บทสรุปผู้บริหาร ภาคอุตสาหกรรมการผลิต เป็นภาคเศรษฐกิจหลักสำคัญในองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) การศึกษาศักยภาพของอุตสาหกรรมการผลิตที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเน้นวิเคราะห์องค์ประกอบของการเจริญเติบโตที่มาจากปัจจัยด้านอุปสงค์ (GDP = C+I+G+X-M) ซึ่งอาจยังไม่เพียงพอที่จะสะท้อนขีดความสามารถที่แท้จริง การอธิบายโครงสร้างอุตสาหกรรมโดยนำดัชนี Total Factor Productivity (TFP) เข้ามาวัดผลิตภาพโดยรวมของอุตสาหกรรมการผลิตของไทย เป็นการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมถึงด้านอุปทาน และประสิทธิภาพของการใช้ปัจจัยการผลิตที่มาจากทุนและแรงงาน โดย TFP จะวัดความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น นอกเหนือจากการเพิ่มเพียงปัจจัยทุนและแรงงาน ซึ่ง TFP ส่วนใหญ่เกิดจากตัวแปรคุณภาพที่วัดยาก เช่น อาจเกิดจากคุณภาพของปัจจัยการผลิต ความได้เปรียบด้านเทคโนโลยี หรือประสิทธิภาพการบริหารจัดการ เป็นต้น ซึ่งน่าจะมีประโยชน์มากขึ้นต่อนโยบายในภาพรวม การศึกษาข้อมูลการผลิตรายปี ปี 2546 ภายใต้กรอบการสำรวจสถานประกอบการ 4,000 ราย และจำนวนที่นำมาวิเคราะห์ 2,581 ราย ได้ผลการศึกษาดังนี้โครงสร้างอุตสาหกรรม ขนาดการผลิต การใช้ทุนจะเข้มข้นเพิ่มขึ้นตามขนาดการผลิต โดยส่วนแบ่งตลาดและสัดส่วนการส่งออกของรายใหญ่ที่ได้เปรียบ เอื้อให้ผู้ผลิตรายใหญ่มีโอกาสขยายการลงทุนมากกว่ากลุ่มอื่น จากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงกว่า ลักษณะเครื่องจักรของรายใหญ่ จึงมีสภาพใหม่ และมีเทคโนโลยีทันสมัย ขณะที่รายเล็ก มักใช้เครื่องจักรสภาพเก่า ส่วนแบ่งตลาดแคบและเน้นตลาดในประเทศ โครงสร้างการลงทุน (สัดส่วน FDI) กลุ่มร่วมทุน และต่างชาติ มีสัดส่วนการใช้ทุนเข้มข้นกว่ากลุ่มไทยล้วน ส่วนหนึ่งเนื่องจากกลุ่มดังกล่าวจะเน้นใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ และมีการขยายการลงทุนในเครื่องจักรสูงกว่า จึงพบว่า กลุ่มร่วมทุน และต่างชาติ จะเน้นการฝึกอบรมฝีมือแรงงานเข้มข้นมากกว่ากลุ่มไทยล้วน ประเภทอุตสาหกรรม การเปรียบเทียบกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต่างกัน จะพบความแตกต่างของระดับการใช้ทุนอย่างชัดเจน โดยการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ กระจุกตัวในกลุ่ม Technology intensive ขณะที่กลุ่ม Resource-base ยังมีสัดส่วนเครื่องจักรใหม่ และเครื่องจักรอัตโนมัติต่ำกว่ากลุ่มอื่น แต่จะมีลักษณะเด่นจากการใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ มาก เชื่อมโยงให้กลุ่ม Resource-base ได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบผลิตภาพโดยรวม - อุตสาหกรรมการผลิตโดยรวม มีมูลค่าเพิ่มขยายตัวถึงร้อยละ 8.2 ในปี 2546 เพิ่มจากร้อยละ 4.9 ในปี 2545 - องค์ประกอบที่หนุนการเติบโตของมูลค่าเพิ่ม ในปี 2546 ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยทุนถึงร้อยละ 5.1 และมาจากการขยายตัวของผลิตภาพโดยรวม (TFPG) เพียงร้อยละ 2.6 - TFPG ในปี 2546 ขยายตัวลดลงจากปี 2545 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยทุนที่เพิ่มขึ้นมาก ทำให้ผลิตภาพหน่วยสุดท้ายของปัจจัยทุนลดลง - สัญญานที่ยังเป็นบวกด้านอุปทาน ได้แก่ TFP Level โดยรวมยังมีระดับสูง แม้จะมีการขยายตัวลดลง, การขยายการลงทุน และเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นต้น - กลุ่มผู้ผลิตที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ผู้ผลิตรายใหญ่ (แยกตามขนาด), ผู้ผลิตกลุ่มร่วมทุน (แยกตาม