1. จีนเป็นตลาดนำเข้าสำคัญอันดับ 3 ของโลก  ในปี 2547 มูลค่าการนำเข้าประมาณร้อยละ 6.40 ของการนำเข้าในตลาดโลก           2. การนำเข้าของจีนในเดือน ม.ค.-ก.ย 2548 มีมูลค่ารวม 478,062.507 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.14          3. แหล่งนำเข้าสำคัญของจีน ในเดือนมกราคม — กันยายน 2548          - ญี่ปุ่น มูลค่า 72,769.910 ล้านเหรียญสหรัฐ  สัดส่วนร้อยละ  15.22 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.53             - เกาหลีใต้ มูลค่า 55,776.446 ล้านเหรียญสหรัฐ  สัดส่วนร้อยละ 11.67 เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.38          - ไต้หวัน  มูลค่า 52,967.410 ล้านเหรียญสหรัฐ  สัดส่วนร้อยละ  11.08 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.76          - สหรัฐฯ มูลค่า 36,193.352 ล้านเหรียญสหรัฐ  สัดส่วนร้อยละ   7.57 เพิ่มขึ้นร้อยละ  7.38          ไทยอยู่อันดับที่ 11 มูลค่า 10,052.785 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนร้อยละ 2.10 เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.08          4. เศรษฐกิจของจีนปี 2548 ทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 9.2          5. จีนได้เปรียบดุลการค้ากับทั่วโลกในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ปี 2548 มูลค่า 68,542.114 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1,335.89 ได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับ 1 มูลค่า 81,176.900 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่ขาดดุลการค้ากับไต้หวันเป็นอันดับ 1 มูลค่า 41,022.188 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.94 สำหรับกับประเทศไทยจีนขาดดุลเป็นมูลค่า 4,256.715 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 5.35           6. จีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 3 ของไทย โดยมีสัดส่วนร้อยละ 8.05 ของมูลค่าการส่งออกช่วง ม.ค.-ก.ย. ปี 2548 หรือมูลค่า 6,598.62 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.90 ในช่วงระยะเดียวกันกับปี 2547          7. สินค้าไทยส่งออกไปจีน 25 อันดับแรก ม.ค.-ก.ย. ปี 2548 มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 87.44         ของมูลค่าการส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.63 ในจำนวนนี้มีสินค้าส่งออกที่มีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นสูง ดังนี้          - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 มี 1 รายการ คือ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์           - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 7 รายการ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบน้ำมันดิบ แผงวงจรไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง ทองแดงและของทำด้วยทองแดง มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า          - ลดลงมากกว่าร้อยละ 50 มี 1 รายการ ได้แก่ น้ำมันดิบสถิติการส่งออกสินค้าไทยไปจีนที่มีมูลค่าการเปลี่ยนแปลงสูง (เพิ่มสูงขึ้น)                     ตลาด                 อันดับ      มูลค่า : ล้านเหรียญสหรัฐ     มูลค่าการ      %       สัดส่วน   ร้อยละ2548                                            ที่      ม.ค.-ก.ย47  ม.ค.-ก.ย48  เปลี่ยนแปลง  เปลี่ยนแปลง   2547    ม.ค.-ก.ย   1. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 มี 1 รายการ                                                                                                                            - เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์                   8      90.80        207.71     116.91     128.76     1.78      3.15     2. สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 7 รายการ                                                                                                                                                - เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ         1     986.24       1800.88     814.64      82.60    21.30     27.29        - น้ำมันดิบ                                   4     255.93        407.16     151.23      59.09     3.86      6.17       - แผงวงจรไฟฟ้า                              7     155.83        265.17     109.34      70.17     3.18      4.02       - หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ                 13      54.79        103.06      48.27      88.09     1.27      1.56       - ผลิตภัณฑ์ยาง                               14      60.43         94.65      34.22      56.64     1.20      1.43       - ทองแดงและของทำด้วยทองแดง                 16      40.28         75.78      35.50      88.15     0.80      1.15       - มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า                 17      45.89         75.15      29.26      63.75     0.90      1.14     รวบรวมโดย : ศูนย์สารสนเทศการค้าระหว่างประเทศ          1) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (HS.72)          การนำเข้าของจีน (ม.