ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้าน
เสถียรภาพการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน
พันธบัตร (อาร์พี) ระยะ 14 วัน จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.50 ต่อปี เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่
จะเร่งตัวมากขึ้นในขณะนี้ แต่ ธปท. จะพยายามปรับดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพ
เศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเร่งตัวชัดเจนจากร้อยละ
0.8 ในเดือน เม.ย. เป็นร้อยละ 1.2 ในเดือน พ.ค. และมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอีกในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อที่
สูงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันและต้นทุนการผลิต สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลสูงมากในช่วง 4 เดือน
แรกของปีนี้ประมาณ 3,108 ล้านดอลลาร์ สรอ. นั้น ต้องดูแลต่อไป หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นจะทำให้ผู้ประกอบการ
ลดการกู้ยืมเพื่อนำเข้าสินค้าได้ อย่างไรก็ตาม แม้ ธปท. จะขึ้นดอกเบี้ยแต่การขึ้นดอกเบี้ยของ ธ.พาณิชย์คงต้อง
ใช้เวลาระยะหนึ่งขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของธนาคารแต่ละแห่ง (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค.48 ลดลงต่ำสุดในรอบ 37 เดือน นายธนวรรษน์ พลวิชัย
ผอ.สนง.พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำ
เดือน พ.ค.48 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 99.7 มีค่าต่ำสุดในรอบ
37 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ค.45 ลดลงจากระดับ 100.6 ในเดือน เม.ย.48 โดยผู้บริโภคเห็นว่ารายได้ใน
อนาคตของตนใน 6 เดือนข้างหน้า จะปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 17.3 ไม่เปลี่ยนแปลงร้อยละ 65.0 และแย่ลงร้อยละ
17.6 แสดงให้เห็นว่าการชะลอตัวลงทางเศรษฐกิจในปัจจุบันจะส่งผลต่อรายได้ของตนเองในอนาคต ซึ่งสัญญาณนี้
เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงที่รัฐบาลต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่น โดยรัฐบาลต้องชัดเจนในการทุ่มการใช้จ่ายของภาครัฐ
เช่น งบกลางปี 5 หมื่นกว่าล้านบาท เร่งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้จะทุ่ม งปม. ลงไปกว่า
แสนล้าน หากรัฐทำได้ตามเป้าในครึ่งปีหลังก็จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจคืนมา อีกทั้งต้องเร่งการส่ง
ออกและการท่องเที่ยว เพื่อให้ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลอยู่ขณะนี้กลับมาเป็นบวก ให้เงินเข้ามาไหลเวียนในระบบ
เศรษฐกิจของประเทศ พร้อมทั้งต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้น (เดลินิวส์, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
3. ไทยเตรียมปรับยุทธศาสตร์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ นายการุณ กิตติสถาพร
ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ว่า การประชุม
ครั้งนี้มีทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน รวมทั้งภาคเอกชนเข้าร่วม เพื่อให้เข้าใจปัญหาร่วมกันเรื่อง
การค้าระหว่างประเทศว่า ไทยมีรูปแบบการแข่งขันและได้ทำกรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศอะไรไว้
บ้าง เช่น เขตการค้าเสรี องค์การการค้าโลก และกรอบข้อตกลงเสรีอาเซียน (อาฟตา) เพื่อให้สามารถเดินไป
ในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งขณะนี้ได้มีมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น มาตรการทางภาษี ตลอดจน
มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่ประเทศต่าง ๆ นำมาใช้มากขึ้น ส่วนที่ ก.พาณิชย์จะต้องทำคือ ยุทธศาสตร์การปรับโครง
สร้างสินค้าการเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งการปรับยุทธศาสตร์ต้องครอบ
คลุมถึงการปรับโครงสร้างในระยะยาวว่าต้องทำเรื่องใดบ้าง รวมทั้งจะมีการตั้งสำนักงานเจรจาการค้าระหว่าง
ประเทศขึ้นใหม่ด้วย (ไทยรัฐ)
4. สมอ. ตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและออกมาตรฐานรายผลิตภัณฑ์รองรับเอฟทีเอ นาย
ไพโรจน์ สัญญะเดชากุล เลขาธิการ สนง.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. ได้ตั้งคณะ
กรรมการเป็นทีมเฉพาะกิจที่มาจากผู้ผลิต ผู้ใช้ และนักวิชาการ พิจารณากำหนดนโยบายและออกมาตรฐานราย
ผลิตภัณฑ์ทั้งมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป รองรับการเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ที่จะทำให้มีสินค้า