FDI), ผู้ผลิตกลุ่ม Technology intensive และกลุ่ม Resource-base (แยกตามประเภทอุตสาหกรรม) - ผู้ผลิตรายใหญ่ ร่วมทุน และ Technology intensive สามารถบริหารปัจจัยการผลิตให้ยังมีผลิตภาพขยายตัวได้ ส่วนกลุ่ม Resource-base มีความได้เปรียบการบริหารด้านต้นทุน - กลุ่มผู้ผลิตที่มีศักยภาพต่ำ ได้แก่ ผู้ผลิตรายเล็ก และกลุ่ม Labor intensive ซึ่งส่วนใหญ่มักใช้เครื่องจักรเก่า ประสิทธิภาพของปัจจัยทุนตกต่ำ โดยเฉพาะรายเล็ก ที่มักจะเสียเปรียบด้านตลาดและขนาดการผลิตอยู่แล้ว เป็นข้อจำกัดในการปรับประสิทธิภาพการผลิต - ผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่อาจสัมพันธ์กับ TFP ของอุตสาหกรรมการผลิตในภาพรวม ได้แก่ การลงทุนในด้านวิจัยและพัฒนาเพื่อเพิ่มคุณภาพผลิตภัณฑ์ และลดต้นทุนกระบวนการผลิต, อายุของเครื่องจักร การอบรมฝีมือแรงงาน และระดับการศึกษาของแรงงาน เป็นต้น - ผลการศึกษาผลิตภาพโดยรวมของอุตสาหกรรมรายหมวด ได้จัดแบ่งหมวดอุตสาหกรรมออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มดี (good), แย่ (worse), น่าจะดีขึ้น (better) และอาจจะแย่ลง (worsen) - กลุ่มดี (TFP Level สูงเกิน 100, มูลค่าเพิ่ม และ TFPG ขยายตัว) ได้แก่ หมวดสิ่งพิมพ์ ตู้แช่เย็น เบียร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ยา แปรรูปสัตว์น้ำ อุปกรณ์ถ่ายภาพ อิเล็กทรอนิกส์ และสีทา เป็นต้น - กลุ่มแย่ (TFP Level ต่ำกว่า 100, มูลค่าเพิ่ม และ TFPG หดตัว) ได้แก่ น้ำตาล เส้นใย สิ่งทอ เยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง เหล็ก ผงซักฟอกและสบู่ ผลิตภัณฑ์พลาสติก กระดาษลูกฟูก เป็นต้น - กลุ่มที่น่าจะดีขึ้น เป็นกลุ่มของอุตสาหกรรมที่ยังมี TFP Level ต่ำกว่า 100 แต่มีการขยายตัวของมูลค่าเพิ่ม และ TFPG ในอัตราสูง ได้แก่ ปูนซีเมนต์ พลาสติกขั้นต้น เนื้อสัตว์แปรรูป เซรามิก(ไม่ใช้ก่อสร้าง) เคมีภัณฑ์พื้นฐาน และรองเท้า เป็นต้น - กลุ่มที่อาจจะแย่ลง เป็นกลุ่มของอุตสาหกรรมที่มี TFP Level ในระดับสูงกว่า 100 แต่มูลค่าเพิ่ม และ TFPG หดตัว ได้แก่ อัญมณี เฟอร์นิเจอร์ คอมพิวเตอร์ แปรรูปผักและผลไม้ และยางรถยนต์ เป็นต้น - อุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญ เช่น เหล็ก เส้นใยสิ่งทอ เยื่อกระดาษ และน้ำตาล ยังอ่อนแอ จาก TFP ที่อยู่ในระดับต่ำ และยังหดตัว อาจเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง - ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ ควรสนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญ เพื่อช่วยพัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี และเป็นฐานสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่องของไทย, ภาครัฐควรให้การสนับสนุนด้านเงินทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรในกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็ก และ Labor inensive ซึ่งการปรับเพิ่มประสิทธิภาพของปัจจัยทุน อาจช่วยให้ผลิตภาพของแรงงานขยายตัวด้วย, กลุ่มที่ใช้ Resource-base ควรได้รับการสนับสนุนด้านตลาดส่งออกให้มากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ได้เปรียบด้านต้นทุน และมีโอกาสแข่งขันสูงใกล้เคียงกับกลุ่ม Technology intensive ซึ่งการเน้นส่งออกมากขึ้น ยังช่วยเร่งให้มีการปรับตัวด้านประสิทธิภาพการผลิตให้สูงขึ้น, ผู้ผลิตหลายกลุ่มยังมีสัดส่วน R & D ต่ำมาก เช่น กลุ่มไทยล้วน รายเล็ก กลุ่ม Resource-base และ Labor intensive ควรได้รับการสนับสนุนด้านเงินทุนสำหรับ R & D อย่างจริงจัง และ ควรมีการศึกษาผลิตภาพการผลิตโดยรวมต่อเนื่องในระยะยาว. ภาคอุตสาหกรรมการผลิต เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่มีบทบาทสำคัญในองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) จากมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ที่คิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 45 ของ GDP และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นลำดับ เป้าหมายของการพัฒนาให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน จึงหนีไม่พ้นที่จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมในประเทศ เพื่อยกระดับของผลิตภาพให้สูงขึ้น และขยายตัวตลอดเวลา การศึกษาและวิเคราะห์ถึงศักยภาพของภาคอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการวางนโยบายในภาพรวม จนถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมรายสาขา ในอดีตส่วนใหญ่มักเน้นการมองแต่เพียงด้านเดียว คือ ด้านอุปสงค์ (Demand side) เป็นหลัก ซึ่งเป็นการวิเคราะห์องค์ประกอบของการเจริญเติบโตที่มาจากปัจจัยด้านอุปสงค์ ได้แก่ การบริโภคภาคเอกชน (Private Consumption หรือ C) การลงทุนภาคเอกชน (Private Investment หรือ I) การใช้จ่ายภาครัฐบาล (Government Consumption หรือ G) และ การส่งออกสุทธิ (Export — Import หรือ X — M) และมักจะใช้ดัชนีด้านอุปสงค์ ได้แก่ อัตราการขยายตัวของการส่งออก ส่วนแบ่งตลาด เป็นต้น ที่ถูกนำมาวัดถึงระดับความได้เปรียบในการแข่งขันของอุตสาหกรรมแต่ละหมวดเหล่านั้น แม้ผลการวิเคราะห์จะทำให้สามารถจัดเรียงศักยภาพของอุตสาหกรรม ตามลำดับความสามารถในการแข่งขันได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะให้บทสรุปถึงขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรมในประเทศได้อย่างชัดเจน ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปสู่ข้อจำกัดในการวางนโยบายที่เหมาะสมกับภาคอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง การวิเคราะห์ภาคอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมถึงด้านอุปทาน และประสิทธิภาพของการใช้ปัจจัยการผลิตจึงเป็นสิ่งจำเป็น โครงการสำรวจข้อมูลการผลิตรายปี ปีพ.ศ.2546 ของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ทำการวิเคราะห์ศักยภาพของอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศไทย ภายใต้กรอบการสำรวจผู้ประกอบการจำนวนทั้งสิ้น 4,000 ราย และจำนวนที่นำมาวิเคราะห์ 2,581 ราย โดยครอบคลุมการวิเคราะห์ด้านอุปทาน ซึ่งอาศัยดัชนีชี้วัดที่สำคัญ ได้แก่ Total Factor Productivity Growth (TFPG) หรือ การขยายตัวของผลิตภาพโดยรวมของอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับความสามารถของผู้ผลิต ในการที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้สูงขึ้น นอกเหนือจากเพียงการเพิ่มการใช้ปัจจัยการผลิตหลัก อันได้แก่ ทุน (Capital contribution) และแรงงาน (Labor contribution) โดยหลักการแล้ว TFPG จึงหมายถึง ผลของปัจจัยอื่นๆ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นด้านประสิทธิภาพและคุณภาพของปัจจัยการผลิต ซึ่งได้แก่ คุณภาพและความทันสมัยของเครื่องจักร ระดับฝีมือและความชำนาญงานของแรงงาน ตลอดจนระดับเทคโนโลยีของกระบวนการผลิต ความสามารถในการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุน ความเชื่อถือในเครื่องหมายการค้า รวมถึง โอกาสทางการตลาด เป็นต้น จากงานศึกษาในอดีตของปรานี ทินกร (Productivity Growth in Thailand, 1996) พบว่า ปัจจัยที่มีส่วนผลักดันมูลค่าการผลิตในอุตสาหกรรมการผลิตของไทยให้ขยายตัวร้อยละ 8.7 ในช่วงปีพ.