ค-ก.ย 48) มูลค่า 20,686.740 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.16 มีการนำเข้าจาก ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน  เป็นหลัก           การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 15 สัดส่วนร้อยละ 1.17  มูลค่า 242.462 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 65.59            2) เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ (HS.8471)          การนำเข้าของจีน (ม.ค-ก.ย 48) มูลค่า 12,630.900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.44 มีการนำเข้าจาก จีน ไทย ฟิลิปปินส์  เป็นหลัก           การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 2 สัดส่วนร้อยละ 15.29  มูลค่า 1,931.056 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 70.02            3) น้ำมันดิบ (HS.2709)          การนำเข้าของจีน (ม.ค-ก.ย 48) มูลค่า 34,296.382 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.28 มีการนำเข้าจาก ซาอุดิอาระเบีย แองโลลา อิหร่าน  เป็นหลัก           การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 16 สัดส่วนร้อยละ 1.09  มูลค่า 374.045 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.27            4) แผงวงจรไฟฟ้า (HS.8542)          การนำเข้าของจีน (ม.ค-ก.ย 48) มูลค่า 56,993.215 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.04 มีการนำเข้าจาก ไต้หวัน เกาหลีใต้ มาเลเซีย เป็นหลัก           การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 9 สัดส่วนร้อยละ 2.22  มูลค่า 1,266.189 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.74          5) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ (HS.8504)          การนำเข้าของจีน (ม.ค-ก.ย 48) มูลค่า 3,648.643 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.95 มีการนำเข้าจาก ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้  เป็นหลัก           การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 8 สัดส่วนร้อยละ 3.32  มูลค่า 117.725 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.47            6) ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง (HS.40)          การนำเข้าของจีน (ม.ค-ก.ย 48) มูลค่า 3,940.426 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.82 มีการนำเข้าจาก ไทย ญี่ปุ่น มาเลเซีย  เป็นหลัก           การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 1 สัดส่วนร้อยละ 16.57  มูลค่า 652.994 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 9.81            7) ทองแดงและของที่ทำด้วยทองแดง (HS.74)          การนำเข้าของจีน (ม.ค-ก.ย 48) มูลค่า 9,756.306 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.86 มีการนำเข้าจาก ชิลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน เป็นหลัก           การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 31 สัดส่วนร้อยละ 0.24  มูลค่า 23.184 ล้านเหรียญสหรัฐฯ          8) มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า (HS.8501)          การนำเข้าของจีน (ม.ค-ก.ย 48) มูลค่า 1,652.022 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.92 มีการนำเข้าจาก จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี  เป็นหลัก           การนำเข้าจากไทยอยู่อันดับที่ 4 สัดส่วนร้อยละ 7.15  มูลค่า 118.138 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.14          8. ผลไม้ไทยในประเทศจีน ไทยได้มีข้อตกลงเขตการค้าเสรีสินค้าผักผลไม้กับจีน ซึ่งมีผลตั้งแต่1 ตุลาคม 2546 จากข้อมูลสถิติการนำเข้าผลไม้ในจีนระหว่างเดือน มกราคม-กันยายน 2548 มีการนำเข้าจากตลาดโลกมูลค่า 488.018 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 588 มีการนำเข้าจากไทยเป็นอันดับหนึ่ง สัดส่วนร้อยละ 32.23 มูลค่า 157.268 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.86 รองลงไปเป็นการนำเข้าจากสหรัฐฯ ชิลี ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และนิวซีแลนด์ผลไม้ที่จีนนำเข้าจากไทยได้แก่ ลำใยสด ทุเรียน มังคุด ลำใยแห้ง ลิ้นจี่ กล้วย เงาะ และอื่นๆการแข่งขัน  การส่งออกผลไม้ไทยไปจีนขณะนี้ยังมีคู่แข่งที่ค่อนข้างน้อย แต่ยังไม่ควรวางใจเนื่องจากขณะนี้เวียดนามกำลังขยายการส่งออกลำใยสดไปจีนเพิ่มขึ้นในอัตราสูงกว่าร้อยละ 40 แม้จะมีสัดส่วนที่น้อยกว่าไทยมาก ส่วนเงาะไทยต้องแข่งขันกับเวียดนาม สำหรับทุเรียน มังคุด และลิ้นจี่ไทยสามารถครองตลาดนำเข้าของจีนเป็นอันดับหนึ่ง          9. ไทยนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน ในช่วงม.