เข้ามาจำหน่ายในไทยมากขึ้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและดูแลผู้ประกอบการในประเทศ โดยคณะทำงานที่ตั้งขึ้นจะมี
หลายชุด ดูแลรายสินค้าโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้การออกมาตรฐานบังคับรวดเร็วขึ้นและทันคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ผลิต
ในประเทศจากสินค้าด้อยมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาด โดยเฉพาะเมื่อเปิดเอฟทีเอแล้วสินค้าจากคู่ค้าจะเข้ามา
จำหน่ายในไทยได้เสรีขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปีของสรอ.ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ 1 เม.ย. 47 รายงาน
จาก วอชิงตัน เมื่อวันที่ 9 มิ.ย 48 บ.สินเชื่อจำนอง Freddie Mac เปิดเผยว่า ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 มิ.ย.
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปีอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.56 ลดลงจากร้อยละ 5.62 เมื่อสัปดาห์ก่อนและเป็น
ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 47 ที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 5.52 เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจอาทิการจ้างงานที่อ่อน
ตัวลงกว่าที่คาดไว้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตามนายอลัน กรีนสแปน ประธานธ.กลางสรอ.คาดว่าแนว
โน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้นแม้ว่าจะมีภาวะเงินเฟ้อบ้าง และแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองดังกล่าวจะชะลอลงแต่คาดว่า
ในปลายปีนี้จะมีการปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่เฉลี่ยระหว่างร้อยละ 5.9 — 6.2 เนื่องจากคาดว่าธ.กลางสรอ.จะปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อ เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 15 ปี และอัตรา
ดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 1 ปีที่ปรับได้ (Adjustable Rate Mortgages — ARM) ต่างก็ลดลงเช่นเดียว
กันอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.14 และร้อยละ 4.21 ลดลงจากร้อยละ 5.20 และร้อยละ 4.26 ตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อปีที่
แล้วอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปี ระยะ 15 ปี และ ARM อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 6.30, 5.67 และร้อยละ
4.14 ตามลำดับ (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.75 ต่อปีเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันหลังจาก
เศรษฐกิจแสดงสัญญาณชะลอตัวลง รายงานจากลอนดอน เมื่อ 9 มิ.ย.48 ธ.กลางอังกฤษตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.75 ต่อปีเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันตามที่คาดไว้ หลังจากเศรษฐกิจแสดงสัญญาณชะลอตัวลง
โดยผลสำรวจพบว่ายอดค้าปลีกในเดือน พ.ค.48 ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน และราคาบ้านที่ลดลงในเดือน พ.ค.48
เป็นสัญญาณว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ชะลอตัวลงแล้วซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าที่มีราคาสูง เช่น
เฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ภาคการผลิตยังหดตัวในไตรมาสแรกปีนี้โดยได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายในประเทศและ
ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone และ สรอ.ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของ
อังกฤษได้ปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงที่อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ต่อปีใน
ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าจะอยู่ในอัตราสูงสุดในรอบ 7 ปีแต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเพดานที่ ธ.กลางอังกฤษ
กำหนดไว้ที่ ร้อยละ 2.0 ต่อปี เช่นเดียวกับค่าจ้างแรงงานที่ชะลอตัวลงแม้ว่าตลาดแรงงานของอังกฤษจะตึงตัวก็
ตาม อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเพดานที่กำหนดเปิดโอกาสให้ ธ.กลางอังกฤษสามารถรอดูว่าการใช้จ่าย
ในประเทศลดลงเป็นการถาวรหรือไม่ก่อนที่จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ต่อไปตามที่นักวิเคราะห์หลายคนคาด
ว่าไว้ ธ.กลางอังกฤษอาจตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ส.ค.ปีนี้ (รอยเตอร์)