ศ.2521 — 2533 ส่วนใหญ่เป็นผลการขยายตัวที่มาจากการเพิ่มปัจจัยทุนเป็นหลักในสัดส่วนถึงร้อยละ 4.9 รองลงมาได้แก่ ปัจจัยแรงงานในสัดส่วนร้อยละ 4.12 ส่วน TFPG ยังหดตัวร้อยละ 0.36 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าศึกษาว่า องค์ประกอบของโครงสร้างการเจริญเติบโต (Growth Accounting) ในอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศไทย ได้เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดในปัจจุบัน โครงสร้างอุตสาหกรรมในภาพรวม ภาพรวมด้านโครงสร้างของอุตสาหกรรมการผลิตของไทย มีความแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มผู้ผลิต การวิเคราะห์จึงได้จำแนกผู้ผลิตออกเป็นกลุ่มย่อยเพื่อให้เกิดความชัดเจนในการศึกษาเปรียบเทียบ โดยจำแนกประเภทของกลุ่มผู้ผลิตแยกตามขนาด ได้แก่ รายใหญ่ กลาง และเล็ก ตามโครงสร้างการลงทุน ได้แก่ ต่างชาติ ร่วมทุน และไทยล้วน จนถึงแยกตามประเภทของอุตสาหกรรม ได้แก่ Resource-based, Labor intensive, Technology intensive ซึ่งสามารถสรุปภาพรวมได้ดังนี้ กรณีแยกกลุ่มผู้ผลิตตามขนาด เมื่อเปรียบเทียบผู้ผลิตที่มีขนาดต่างกัน แม้สัดส่วนการใช้ทุนเข้มข้น (Capital intensity) จะไม่ต่างกันอย่างเด่นชัด แต่เป็นข้อน่าสังเกตว่า สัดส่วนการใช้ทุนจะมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นตามขนาดการผลิต โดยผู้ผลิตรายใหญ่เป็นกลุ่มที่ใช้ทุนเข้มข้นสูงกว่ากลุ่มอื่น จากสัดส่วนทุนต่อแรงงานที่อยู่ในระดับ 0.97 เทียบกับผู้ผลิตรายเล็กประมาณ 0.87 ส่วนแบ่งทางการตลาดและสัดส่วนการส่งออกของรายใหญ่ที่ได้เปรียบกลุ่มอื่น ทำให้กลุ่มรายใหญ่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่สูงกว่ากลุ่มอื่นด้วย โดยอยู่ในระดับ 64.5 ในปี 2546 อัตราเพิ่มของการลงทุนในปัจจัยทุนของรายใหญ่ที่สูงกว่ากลุ่มขนาดกลาง และเล็ก ทำให้ลักษณะเครื่องจักรในโรงงานของกลุ่มรายใหญ่มีสภาพใหม่และเทคโนโลยีทันสมัยกว่า และจากลักษณะการผลิตที่เป็น Mass production ของรายใหญ่ ทำให้โครงสร้างแรงงานในกลุ่มรายใหญ่ มีสัดส่วนแรงงานไร้ฝีมือสูงกว่ากลุ่มอื่น กลุ่มรายใหญ่จึงได้เปรียบทั้งจากต้นทุนต่อหน่วย และต้นทุนแรงงาน อย่างไรก็ตาม การเน้นใช้แรงงานไร้ฝีมือในสัดส่วนสูง ทำให้รายใหญ่จำเป็นต้องเน้นเสริมโปรแกรมฝึกฝีมือแรงงานในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มอื่น นอกจากนี้ยังพบว่า การเน้นตลาดส่งออกและการมีขนาดการผลิตที่ใหญ่ขึ้น จะมีแนวโน้มการใช้วัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศในสัดส่วนสูงตาม ขณะที่กลุ่มรายเล็ก ที่เน้นตลาดในประเทศสูงถึงร้อยละ 90.8 ส่วนใหญ่ยังใช้เครื่องจักรที่มีสภาพเก่า และเน้นการใช้วัตถุดิบในประเทศเกือบทั้งหมด กรณีแยกกลุ่มผู้ผลิตตามโครงสร้างการลงทุน ประเภทของเครื่องจักรของกลุ่มร่วมทุน ต่างชาติ และกลุ่มไทยล้วน มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยกลุ่มร่วมทุน และต่างชาติ จะใช้เครื่องจักรอัตโนมัติในสัดส่วนสูงประมาณร้อยละ 51.2 และ 47.1 ตามลำดับ เทียบกับกลุ่มไทยล้วนมีเพียงร้อยละ 35.0 ในปี 2546 ระดับความเข้มข้นในการใช้ทุนของกลุ่มร่วมทุนจึงสูงกว่ากลุ่มอื่น จากสัดส่วนทุนต่อแรงงานของร่วมทุนที่สูงถึง 1.4 เทียบกับระดับเฉลี่ยโดยรวม ประมาณ 0.96 แต่สภาพเครื่องจักรของกลุ่มร่วมทุน ส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานมากกว่าต่างชาติ และไทยล้วน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเครื่องจักรอัตโนมัติมีต้นทุนนำเข้าที่สูงมาก ขณะที่กลุ่มต่างชาติจะเน้นใช้เครื่องจักรใหม่กว่ากลุ่มอื่น