ค-ก.ย 2548 มูลค่า 8,310.23 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 43.33 โดยเป็นสินค้าทุนร้อยละ 43.67 รองลงมาเป็นสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปร้อยละ 42.42 สินค้าบริโภคร้อยละ 12.32 สินค้าเชื้อเพลิง สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งและสินค้าอื่นๆ รวมกันอีกร้อยละ 1.58           10.การค้าระหว่างประเทศไทยกับจีนช่วง ม.ค.-ก.ย 2548 มีมูลค่า 14,908.85 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการส่งออก 6,598.62 ล้านเหรียญสหรัฐ การนำเข้า 8,310.23 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเสียเปรียบดุลการค้ากับจีนเป็นมูลค่า 1,711.61 ล้านเหรียญสหรัฐข้อคิดเห็น:          1. จีนได้กำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 11 ระยะ 5 ปี โดยมีแผนปรับปรุงมาตรฐานในการใช้ชีวิตของประชาชน ทั้งด้านที่อยู่อาศัย การสื่อสาร การศึกษา วัฒนธรรม สาธารณสุข สภาพแวดล้อมทั่วไปให้ดีขึ้นตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจของประชาชนให้มีรายได้ต่อหัวเป็น 2 เท่า จากระดับรายได้ 854 เหรียญสหรัฐเมื่อปี 2543 ให้เป็น 1,700 เหรียญสหรัฐภายในปี 2553 รวมทั้งการประหยัดพลังงานควบคู่ไปด้วย ส่วนด้านการผลิต มุ่งเน้นการสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมที่สามารถแข่งขันได้ในระหว่างประเทศ ด้านการค้ามีเป้าหมายขยายตลาดการค้าเพื่อรักษาการเติบโตอย่างยั่งยืน          การที่จีนมีเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมุ่งเน้นการยกระดับรายได้และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ย่อมจะส่งผลให้มีการบริโภคเพิ่มขึ้น ส่วนด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมโดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่สามารถแข่งขันได้ย่อมจะมีผลให้จีนก้าวหน้าและเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเฉพาะด้านมากขึ้น          2. เศรษฐกิจจีนในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ขยายตัวร้อยละ 9.4 โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ 10.627 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) แม้รัฐบาลจีนจะพยายามชะลอการเติบโตด้วยมาตรการต่างๆ เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ย การปรับอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวน ตลอดจนเพิ่มความเข้มงวดด้านสินเชื่อ รวมทั้งพยายามจำกัดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ เหล็ก อะลูมิเนียมและซีเมนต์เป็นต้น          แม้เศรษฐกิจของจีนจะเจริญเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ในขณะเดียวกันจีนก็ประสบปัญหาไม่สมดุลภายในประเทศ  เกี่ยวกับเศรษฐกิจในเมืองและชนบท โดยในปี 2004 รายได้ระหว่างชาวเมืองและชาวชนบทขยายห่างขึ้นเป็น 3.2 : 1 เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 1978 ที่สัดส่วน 2.6 : 1 นอกจากนี้ยังมีปัญหาชาวชนบทเข้ามาหางานทำในเมืองมากขึ้น          อย่างไรก็ตามองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) ได้ดำเนินการสำรวจเศรษฐกิจของจีนภายใต้ความร่วมมือของรัฐบาลจีน และได้รายงานผลว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างจริงจังของจีนจะส่งผลให้จีนกลายเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก และมีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโลกในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยภาคเอกชนเป็นตัวสร้าง GDP นอกภาคเกษตรระหว่าง 57-65%          3. ด้านการค้า กระทรวงพาณิชย์จีน ได้คาดการณ์มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของจีนปี 2548 จะมีมูลค่าถึง 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และจะได้เปรียบดุลการค้าประมาณ 90,000-100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ พร้อมคาดว่าการส่งออกของจีนจะขยายตัวประมาณร้อยละ 30 (มูลค่า 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ส่วนการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 