3. เยอรมนีเกินดุลการค้าในเดือน เม.ย.48 ลดลงอยู่ที่จำนวน 12.6 พัน ล.ยูโร รายงานจาก
เบอร์ลิน เมื่อ 9 มิ.ย.48 สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า เยอรมนีเกินดุลการค้าในเดือน เม.ย.48 ลดลงอยู่
ที่จำนวน 12.6 พัน ล.ยูโร จากจำนวน 14.7 พัน ล.ยูโรในเดือนก่อน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณการไว้
ก่อนหน้านี้ว่าจะอยู่ที่จำนวน 14.5 พัน ล.ยูโร (ส่วนไตรมาสแรก ปี 48 เฉลี่ยอยู่ที่จำนวน 13.7 พัน ล.ยูโร) ทั้ง
นี้ สาเหตุที่เกินดุลการค้าลดลงอย่างมาก เนื่องจากการส่งออกในเดือน เม.ย.48 มีจำนวน 62.4 พัน ล.ยูโร
หรือลดลงถึงร้อยละ 0.4 จากเดือน มี.ค.48 อันเป็นการลดลงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่นำ
เข้าเพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 49.8 พัน ล.ยูโร หรือร้อยละ 3.8 โดยเมื่อเทียบต่อปี การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ
4.9 ส่วนนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ภาวะการส่งออกของ
เยอรมนีในอนาคตอาจจะลดลงมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว โดยภาวะการส่งออกในปัจจุบัน
อยู่ในระดับที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่การอ่อนค่าของเงินยูโรก็จะสามารถสนับสนุนให้ความต้องการสินค้าจากต่าง
ประเทศเพิ่มขึ้นได้ (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางเกาหลีใต้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม รายงานจากโซลเมื่อ 9 มิ.ย.48 ธ.
กลางเกาหลีใต้ ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.25 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ในการ
ประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุจากการที่ดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภค (Consumer
expectation index) ในเดือน พ.ค.48 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ซึ่งสะท้อนว่า
ผู้บริโภคมีมุมมองในแง่ลบต่อภาวะเศรษฐกิจ โดย Consumer expection index เป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ชี้วัดความ
ต้องการภายในประเทศ และการที่ดัชนีฯ ลดลง ได้สะท้อนภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจนของความต้องการภายใน
ประเทศ ซึ่งทางการเกาหลีใต้คาดหวังจะให้เป็นปัจจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจทดแทนการส่งออกที่เคยเป็นปัจจัยหลัก
ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประกอบกับ ธ.กลางเกาหลีใต้มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน
ว่ายังคงอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วง และเชื่อว่าการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทาง
เศรษฐกิจได้ อนึ่ง ธ.กลางเกาหลีใต้ ได้คาดหมายตรงกับบรรดานักเศรษฐศาสตร์ว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้จะขยาย
ตัวในอัตราร้อยละ 4 ในปี 48 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 4.6 ในปี 47 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 10 มิ.ย. 48 9 มิ.ย .48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.691 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.4611/40.7485 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.46875—2.5000 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 677.20/12.95 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,100/8,200 8,100/8,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 49.29 47.94 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.54*/18.59** 22.54*/18.59** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 7 มิ.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 9 มิ.ย 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้าน
เสถียรภาพการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน
พันธบัตร (อาร์พี) ระยะ 14 วัน จากร้อยละ 2.25 เป็นร้อยละ 2.50 ต่อปี เพื่อป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่
จะเร่งตัวมากขึ้นในขณะนี้ แต่ ธปท. จะพยายามปรับดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพ
เศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเร่งตัวชัดเจนจากร้อยละ
0.8 ในเดือน เม.ย. เป็นร้อยละ 1.2 ในเดือน พ.ค. และมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นอีกในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อที่
สูงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันและต้นทุนการผลิต สำหรับดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลสูงมากในช่วง 4 เดือน
แรกของปีนี้ประมาณ 3,108 ล้านดอลลาร์ สรอ. นั้น ต้องดูแลต่อไป หากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นจะทำให้ผู้ประกอบการ
ลดการกู้ยืมเพื่อนำเข้าสินค้าได้ อย่างไรก็ตาม แม้ ธปท. จะขึ้นดอกเบี้ยแต่การขึ้นดอกเบี้ยของ ธ.พาณิชย์คงต้อง
ใช้เวลาระยะหนึ่งขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของธนาคารแต่ละแห่ง (โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค.48 ลดลงต่ำสุดในรอบ 37 เดือน นายธนวรรษน์ พลวิชัย
ผอ.สนง.พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำ
เดือน พ.ค.48 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 99.7 มีค่าต่ำสุดในรอบ
37 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ค.45 ลดลงจากระดับ 100.6 ในเดือน เม.ย.48 โดยผู้บริโภคเห็นว่ารายได้ใน
อนาคตของตนใน 6 เดือนข้างหน้า จะปรับตัวดีขึ้นร้อยละ 17.3 ไม่เปลี่ยนแปลงร้อยละ 65.0 และแย่ลงร้อยละ
17.6 แสดงให้เห็นว่าการชะลอตัวลงทางเศรษฐกิจในปัจจุบันจะส่งผลต่อรายได้ของตนเองในอนาคต ซึ่งสัญญาณนี้
เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วงที่รัฐบาลต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่น โดยรัฐบาลต้องชัดเจนในการทุ่มการใช้จ่ายของภาครัฐ
เช่น งบกลางปี 5 หมื่นกว่าล้านบาท เร่งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้จะทุ่ม งปม. ลงไปกว่า
แสนล้าน หากรัฐทำได้ตามเป้าในครึ่งปีหลังก็จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจคืนมา อีกทั้งต้องเร่งการส่ง
ออกและการท่องเที่ยว เพื่อให้ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลอยู่ขณะนี้กลับมาเป็นบวก ให้เงินเข้ามาไหลเวียนในระบบ
เศรษฐกิจของประเทศ พร้อมทั้งต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อไม่ให้สูงขึ้น (เดลินิวส์, ผู้จัดการรายวัน, ข่าวสด)
3. ไทยเตรียมปรับยุทธศาสตร์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ นายการุณ กิตติสถาพร
ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) ว่า การประชุม
ครั้งนี้มีทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน รวมทั้งภาคเอกชนเข้าร่วม เพื่อให้เข้าใจปัญหาร่วมกันเรื่อง
การค้าระหว่างประเทศว่า ไทยมีรูปแบบการแข่งขันและได้ทำกรอบความร่วมมือทางการค้าระหว่างประเทศอะไรไว้
บ้าง เช่น เขตการค้าเสรี องค์การการค้าโลก และกรอบข้อตกลงเสรีอาเซียน (อาฟตา) เพื่อให้สามารถเดินไป
ในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งขณะนี้ได้มีมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น มาตรการทางภาษี ตลอดจน
มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีที่ประเทศต่าง ๆ นำมาใช้มากขึ้น ส่วนที่ ก.พาณิชย์จะต้องทำคือ ยุทธศาสตร์การปรับโครง
สร้างสินค้าการเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งการปรับยุทธศาสตร์ต้องครอบ
คลุมถึงการปรับโครงสร้างในระยะยาวว่าต้องทำเรื่องใดบ้าง รวมทั้งจะมีการตั้งสำนักงานเจรจาการค้าระหว่าง
ประเทศขึ้นใหม่ด้วย (ไทยรัฐ)
4. สมอ. ตั้งคณะกรรมการกำหนดนโยบายและออกมาตรฐานรายผลิตภัณฑ์รองรับเอฟทีเอ นาย
ไพโรจน์ สัญญะเดชากุล เลขาธิการ สนง.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สมอ. ได้ตั้งคณะ
กรรมการเป็นทีมเฉพาะกิจที่มาจากผู้ผลิต ผู้ใช้ และนักวิชาการ พิจารณากำหนดนโยบายและออกมาตรฐานราย
ผลิตภัณฑ์ทั้งมาตรฐานบังคับและมาตรฐานทั่วไป รองรับการเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่าง ๆ ที่จะทำให้มีสินค้า
เข้ามาจำหน่ายในไทยมากขึ้น เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและดูแลผู้ประกอบการในประเทศ โดยคณะทำงานที่ตั้งขึ้นจะมี
หลายชุด ดูแลรายสินค้าโดยเฉพาะ ซึ่งจะทำให้การออกมาตรฐานบังคับรวดเร็วขึ้นและทันคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ผลิต
ในประเทศจากสินค้าด้อยมาตรฐานที่เข้ามาทุ่มตลาด โดยเฉพาะเมื่อเปิดเอฟทีเอแล้วสินค้าจากคู่ค้าจะเข้ามา
จำหน่ายในไทยได้เสรีขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปีของสรอ.ลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ 1 เม.ย. 47 รายงาน
จาก วอชิงตัน เมื่อวันที่ 9 มิ.ย 48 บ.สินเชื่อจำนอง Freddie Mac เปิดเผยว่า ณ สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 9 มิ.ย.