จากสัดส่วนของเครื่องจักรอายุไม่เกิน 6 ปีของกลุ่มต่างชาติที่สูงถึงร้อยละ 59.3 ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการขยายการลงทุนของต่างชาติที่เพิ่มถึงร้อยละ 3.3 และโครงสร้างตลาดของกลุ่มต่างชาติที่เน้นส่งออกถึงร้อยละ 75.5 ในปี 2546 แต่จากลักษณะการผลิตของกลุ่มต่างชาติ และร่วมทุน ที่เน้นใช้เครื่องจักรใหม่ และเครื่องจักรอัตโนมัติ ทำให้ผู้ผลิตทั้งสองกลุ่มนี้ ให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมฝีมือแรงงานในสัดส่วนสูงใกล้เคียงกันในระดับ 95.3 — 95.5 เทียบกับสัดส่วนการฝึกอบรมฝีมือแรงงานในกลุ่มไทยล้วนที่มีเพียงร้อยละ 86.7 ในปี 2546 กรณีแยกกลุ่มผู้ผลิตตามประเภทอุตสาหกรรม ความเข้มข้นของการใช้ทุนในกลุ่มผู้ผลิตที่เน้น Technology intensive กับกลุ่ม Labor intensive มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยสัดส่วนทุนต่อแรงงานในกลุ่ม Technology intensive สูงถึง 1.5 ขณะที่ Labor intensive ต่ำเพียง 0.3 จากประเภทเครื่องจักรในกลุ่ม Technology intensive ที่เน้นการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติสูงถึงเกือบร้อยละ 60.0 ความสลับซับซ้อนของกลไกเครื่องจักรและอุปกรณ์ในโรงงาน ทำให้กลุ่ม Technology intensive ต้องเน้นการใช้แรงงานมีฝีมือ พร้อมกับมีโปรแกรมการฝึกอบรมฝีมือในสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอื่น หากเปรียบเทียบด้านโครงสร้างวัตถุดิบ กลุ่ม Technology intensive จะเน้นการนำเข้าวัตถุดิบสูงกว่ากลุ่มอื่น ต้นทุนวัตถุดิบจึงสูงถึงร้อยละ 80.2 ซึ่งสูงกว่าทุกกลุ่ม ตรงข้ามกับกลุ่ม Resource-based ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 82.7 ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 65.0 ต่ำกว่ากลุ่มอื่น ในปี 2546 และเน้นผลิตป้อนตลาดในประเทศเป็นหลัก ลักษณะเฉพาะของสายการผลิตกลุ่ม Resource-based ทำให้สายการผลิตในกลุ่มนี้ ยังไม่เน้นเทคโนโลยีในเครื่องจักรมากนัก การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติในกลุ่ม Resource-based จึงต่ำเพียงร้อยละ 29.5 จึงทำให้พบว่า กลุ่ม Resource-based มีการขยายการลงทุนต่ำกว่ากลุ่มอี่นๆ และสภาพเครื่องจักรของกลุ่ม Resource-based ส่วนใหญ่ยังมีอายุการใช้งานนานเกิน 6 ปีสูงถึงร้อยละ 60.6 ในปี 2546การแบ่งกลุ่มผู้ผลิตตามประเภทอุตสาหกรรม Resource-based Industries Labor Intensive Industries Technology Intensive Industries - ผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่ม - การปั่นด้าย เส้นใยสิ่งทอ - เคมีภัณฑ์ - ไม้ และผลิตภัณฑ์ - เครื่องแต่งกาย - เหล็ก โลหะมูลฐาน โลหะประดิษฐ์ - เยื่อกระดาษ กระดาษและผลิตภัณฑ์ - ฟอกหนัง และผลิตภัณฑ์หนัง - คอมพิวเตอร์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ - ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก - สิ่งพิมพ์ - โทรทัศน์ วิทยุ - แก้ว เซรามิค - เฟอร์นิเจอร์ - อุปกรณ์ทางการแพทย์ - ปูนซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์คอนกรีต - อัญมณี - ยานยนต์ และชิ้นส่วน ผลิตภาพของอุตสาหกรรมการผลิตในภาพรวม อุตสาหกรรมการผลิตในภาพรวมของไทย มีมูลค่าเพิ่มขยายตัวถึงร้อยละ 8.2 ในปี 2546 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.9 ในปี 2545 ปัจจัยที่เป็นองค์ประกอบสนับสนุนให้มูลค่าเพิ่มของไทยขยายตัวสูง ในปี 2546 ส่วนใหญ่เป็นผลการขยายตัวที่มาจากปัจจัยทุนในสัดส่วนถึงร้อยละ 5.1 และมาจาก TFPG เพียงร้อยละ 2.6 ซึ่งองค์ประกอบของโครงสร้างการเติบโตดังกล่าว