลดลงร้อยละ 0.2 ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ปรับตัวลดลง คือ การผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ ที่เป็นวัตถุดิบ
ในการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงก่อนเทศกาลเข้าพรรษา ประกอบกับผู้ผลิตราย
ใหญ่ปิดปรับปรุงเครื่องจักรบางส่วน การผลิตจึงชะลอตัวลงในช่วง 1-2 เดือนนี้ รวมถึงภาวะการจำหน่ายที่ลดลง
เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ประกอบด้วย ดัชนีอัตราส่วนสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง
อยู่ที่ระดับ 152.21 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.05 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 142.74 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.04 ดัชนีแรงงาน
ภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 108.70 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.12 และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 67.85 โดยมีปัจจัยมา
จากการผลิตยานยนต์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องรวมถึงการส่งออกก็มีปริมาณมากขึ้น
เช่นกัน (แนวหน้า, โลกวันนี้)
4. ก.คลังอนุมัติให้ ธอส.จำหน่ายหนี้เอ็นพีแอลในมูลค่าเงินต้นคงค้างไม่เกิน 36,926.62 ล้านบาท
กรรมการผู้จัดการ ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ก.คลังอนุมัติให้ ธอส.สามารถจำหน่ายสินเชื่อที่ไม่
ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารในมูลค่าเงินต้นคงค้างไม่เกิน 36,926.62 ล้านบาท เพื่อเป็นการ
บริหารจัดการเอ็นพีแอลแบบเบ็ดเสร็จในการแยกหนี้เสียออกจากหนี้ดี ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 6 กองในครั้งแรก เปิด
ประมูลขายจำนวน 2 กอง กองแรกมีมูลค่าเงินต้นคงค้าง 4,202.31 ล้านบาท มีหลักประกันอยู่ในเขตกรุงเทพฯ
และปริมณฑล ส่วนกองที่ 2 มีมูลค่าเงินต้นคงค้าง 3,572.52 ล้านบาท มีหลักประกันอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และ
ปริมณฑล รวมถึงในจังหวัดภาคตะวันออก (ชลบุรี ตราด ระยอง และจันทบุรี) รวมประมาณ 7,774.83 ล้านบาท
คิดเป็นบัญชีสินเชื่อประมาณ 14,000 บัญชี (สยามรัฐ, เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ภาคบริการ สรอ.เติบโตชะลอลงในเดือน ก.ค.48 รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 3 ส.ค.48
The Institute for Supply Management เปิดเผยในรายงาน ISM ว่า ภาคการผลิตโดยรวมของ สรอ.
ยังคงขยายตัวสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะยังคงสูงอยู่ก็ตาม ในขณะที่ภาคบริการ สรอ. ในเดือน ก.
ค.48 ขยายตัวชะลอลงที่ระดับ 60.5 จากระดับ 62.2 ในเดือนก่อนหน้า และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนัก
เศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 60.9 แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้ภาวะการขยาย
ตัว อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายละเอียดโดยรวมแล้วอาจกล่าวได้ว่า ภาคบริการของ สรอ.ยังคงเข้มแข็งอยู่
โดย Prices paid index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 70.3 จากระดับ 59.8 New orders index เพิ่มขึ้นที่ระดับ
61.9 จากระดับ 59.5 และ Factory survey index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 56.6 จากระดับ 53.8 ในเดือนก่อน
หน้า ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสริมภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจ สรอ.ได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลอื่นๆ ที่สะท้อนภาพ
การขยายตัวของเศรษฐกิจในทิศทางตรงข้าม อาทิเช่น Index of mortgage application activity ซึ่ง
ชะลอตัวลงในช่วงปลายเดือน ก.ค.48 เป็นต้น(รอยเตอร์)
2. คาดว่า ธ.กลางอียูจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมเนื่องจากเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี
รายงานจากเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 4 ส.ค.48 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธ.กลางของ
สหภาพยุโรป (ECB) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ เนื่องจากผลการสำรวจทาง
ธุรกิจแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของเขตยูโรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้วและจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
ในช่วงปลายปีนี้ ในขณะที่ไม่มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อนแรงเกินไป ซึ่งช่วยลดแรงกดดันที่ทำให้ ECB ต้อง
ปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับร้อยละ 2.0 โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเขตยูโรในเดือน ก.ค.48 มี
การขยายตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค.48 โดย Purchasing Managers’ Index ที่รวบรวมข้อมูล
จากบริษัทต่าง ๆ ในเขตยูโรเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 50.8 จาก 49.9 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งระดับ 50 เป็นเส้นแบ่ง
ระหว่างการขยายตัวและการหดตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่ภาคบริการยังคงขยายตัวได้ดีในเดือน ก.ค. แต่การฟื้น
ตัวยังไม่ขยายตัวไปสู่ภาคการบริโภคหรือเป็นสัญญาณกระตุ้นให้บริษัทมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัวมากกว่าที่จะมองว่าขยายตัวร้อนแรงเกินไป ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปรับขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นนัก
เศรษฐศาสตร์ 58 คน จากสำนักข่าวรอยเตอร์ เกือบทั้งหมดคาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไว้ที่ระดับ
ร้อยละ 2.0 ซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่เดือน มิ.ย.46 และจำนวนนักวิเคราะห์ที่คาดว่า ECB จะปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยในครั้งต่อไปลดลงเหลือร้อยละ 20 จากร้อยละ 30 ในการสำรวจครั้งก่อน (รอยเตอร์)
3. ยอดค้าปลีกในเขตเศรษฐกิจยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ต่อปีสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบ
รัสเซลส์ เมื่อ 3 ส.ค. 48 ยอดค้าปลีกของ 12 ประเทศในเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ euro zone ซึ่งใช้เงินสกุลยู
โรเป็นเงินสกุลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนก่อนและร้อยละ 0.9 จากปีก่อน สูงกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ที่ร้อย
ละ 0.6 ต่อปี อย่างไรก็ดีแม้ว่ายอดค้าปลีกในเดือน มิ.ย.48 จะเพิ่มขึ้นแต่ยอดค้าปลีกรวมของไตรมาสที่ 2 ปีนี้ยัง
คงลดลงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ โดยยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นอาหาร เครื่องดื่มและบุหรี่
ในประเทศฟินแลนด์ เบลเยี่ยมและโปรตุเกส ในขณะที่ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศเดียวใน euro zone ที่ยอดค้า
ปลีกลดลงเมื่อเทียบต่อปีคือลดลงร้อยละ 1.8 ต่อปี เช่นเดียวกับเยอรมนีที่เป็นประเทศเดียวในเขตนี้ที่ยอดค้าปลีกใน
เดือน มิ.ย.48 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนคือลดลงร้อยละ 0.3 ต่อเดือน อย่างไรก็ดีนักเศรษฐศาสตร์ให้ความ
เห็นว่ายอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือน มิ.ย.48 ยังไม่ได้เป็นสัญญาณว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว
แล้วตราบใดที่สภาพการจ้างงานยังไม่ดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานใน euro zone อยู่ที่ระดับร้อยละ 8.7 ใน
เดือน พ.ค.และ มิ.ย.48 ลดลงเล็กน้อยจากระดับร้อยละ 8.9 ในเดือนก่อนหน้านี้ (รอยเตอร์)
4. ภาคบริการของอังกฤษขยายตัวในเดือน ก.ค.48 ในอัตราสูงสุดในรอบ 3 เดือนแต่แนวโน้มที่
ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลง รายงานจากลอนดอน เมื่อ 3 ส.ค.48 The Chartered
Institute of Purchasing and Supply/NTC Research รายงานดัชนีชี้วัดธุรกรรมของธุรกิจบริการใน
อังกฤษเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 56.3 ในเดือน ก.ค.48 จากระดับ 55.8 ในเดือนก่อน และดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลง
มาอยู่ที่ระดับ 55.4 นอกจากนี้ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัว อย่างไรก็ดี
ระดับราคาที่ธุรกิจบริการเรียกเก็บจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดในรอบ 1 ปีครึ่งจากสภาพการแข่งขันทำให้ไม่
สามารถขึ้นราคาได้ ในขณะที่ผลสำรวจจากสถาบันเดียวกันกลับชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษอยู่ในภาวะตกต่ำตรง
ข้ามกับภาคบริการ นอกจากนี้ ธ.กลางอังกฤษยังกังวลว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ลดลงในขณะนี้จะส่งผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจโดยรวมและต่อเนื่องไปยังธุรกิจบริการด้วย นักวิเคราะห์จึงยังคาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ย
เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีในการประชุมในระหว่างวันที่ 3 — 4 ส.ค.48 นี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 4 ส.ค. 48 3 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.355 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.1792/41.4681 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.80361 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 687.94/ 19.34 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,450/8,550 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.08 55.08 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.74*/22.59** 25.74*/22.59** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ค. 48
**ปรับเลด 40 สตางค์เมื่อ 30 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.มั่นใจเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังของปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) กล่าวให้ความมั่นใจว่า จากการสำรวจภาคธุรกิจพบว่าครึ่งหลังของปีนี้เศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นได้ แต่
สาเหตุที่ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง เนื่องจากนักธุรกิจมีความกังวลต่ออนาคต แต่ในความจริงก็
ไม่ได้ลดการลงทุนหรือลดการผลิตลง รวมทั้งการบริโภคยังคงเป็นบวก หากช่วงครึ่งหลังของปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจดี
ขึ้น เชื่อว่าความมั่นใจของนักลงทุนจะกลับคืนมาได้ ทั้งนี้ 6 เดือนแรกของปีนี้ เงินทุนต่างประเทศยังไหลเข้าต่อ
เนื่อง แสดงให้เห็นความเชื่อมั่น เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังน่าลงทุน มีโอกาสทำกำไรสูง เห็นได้จากกำไรของ
บริษัทในตลาดหุ้นและการส่งออกที่ขยายตัวสูง โดยเงินทุนที่เข้ามามีทั้งระยะสั้นและยาว แต่ยังไม่มีการเข้ามาเก็ง
กำไรค่าเงินบาทและส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (ไทยรัฐ, โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. เศรษฐกิจภาคใต้ในไตรมาส 2 ซบเซา เนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบและปัจจัยแวดล้อมอื่น
ผอส. สำนักงานภาคใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงภาวะเศรษฐกิจและการเงินของภาคใต้ในช่วง
ไตรมาส 2 ปี 48 ว่า เศรษฐกิจภาคใต้โดยรวมในไตรมาส 2 ซบเซา เนื่องมาจากแรงกดดันด้านเหตุการณ์ความ
ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และปัจจัยแวดล้อมอื่น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงทั้งในไตรมาสนี้และไตรมาสหน้า อาทิ
การสูงขึ้นของราคาน้ำมันที่มีความชัดเจนมากขึ้นจากการที่ภาครัฐปล่อยให้ราคาลอยตัว และแนวโน้มการสูงขึ้นของ
อัตราดอกเบี้ย ด้านอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 2 อยู่ที่ร้อยละ 4.2 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ
4.6 ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อภาพรวมทั้งประเทศที่อยู่ที่ร้อยละ 3.7 ในส่วนภาคอุตสาหกรรมโดยรวมหดตัวลง ส่วน
ภาคการท่องเที่ยวในไตรมาส 2 ก็ขยายตัวลดลงเช่นกัน เนื่องจากการเกิดแผ่นดินไหวรอบ 2 เมื่อปลายเดือน มี.
ค.และเหตุระเบิด 3 จุดในจังหวัดสงขลา ทำให้นักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัย ส่วนภาวะการจ้าง
งานพบว่า ตำแหน่งงานลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 26.9 (ผู้จัดการรายวัน)
3. ดัชนีอุตสาหกรรมเดือน มิ.ย.48 ลดลงร้อยละ 2.39 เทียบต่อเดือน ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีอุตสาหกรรมประจำเดือน มิ.ย.48 ว่า ดัชนีอยู่ที่ระดับ 133.94
ลดลงร้อยละ 2.39 เทียบกับเดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ระดับ 137.23 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ 162.25 ลดลงร้อย
ละ 7.03 ดัชนีผลิตภาพแรงงานอุตสาหกรรม อยู่ที่ 154.66 ลดลงร้อยละ 0.68 และดัชนีผลผลิต (มูลค่าผลผลิต)
อยู่ที่ 144.54 ลดลงร้อยละ 0.2 ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้ปรับตัวลดลง คือ การผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ ที่เป็นวัตถุดิบ
ในการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นช่วงก่อนเทศกาลเข้าพรรษา ประกอบกับผู้ผลิตราย
ใหญ่ปิดปรับปรุงเครื่องจักรบางส่วน การผลิตจึงชะลอตัวลงในช่วง 1-2 เดือนนี้ รวมถึงภาวะการจำหน่ายที่ลดลง
เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ดัชนีที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ประกอบด้วย ดัชนีอัตราส่วนสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง
อยู่ที่ระดับ 152.21 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.05 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 142.74 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.04 ดัชนีแรงงาน
ภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 108.70 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.12 และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 67.85 โดยมีปัจจัยมา
จากการผลิตยานยนต์ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่องรวมถึงการส่งออกก็มีปริมาณมากขึ้น
เช่นกัน (แนวหน้า, โลกวันนี้)
4. ก.คลังอนุมัติให้ ธอส.จำหน่ายหนี้เอ็นพีแอลในมูลค่าเงินต้นคงค้างไม่เกิน 36,926.62 ล้านบาท
กรรมการผู้จัดการ ธ.อาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ก.คลังอนุมัติให้ ธอส.สามารถจำหน่ายสินเชื่อที่ไม่
ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของธนาคารในมูลค่าเงินต้นคงค้างไม่เกิน 36,926.62 ล้านบาท เพื่อเป็นการ
บริหารจัดการเอ็นพีแอลแบบเบ็ดเสร็จในการแยกหนี้เสียออกจากหนี้ดี ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 6 กองในครั้งแรก เปิด
ประมูลขายจำนวน 2 กอง กองแรกมีมูลค่าเงินต้นคงค้าง 4,202.31 ล้านบาท มีหลักประกันอยู่ในเขตกรุงเทพฯ
และปริมณฑล ส่วนกองที่ 2 มีมูลค่าเงินต้นคงค้าง 3,572.52 ล้านบาท มีหลักประกันอยู่ในเขตกรุงเทพฯ และ
ปริมณฑล รวมถึงในจังหวัดภาคตะวันออก (ชลบุรี ตราด ระยอง และจันทบุรี) รวมประมาณ 7,774.83 ล้านบาท
คิดเป็นบัญชีสินเชื่อประมาณ 14,000 บัญชี (สยามรัฐ, เดลินิวส์, โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ภาคบริการ สรอ.เติบโตชะลอลงในเดือน ก.ค.48 รายงานจากนิวยอร์กเมื่อ 3 ส.ค.48
The Institute for Supply Management เปิดเผยในรายงาน ISM ว่า ภาคการผลิตโดยรวมของ สรอ.
ยังคงขยายตัวสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะยังคงสูงอยู่ก็ตาม ในขณะที่ภาคบริการ สรอ. ในเดือน ก.
ค.48 ขยายตัวชะลอลงที่ระดับ 60.5 จากระดับ 62.2 ในเดือนก่อนหน้า และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนัก
เศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 60.9 แต่ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นระดับที่บ่งชี้ภาวะการขยาย
ตัว อย่างไรก็ตาม หากพิจารณารายละเอียดโดยรวมแล้วอาจกล่าวได้ว่า ภาคบริการของ สรอ.ยังคงเข้มแข็งอยู่
โดย Prices paid index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 70.3 จากระดับ 59.8 New orders index เพิ่มขึ้นที่ระดับ
61.9 จากระดับ 59.5 และ Factory survey index เพิ่มขึ้นที่ระดับ 56.6 จากระดับ 53.8 ในเดือนก่อน
หน้า ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยเสริมภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจ สรอ.ได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลอื่นๆ ที่สะท้อนภาพ
การขยายตัวของเศรษฐกิจในทิศทางตรงข้าม อาทิเช่น Index of mortgage application activity ซึ่ง
ชะลอตัวลงในช่วงปลายเดือน ก.ค.48 เป็นต้น(รอยเตอร์)
2. คาดว่า ธ.กลางอียูจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมเนื่องจากเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี
รายงานจากเมืองแฟรงเฟิร์ต ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 4 ส.ค.48 นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธ.กลางของ
สหภาพยุโรป (ECB) จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิมในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้ เนื่องจากผลการสำรวจทาง
ธุรกิจแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจของเขตยูโรในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาเริ่มฟื้นตัวบ้างแล้วและจะมีเสถียรภาพมากขึ้น
ในช่วงปลายปีนี้ ในขณะที่ไม่มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อนแรงเกินไป ซึ่งช่วยลดแรงกดดันที่ทำให้ ECB ต้อง
ปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ปัจจุบันอยู่ในระดับร้อยละ 2.0 โดยผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเขตยูโรในเดือน ก.ค.48 มี
การขยายตัวเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค.48 โดย Purchasing Managers’ Index ที่รวบรวมข้อมูล
จากบริษัทต่าง ๆ ในเขตยูโรเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 50.8 จาก 49.9 ในเดือน มิ.ย. ซึ่งระดับ 50 เป็นเส้นแบ่ง
ระหว่างการขยายตัวและการหดตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่ภาคบริการยังคงขยายตัวได้ดีในเดือน ก.ค. แต่การฟื้น
ตัวยังไม่ขยายตัวไปสู่ภาคการบริโภคหรือเป็นสัญญาณกระตุ้นให้บริษัทมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า
เศรษฐกิจเพิ่งเริ่มฟื้นตัวมากกว่าที่จะมองว่าขยายตัวร้อนแรงเกินไป ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องปรับขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นนัก
เศรษฐศาสตร์ 58 คน จากสำนักข่าวรอยเตอร์ เกือบทั้งหมดคาดว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานไว้ที่ระดับ
ร้อยละ 2.0 ซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่เดือน มิ.ย.46 และจำนวนนักวิเคราะห์ที่คาดว่า ECB จะปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยในครั้งต่อไปลดลงเหลือร้อยละ 20 จากร้อยละ 30 ในการสำรวจครั้งก่อน (รอยเตอร์)
3. ยอดค้าปลีกในเขตเศรษฐกิจยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ต่อปีสูงกว่าที่คาดไว้ รายงานจากบ
รัสเซลส์ เมื่อ 3 ส.ค. 48 ยอดค้าปลีกของ 12 ประเทศในเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ euro zone ซึ่งใช้เงินสกุลยู
โรเป็นเงินสกุลหลักเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนก่อนและร้อยละ 0.9 จากปีก่อน สูงกว่าที่รอยเตอร์คาดไว้ที่ร้อย
ละ 0.6 ต่อปี อย่างไรก็ดีแม้ว่ายอดค้าปลีกในเดือน มิ.ย.48 จะเพิ่มขึ้นแต่ยอดค้าปลีกรวมของไตรมาสที่ 2 ปีนี้ยัง
คงลดลงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ โดยยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นอาหาร เครื่องดื่มและบุหรี่
ในประเทศฟินแลนด์ เบลเยี่ยมและโปรตุเกส ในขณะที่ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศเดียวใน euro zone ที่ยอดค้า
ปลีกลดลงเมื่อเทียบต่อปีคือลดลงร้อยละ 1.8 ต่อปี เช่นเดียวกับเยอรมนีที่เป็นประเทศเดียวในเขตนี้ที่ยอดค้าปลีกใน
เดือน มิ.ย.48 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนคือลดลงร้อยละ 0.3 ต่อเดือน อย่างไรก็ดีนักเศรษฐศาสตร์ให้ความ
เห็นว่ายอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือน มิ.ย.48 ยังไม่ได้เป็นสัญญาณว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว
แล้วตราบใดที่สภาพการจ้างงานยังไม่ดีขึ้น โดยอัตราการว่างงานใน euro zone อยู่ที่ระดับร้อยละ 8.7 ใน
เดือน พ.ค.และ มิ.ย.48 ลดลงเล็กน้อยจากระดับร้อยละ 8.9 ในเดือนก่อนหน้านี้ (รอยเตอร์)
4. ภาคบริการของอังกฤษขยายตัวในเดือน ก.ค.48 ในอัตราสูงสุดในรอบ 3 เดือนแต่แนวโน้มที่
ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลง รายงานจากลอนดอน เมื่อ 3 ส.ค.48 The Chartered
Institute of Purchasing and Supply/NTC Research รายงานดัชนีชี้วัดธุรกรรมของธุรกิจบริการใน
อังกฤษเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 56.3 ในเดือน ก.ค.48 จากระดับ 55.8 ในเดือนก่อน และดีกว่าที่คาดไว้ว่าจะลดลง
มาอยู่ที่ระดับ 55.4 นอกจากนี้ยังอยู่ในระดับสูงกว่า 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัว อย่างไรก็ดี
ระดับราคาที่ธุรกิจบริการเรียกเก็บจากผู้บริโภคเพิ่มขึ้นในอัตราต่ำสุดในรอบ 1 ปีครึ่งจากสภาพการแข่งขันทำให้ไม่
สามารถขึ้นราคาได้ ในขณะที่ผลสำรวจจากสถาบันเดียวกันกลับชี้ว่าภาคอุตสาหกรรมของอังกฤษอยู่ในภาวะตกต่ำตรง
ข้ามกับภาคบริการ นอกจากนี้ ธ.กลางอังกฤษยังกังวลว่าการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ลดลงในขณะนี้จะส่งผลกระทบต่อ
เศรษฐกิจโดยรวมและต่อเนื่องไปยังธุรกิจบริการด้วย นักวิเคราะห์จึงยังคาดว่า ธ.กลางอังกฤษจะลดอัตราดอกเบี้ย
เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีในการประชุมในระหว่างวันที่ 3 — 4 ส.ค.48 นี้ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 4 ส.ค. 48 3 ส.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.355 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.1792/41.4681 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.80361 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 687.94/ 19.34 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,450/8,550 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 55.08 55.08 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 25.74*/22.59** 25.74*/22.59** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ค. 48
**ปรับเลด 40 สตางค์เมื่อ 30 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--