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปีอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.56 ลดลงจากร้อยละ 5.62 เมื่อสัปดาห์ก่อนและเป็น
ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 47 ที่อยู่ที่ระดับร้อยละ 5.52 เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจอาทิการจ้างงานที่อ่อน
ตัวลงกว่าที่คาดไว้บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจชะลอตัว อย่างไรก็ตามนายอลัน กรีนสแปน ประธานธ.กลางสรอ.คาดว่าแนว
โน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้นแม้ว่าจะมีภาวะเงินเฟ้อบ้าง และแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองดังกล่าวจะชะลอลงแต่คาดว่า
ในปลายปีนี้จะมีการปรับเพิ่มขึ้นอยู่ที่เฉลี่ยระหว่างร้อยละ 5.9 — 6.2 เนื่องจากคาดว่าธ.กลางสรอ.จะปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อ เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 15 ปี และอัตรา
ดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะเวลา 1 ปีที่ปรับได้ (Adjustable Rate Mortgages — ARM) ต่างก็ลดลงเช่นเดียว
กันอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 5.14 และร้อยละ 4.21 ลดลงจากร้อยละ 5.20 และร้อยละ 4.26 ตามลำดับ ทั้งนี้เมื่อปีที่
แล้วอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองระยะ 30 ปี ระยะ 15 ปี และ ARM อยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 6.30, 5.67 และร้อยละ
4.14 ตามลำดับ (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางอังกฤษคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.75 ต่อปีเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันหลังจาก
เศรษฐกิจแสดงสัญญาณชะลอตัวลง รายงานจากลอนดอน เมื่อ 9 มิ.ย.48 ธ.กลางอังกฤษตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ย
นโยบายไว้ที่ร้อยละ 4.75 ต่อปีเป็นเดือนที่ 10 ติดต่อกันตามที่คาดไว้ หลังจากเศรษฐกิจแสดงสัญญาณชะลอตัวลง
โดยผลสำรวจพบว่ายอดค้าปลีกในเดือน พ.ค.48 ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน และราคาบ้านที่ลดลงในเดือน พ.ค.48
เป็นสัญญาณว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ชะลอตัวลงแล้วซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าที่มีราคาสูง เช่น
เฟอร์นิเจอร์ นอกจากนี้ภาคการผลิตยังหดตัวในไตรมาสแรกปีนี้โดยได้รับผลกระทบจากการใช้จ่ายในประเทศและ
ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจยุโรปหรือ Euro zone และ สรอ.ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของ
อังกฤษได้ปรับลดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อยังคงที่อยู่ที่ร้อยละ 1.9 ต่อปีใน
ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แม้ว่าจะอยู่ในอัตราสูงสุดในรอบ 7 ปีแต่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเพดานที่ ธ.กลางอังกฤษ
กำหนดไว้ที่ ร้อยละ 2.0 ต่อปี เช่นเดียวกับค่าจ้างแรงงานที่ชะลอตัวลงแม้ว่าตลาดแรงงานของอังกฤษจะตึงตัวก็
ตาม อัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าเพดานที่กำหนดเปิดโอกาสให้ ธ.กลางอังกฤษสามารถรอดูว่าการใช้จ่าย
ในประเทศลดลงเป็นการถาวรหรือไม่ก่อนที่จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ต่อไปตามที่นักวิเคราะห์หลายคนคาด
ว่าไว้ ธ.กลางอังกฤษอาจตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ส.ค.ปีนี้ (รอยเตอร์)
3. เยอรมนีเกินดุลการค้าในเดือน เม.ย.48 ลดลงอยู่ที่จำนวน 12.6 พัน ล.ยูโร รายงานจาก
เบอร์ลิน เมื่อ 9 มิ.ย.48 สำนักงานสถิติเยอรมนี เปิดเผยว่า เยอรมนีเกินดุลการค้าในเดือน เม.ย.48 ลดลงอยู่