แตกต่างจากปี 2545 ซึ่งมีการขยายตัวที่มาจาก TFPG สูงถึงร้อยละ 5.9 ขณะที่ปัจจัยทุนลดลงร้อยละ 2.0 สภาวะการณ์ที่มูลค่าเพิ่มโดยรวมของอุตสาหกรรมการผลิตเติบโตเพิ่มขึ้นมาก ในปี 2546 แม้ว่าในส่วนของ TFPG จะขยายตัวลดลง ยังถือเป็นสัญญานด้านบวก จากการขยายปัจจัยทุนและเครื่องจักรในโรงงานของผู้ผลิต พร้อมกับการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ตามทิศทางของภาวะเศรษฐกิจ และการบริโภคในภาคเอกชนที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2545 ผลการขยายการลงทุนในปัจจัยทุนและเครื่องจักรดังกล่าว อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการยังอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างในกระบวนการผลิต หรือรอจังหวะในการพัฒนาประสิทธิภาพ พลังขับเคลื่อนที่เป็นผลมาจากปัจจัยทุนที่มีความเด่นชัดกว่าปัจจัยด้านอื่นๆ ส่งผลให้ TFPG ในปี 2547 เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง ซึ่งผลจากปัจจัยทุนที่เพิ่มขึ้นมากนั้น มีส่วนทำให้ผลิตภาพหน่วยสุดท้ายของปัจจัยทุนลดลง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านอุปทานบางอย่าง ได้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางด้านบวกของอุตสาหกรรมการผลิตในภาพรวมของไทย ได้แก่ 1. ระดับของ TFP (TFP Level) ของอุตสาหกรรมการผลิตโดยรวมของไทย ยังอยู่ในระดับที่สูงถึง 134.4 ในปี 2547 และไต่ระดับเกินฐานที่ 100 มาตลอด 3 ปีของการสำรวจข้อมูล (ปี 2544 — 2546) ส่วนใหญ่เป็นผลจากประสิทธิภาพในการใช้ปัจจัยการผลิตโดยรวมของผู้ผลิตขนาดใหญ่ ผู้ผลิตกลุ่มร่วมทุน รวมทั้งกลุ่ม Technology intensive ที่มีระดับ TFP สูงถึง 150 ในปี 2547 2. ผู้ผลิตหลายกลุ่มยังมีการขยายการลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตในอุตสาหกรรมที่เน้น Technology intensive ผู้ผลิตร่วมทุน ต่างชาติ และผู้ผลิตรายใหญ่ ภาพรวมของอุตสาหกรรมการผลิตของไทย จึงมีการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 ในปี 2546 ส่วนผู้ผลิตขนาดกลางซึ่งไม่ได้ขยายการลงทุนเพิ่มมากนัก ก็ยังมีการใช้กำลังการผลิตในอัตราเพิ่มขึ้น 3. ผลิตภาพของปัจจัยการผลิต ทั้งปัจจัยทุน และแรงงาน ยังขยายตัวร้อยละ 1.9 และ 5.5 ตามลำดับ ในปี 2546 ซึ่งตามกฏแห่งการลดน้อยถอยลงของผลได้ หากเพิ่มปัจจัยการผลิตมากขึ้น ผลได้หน่วยสุดท้ายจะลดลง แต่จากการขยายปัจจัยทุนและเครื่องจักร โดยมีการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นด้วย ในปี 2546 ทำให้มูลค่าของปัจจัยทุนถูกใช้ไปในการผลิตมากขึ้น ผลิตภาพของทุนก็ยังสามารถขยายตัวได้ โดยเฉพาะผู้ผลิตกลุ่ม Technology intensive ที่ผลิตภาพของทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ทั้งที่มีการขยายการลงทุนในเครื่องจักรและสินทรัพย์ถาวร เพิ่มถึงร้อยละ 2.6 พร้อมกับใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ในปี 2546 สะท้อนว่า ภาคการผลิตโดยรวมยังไม่อยู่ในภาวะการเกิดส่วนเกินของปัจจัยทุน (Excess capital) ซึ่งเป็นภาวะที่อาจบั่นทอนผลิตภาพได้ในระยะยาว ผลิตภาพโดยรวมของผู้ผลิตกลุ่มต่างๆ กลุ่มผู้ผลิตที่มีศักยภาพสูง จากการวิเคราะห์ข้อมูลการเจริญเติบโตของผู้ผลิตกลุ่มย่อยต่างๆ ทำให้เห็นภาพว่า แผนการปรับตัวด้านการลงทุนของผู้ผลิต ในปี 2546 จะสัมพันธ์กับความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มในปี 2545 ค่อนข้างชัดเจน โดยผู้ผลิตที่มีอัตราการเติบโตในมูลค่าเพิ่มสูง ได้แก่ ผู้ผลิตกลุ่มขนาดกลาง ขนาดใหญ่ กลุ่มร่วมทุน และกลุ่ม Technology intensive ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มขยายตัวสูงถึงร้อยละ 12.5, 4.5, 15.1 และ 7.4 ตามลำดับ ในปี 2546 จะมีการขยายปัจจัยทุนเพิ่ม หรือหากไม่มีการเพิ่มการลงทุน ในกรณีที่ยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่ ก็มักจะเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตมากขึ้น จนทำให้ส่วนที่เป็น Capital contribution หรือผลการขยายตัวจากปัจจัยทุนในปี 2546 เพิ่มขึ้นตาม และทำให้พบว่า Capital contribution ในภาพรวม ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เป็นองค์ประกอบใหญ่ในการผลักดันมูลค่าเพิ่มให้เติบโตถึงร้อยละ 8.2 ในปี 2546 (ขณะเดียวกันก็พบว่า กลุ่มผู้ผลิตรายเล็ก และกลุ่ม Labor intensive ซึ่งมูลค่าเพิ่มหดตัวในปี 2545 ก็จะมี Capital contribution หดตัวตามมา ในปี 2546)โดยพบว่า ผู้ผลิตทุกกลุ่มที่มีแผนการขยายการลงทุน และเพิ่มการใช้กำลังการผลิต อันเป็นผลเนื่องมาจากมูลค่าเพิ่มที่ขยายตัวในปี 2545 ยังคงมีมูลค่าเพิ่มขยายตัวต่อเนื่อง ในปี 2546 หากแต่จะมีเพียงบางกลุ่มเท่านั้น ที่จะมี TFPG เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารปัจจัยทุนส่วนที่เพิ่มจากการลงทุนว่า จะมีประสิทธิภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มใหม่ได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งแตกต่างกันในแต่ละกลุ่มผู้ผลิต โดยมีเพียงกลุ่มผู้ผลิตขนาดใหญ่ และกลุ่ม Technology intensive ที่ยังมีผลิตภาพของทุนขยายตัวต่อได้ พิจารณาจากผลิตภาพของทุนที่ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 และ 1.7 ตามลำดับ ในปี 2546 ขณะที่ผลจากการขยายปัจจัยทุน ทำให้ผลิตภาพของแรงงานของทั้งสองกลุ่มดังกล่าว เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 5 ในปี 2546 โดยเฉพาะกลุ่ม Technology intensive ยังมีผลิตภาพแรงงานที่สูงกว่ากลุ่มประเภทอุตสาหกรรม Labor intensive ลักษณะเช่นนี้ จึงพบว่า TFPG ของผู้ผลิตขนาดใหญ่ และกลุ่ม Technology intensive ขยายตัวร้อยละ 2.9 และ 2.3 ตามลำดับ ในปี 2546 ทั้งที่ทั้งสองกลุ่มนี้ต่างมี TFP Level ที่สูงกว่ากลุ่มอื่นอยู่แล้ว ส่วนผู้ผลิตกลุ่มอื่นที่มีศักยภาพสูง ได้แก่ ผู้ผลิตกลุ่มร่วมทุน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เพิ่มปัจจัยทุนเข้าไปในการผลิตในอัตราสูงกว่ากลุ่มอื่น จาก Capital contribution ที่สูงถึงร้อยละ 11.6 แม้ผลิตภาพของทุนจะไม่ขยายตัว อันเป็นผลมาจากการเร่งเพิ่มปัจจัยทุนมาก แต่ผู้ผลิตกลุ่มนี้มีการปรับกระบวนการจัดการด้านการผลิตไม่ให้เกิด Excess capital โดยใช้ปัจจัยแรงงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ผลิตภาพของแรงงานของกลุ่มร่วมทุนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 13.0 ในปี 2546 TFPG ของกลุ่มนี้จึงขยายตัวร้อยละ 2.0 โดยมี TFP Level สูงถึง 148.4 ในปี 2546 ขณะที่กลุ่มที่ใช้ Resource-based ซึ่งไม่ได้เน้นการขยายปัจจัยทุนเลย ตามลักษณะของประเภทอุตสาหกรรม จากการเน้นกระบวนการผลิตที่ลดต้นทุน โดยอาศัยความได้เปรียบด้านวัตถุดิบในประเทศ และการประหยัดต้นทุนด้านปัจจัยการผลิต มูลค่าเพิ่มในกลุ่มนี้ จึงยังขยายตัวได้ร้อยละ 6.4 ในปี 2546 พร้อมกับผลิตภาพของปัจจัยการผลิตทั้งทุน และแรงงาน ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 และ 2.6 ตามลำดับ ในปี 2546 ส่งผลให้ TFPG ของกลุ่มที่ใช้ Resource-based นี้ ขยายตัวร้อยละ 5.2 โดย TFP Level สูงในระดับ 137.3 ในปี 2546 ความได้เปรียบของกลุ่มผู้ผลิตที่มีศักยภาพสูงเหล่านี้ ยังเป็นผลจากความได้เปรียบด้านขนาดการผลิต