18 (มูลค่า 660,000 ล้านเหรียญสหรัฐ)          การที่มูลค่าการค้าและมูลค่าการได้เปรียบดุลการค้าของจีนเพิ่มขึ้นในอัตราสูง จะเป็นแรง-กดดันจากประเทศคู่ค้า ให้จีนปรับค่าเงินหยวนเพิ่มขึ้นและจะมีข้อพิพาททางการค้ามากขึ้นกับประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะสหรัฐฯ          4. เกี่ยวกับเงินหยวน จากข้อมูลของคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านนโยบายการเงิน ธนาคารจีน ได้ให้ความเห็นว่า รัฐบาลควรปล่อยให้ค่าเงินหยวนมีช่วงแกว่งตัวมากกว่านี้ รวมทั้งปล่อยให้มีความยืดหยุ่นและความผันผวนเพิ่มขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ผู้ส่งออกจะต้องเรียนรู้วิธีการรับมือกับความผันผวนของค่าเงิน          จีนยังคงตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากกลุ่มนักการเมืองสหรัฐ ที่กล่าวหารัฐบาลกรุงปักกิ่งว่ากดค่าเงินต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นเครื่องมือหนุนให้มีมูลค่าการได้เปรียบดุลการค้ามหาศาล          5. การลงทุนในต่างประเทศของจีน จากรายงานข่าวของไชน่านิวส์ เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2548 เกี่ยวกับข้อมูลการสำรวจของคณะกรรมการส่งเสริมการค้าของจีน และกองทุนเอเซียแปซิฟิกแห่งแคนาดา (เอพีเอฟ) พบว่า 23% ของกลุ่มบริษัทจีนมีแผนเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ          อุตสาหกรรมที่บริษัทจีนมุ่งไปลงทุนในต่างประเทศมากที่สุด ได้แก่ การพาณิชย์ อุตสาหกรรมการผลิตและอุตสาหกรรมการขุด ขนส่งและแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติ นอกจากนี้ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมยานยนต์ - ชิ้นส่วนรถยนต์ อาหารเครื่องดื่มและเครื่องใช้ไฟฟ้าจะเป็นภาคธุรกิจที่นักลงทุนจีนสนใจที่จะขยายการลงทุนในต่างประเทศมากที่สุด อย่างไรก็ตามในรายงานสำรวจพบว่ามีหลากหลายอุตสาหกรรมที่นักลงทุนจีนสนใจไปลงทุนในต่างประเทศ          ผลการสำรวจครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นว่า ภูมิภาคเอเซียกำลังเป็นเป้าหมายการลงทุนหลักของบริษัทจากจีน รองลงมาได้แก่ ทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ          มุลค่าการลงทุนในต่างประเทศของจีนปี 2547 มีมูลค่าประมาณ 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นที่คาดหมายว่าในอนาคตจีนจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำด้านการลงทุนในต่างประเทศ และเป็นที่ต้อนรับของหลายประเทศ ในขณะเดียวกันจะเป็นที่หวั่นเกรงของบางประเทศเช่นกัน          สำหรับการลงทุนของจีนในประเทศไทย จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรรมการส่งเสริม-การลงทุน ในช่วงมกราคม - กรกฎาคม 2548 มีมูลค่าการลงทุนถึง 8,867 ล้านบาทเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าของการลงทุนในช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2547 ซึ่งมีมูลค่า 2,112 ล้านบาท การลงทุนของจีนในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รองลงมาเป็นอุตสาห-กรรมเคมีภัณฑ์ กระดาษและพลาสติก          ส่วนการลงทุนของไทยในจีนส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีนที่เข้าไปลงทุนในกิจการหลายประเภทเช่น กลุ่มเจียไต๋ สหยูเนี่ยน เป็นต้น          เลขาธิการบีโอไอ ให้ความเห็นว่า โอกาสการลงทุนระหว่างไทย - จีน ยังมีโอกาสสูง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เนื่องจากทั้งสองประเทศมีศักยภาพพร้อมรองรับการลงทุนในโครงสร้างขนาดใหญ่จากจีน เช่น อุตสาหกรรมเหล็กอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนจีนหลายรายสนใจเข้ามาลงทุนในระบบโลจิสติกส์ กิจกรรมโรงแรมและกิจการห้องเย็น เป็นต้น          6. หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ รายงานว่าสหรัฐฯ และจีนได้บรรลุข้อตกลงเรื่องการนำเข้าสินค้าเสื้อผ้าและสิ่งทอจากจีนเบื้องต้นแล้ว คาดว่าจะลงนามข้อตกลงดังกล่าวในสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนธันวาคม 2548 ซึ่งจะสามารถลดปัญหาขัดแย้งด้านการค้าสิ่งทอของทั้งสองประเทศ โดยข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่1 มกราคม 2549 - ปี 2551 ตามข้อเสนอของฝ่ายจีน ในขณะที่ตัวแทนของรัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการรักษาระดับการนำเข้าสิ่งทอให้อยู่ประมาณ 7.5% ต่อปี และในปี 2549 เสนอเพิ่มการนำเข้าสินค้าสิ่งทอสำคัญจากจีน 8-10%จากนั้นเพิ่มเป็น 13% ในปี 2550 และขยายเพิ่มเป็น 17% ในปี 2551 จึงคาดว่าสหรัฐฯ จะนำเข้าสิ่งทอจากแหล่งผลิตอื่นรวมทั้งไทยเพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าว          ที่มา: http://www.depthai.go.th