ที่จำนวน 12.6 พัน ล.ยูโร จากจำนวน 14.7 พัน ล.ยูโรในเดือนก่อน และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณการไว้
ก่อนหน้านี้ว่าจะอยู่ที่จำนวน 14.5 พัน ล.ยูโร (ส่วนไตรมาสแรก ปี 48 เฉลี่ยอยู่ที่จำนวน 13.7 พัน ล.ยูโร) ทั้ง
นี้ สาเหตุที่เกินดุลการค้าลดลงอย่างมาก เนื่องจากการส่งออกในเดือน เม.ย.48 มีจำนวน 62.4 พัน ล.ยูโร
หรือลดลงถึงร้อยละ 0.4 จากเดือน มี.ค.48 อันเป็นการลดลงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่นำ
เข้าเพิ่มขึ้นอยู่ที่จำนวน 49.8 พัน ล.ยูโร หรือร้อยละ 3.8 โดยเมื่อเทียบต่อปี การส่งออกเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ
4.9 ส่วนนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ภาวะการส่งออกของ
เยอรมนีในอนาคตอาจจะลดลงมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณชะลอตัว โดยภาวะการส่งออกในปัจจุบัน
อยู่ในระดับที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่การอ่อนค่าของเงินยูโรก็จะสามารถสนับสนุนให้ความต้องการสินค้าจากต่าง
ประเทศเพิ่มขึ้นได้ (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางเกาหลีใต้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม รายงานจากโซลเมื่อ 9 มิ.ย.48 ธ.
กลางเกาหลีใต้ ได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมร้อยละ 3.25 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ในการ
ประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยมีสาเหตุจากการที่ดัชนีความคาดหวังของผู้บริโภค (Consumer
expectation index) ในเดือน พ.ค.48 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มาอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ซึ่งสะท้อนว่า
ผู้บริโภคมีมุมมองในแง่ลบต่อภาวะเศรษฐกิจ โดย Consumer expection index เป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ชี้วัดความ
ต้องการภายในประเทศ และการที่ดัชนีฯ ลดลง ได้สะท้อนภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจนของความต้องการภายใน
ประเทศ ซึ่งทางการเกาหลีใต้คาดหวังจะให้เป็นปัจจัยในการกระตุ้นเศรษฐกิจทดแทนการส่งออกที่เคยเป็นปัจจัยหลัก
ในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ประกอบกับ ธ.กลางเกาหลีใต้มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน
ว่ายังคงอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วง และเชื่อว่าการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทาง
เศรษฐกิจได้ อนึ่ง ธ.กลางเกาหลีใต้ ได้คาดหมายตรงกับบรรดานักเศรษฐศาสตร์ว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้จะขยาย
ตัวในอัตราร้อยละ 4 ในปี 48 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 4.6 ในปี 47 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 10 มิ.ย. 48 9 มิ.ย .48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.691 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.4611/40.7485 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.46875—2.5000 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 677.20/12.95 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,100/8,200 8,100/8,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 49.29 47.94 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.54*/18.59** 22.54*/18.59** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 7 มิ.ย. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 9 มิ.ย 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--