จากการมีส่วนแบ่งตลาดสูง ทำให้มีศักยภาพในการลดต้นทุน และเน้นการปรับสินค้าให้มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นได้ จากการเปรียบเทียบผู้ผลิตกลุ่มต่างๆ จึงสรุปในขั้นต้นได้ว่า กลุ่มที่มีศักยภาพสูง โดยพิจารณาจากทั้ง TFP Level และ TFPG ในกรณีพิจารณาจากขนาด ได้แก่ ผู้ผลิตขนาดใหญ่ ในกรณีพิจารณาจากโครงสร้างการลงทุน ได้แก่ ผู้ผลิตกลุ่มร่วมทุน และในกรณีพิจารณาจากประเภทของอุตสาหกรรม ได้แก่ ผู้ผลิตกลุ่ม Technology intensive และ Resource-based กลุ่มผู้ผลิตที่มีศักยภาพต่ำ ผู้ผลิตรายเล็ก และกลุ่ม Labor intensive ซึ่งมีมูลค่าเพิ่มหดตัวร้อยละ 4.1 และ 0.7 ตามลำดับ ในปี 2545 ส่วนใหญ่มักขาดแรงจูงใจในการปรับปรุงสภาพการใช้งานของเครื่องจักร และมักปล่อยให้ความเสื่อมสภาพของเครื่องจักรกัดกร่อนให้ประสิทธิภาพของการผลิตลดลง ความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มของกลุ่มนี้จึงยังคงถดถอยต่อเนื่อง ในปี 2546 แม้มูลค่าของปัจจัยทุนที่ใช้ไปในการผลิตจะมีทิศทางที่ลดลง แต่ผลได้หน่วยสุดท้ายจากการใช้ทุนของผู้ผลิตสองกลุ่มนี้ก็ยังคงหดตัว จากผลิตภาพของทุนของผู้ผลิตรายเล็ก และ Labor intensive ที่หดตัวร้อยละ 0.6 และ 4.2 ตามลำดับ ในปี 2546 นอกจากนี้ ปัจจัยทุนที่เสื่อมถอยไป ยังส่งผลบั่นทอนประสิทธิภาพของแรงงานให้ลดลงตามด้วย จากผลิตภาพของแรงงานของผู้ผลิตรายเล็ก และ Labor intensive ที่หดตัวร้อยละ 0.8 และ 2.7 ตามลำดับ ในปี 2546 โดยเฉพาะการหดตัวของผลิตภาพแรงงานในกลุ่ม Labor intensive เป็นการหดตัวติดต่อกันจากปี 2545 ทั้งที่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมประเภทที่เน้นการใช้แรงงานเข้มข้น ส่วนผู้ผลิตรายเล็ก ยังมีความเสียเปรียบทั้งด้านตลาดและขนาดการผลิต จึงเป็นข้อจำกัดในการปรับประสิทธิภาพการผลิต ผู้ผลิตรายเล็ก และ Labor intensive จึงมีแนวโน้มว่าจะเป็นกลุ่มที่เสียเปรียบในการแข่งขันต่อไป พิจารณาจาก TFP ที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 81.1 และ 76.3 ตามลำดับ และ TFPG ยังหดตัวร้อยละ 0.6 และ 3.6 ตามลำดับ ในปี 2546 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับผลิตภาพโดยรวม การพิจารณาถึงปัจจัยที่กำหนด TFP ค่อนข้างลำบาก เนื่องจากโดยหลักการของ TFP ที่เป็นส่วนเหลือ(Residual) ซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ในองค์ประกอบของมูลค่าเพิ่มที่ขยายตัว ส่วนใหญ่มักเป็นปัจจัยที่วัดได้ยาก (Intangible inputs) และเป็นเชิงคุณภาพ (Qualitative variables) ตามที่ได้ยกตัวอย่างตอนต้น ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจไม่สามารถครอบคลุมได้ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ ปี 2546 พบว่า ในภาพรวมของอุตสาหกรรมการผลิตของไทย เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มผู้ผลิตที่มีปัจจัยบางอย่างแตกต่างกัน ก็จะมีค่า TFP Level และ TFPG ต่างกันด้วย ในทิศทางที่สัมพันธ์กัน ปัจจัยสำคัญเหล่านั้น ได้แก่ - การลงทุนในด้านวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดพัฒนาการของเทคโนโลยีในการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ และลดต้นทุนของกระบวนการผลิต - การใช้เครื่องจักรใหม่ ซึ่งจะมีการแฝงตัวเข้ามาของเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อช่วยปรับประสิทธิภาพการผลิต ขณะเดียวกัน ผลประโยชน์ทางอ้อมยังเกิดขึ้นในรูปของทักษะฝีมือแรงงานที่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อให้เข้ากับเครื่องจักรใหม่ (ยังมีต่อ)