ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. บัตรเครดิตของสถาบันการเงินไทยทั้งระบบในเดือน พ.ค.48 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ
1.28 รายงานธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึง การให้บริการบัตรเครดิต ณ สิ้นเดือน พ.ค.48
ว่า มียอดการให้บริการบัตรเครดิตทั้งสิ้น 9,099,247 บัตร เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 114,889 บัตร หรือร้อย
ละ 1.28 โดยมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตรวมทั้งสิ้น 52,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,655 ล้านบาท หรือร้อย
ละ 11.98 ซึ่งเป็นการเบิกเงินสดจำนวน 13,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.57 และมีปริมาณการใช้จ่ายใน
ประเทศ 37,386 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ทั้งนี้ ธุรกิจบัตรเครดิตในเดือน พ.ค.เมื่อเทียบกับเดือน เม.
ย.48 ขยายตัวในอัตราเร่งกว่าเดือน เม.ย.เมื่อเทียบกับเดือน มี.ค.48 ทั้งจำนวนบัตรและปริมาณการใช้จ่าย โดยเดือน เม.ย.48 จำนวนบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.99 ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ
3.24 เท่านั้น ขณะที่การเบิกเงินสดล่วงหน้าลดลงร้อยละ 0.78 และการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.59
อย่างไรก็ตาม ในเดือน พ.ค.มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวน 124,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2,793 ล้าน
บาท หรือร้อยละ 2.29 ขณะที่เดือน เม.ย.48 มียอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 3.04 (มติ
ชน, แนวหน้า, บ้านเมือง, เดลินิวส์, ไทยรัฐ, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท.กำชับสถาบันการเงินควบคุมธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารแห่ง
ประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือเวียนเรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจในการประกอบธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงิน
ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ไปถึง ธพ.ทุกแห่ง รวมถึง ธ.เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธ.อิสลามแห่ง
ประเทศไทย ธ.ออมสิน ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บง.สินเอเชีย เพื่อกำชับควบ
คุมการแลกเปลี่ยน การกำกับดูแลตลาดเงินตราต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
โดยการประกอบธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้านรับซื้อเงินตราต่างประเทศต้องเรียกเอกสาร
หลักฐานที่จำเป็น เพื่อพิจารณาว่าลูกค้ามีแหล่งเงินได้ เงินตราต่างประเทศในอนาคตที่ชัดเจนก่อนการทำธุรกรรม
และเมื่อถึงกำหนดส่งมอบตามสัญญา ต้องดูแลให้ลูกค้าแจ้งรายละเอียดในแบบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศให้
ถูกต้องครบถ้วน ในส่วนด้านการขายเงินตราต่างประเทศ ให้เรียกเอกสารหลักฐานที่จำเป็นเพื่อพิจารณาว่าลูกค้ามี
ภาระผูกพันในอนาคตที่ระบุในกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน และเมื่อถึงกำหนดส่งมอบตามสัญญา
ต้องเรียกเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
3. สนพ.คาดจะเรียกเก็บเงินค่าอุดหนุนน้ำมันดีเซล 1 บาท/ลิตรคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณปีนี้
หรือปีหน้า ผอ.สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวถึง แนวทางการเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อ
เพลิงว่า หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลแล้วเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาระการชด
เชยน้ำมันของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิอยู่ที่ 92,070 ล้านบาท แบ่งเป็นการตรึงเบนซิน 7,000 ล้านบาท ที่
เหลือ 85,000 ล้านบาท เป็นการตรึงดีเซล ซึ่งการเก็บคืนหนี้กองทุนนั้นจะแยกบัญชีระหว่างเบนซินและดีเซล โดย
ในส่วนของเบนซินนั้นรัฐบาลประกาศเก็บเงินไปแล้ว 1 บาท/ลิตรในช่วงกลางปีนี้ คาดว่าจะหมดภายใน 1 ปี ใน
ส่วนดีเซลการเก็บคืนกองทุนน้ำมัน 1 บาท/ลิตรคาดว่าจะเรียกเก็บคืนในช่วงเวลาที่เหมาะสมเมื่อราคาตลาดโลก
ปรับลดลง ซึ่งอาจเป็นปีนี้หรือปีหน้า โดยจะใช้เวลาเก็บคืนอย่างน้อย 4 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี ตามอายุของพันธบัตร
กองทุนน้ำมันที่จะออกมาใช้หนี้ (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน)
4. ม.หอการค้าไทยแนะรัฐบาลเร่งควบคุมการนำเข้าสินค้า 9 รายการ ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้า
ระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษาโครงสร้างการนำเข้าของไทยเพื่อลดการขาดดุลการค้า
ว่า ในระยะสั้นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศได้นั้น
รัฐบาลจะต้องเร่งควบคุมการนำเข้าสินค้า 9 รายการ ได้แก่ 1) น้ำมันดิบ 2) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
3) อุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 4) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 5) เครื่องจักรไฟฟ้า
และส่วนประกอบ 6) เคมีภัณฑ์ 7) เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 8) เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงิน
แท่งและทองคำ และ 9) สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ซึ่งน้ำมันดิบและเหล็กเป็นสินค้าที่สามารถลดการ
นำเข้าได้มากที่สุด โดยในเดือน ส.ค.นี้ รัฐบาลควรจะประกาศมาตรการควบคุมการนำเข้าที่ชัดเจน ทั้งนี้ จากการ
ศึกษาพบว่าหากรัฐบาลสามารถลดการนำเข้าเกินความจำเป็นได้ร้อยละ 44.34 คิดเป็นมูลค่ารวม 4,068.51 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. หรือ 164,656 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 41 บาท/ดอลลาร์ สรอ.) (แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สรอ.ขาดดุลการค้าลดลงในเดือน พ.ค.48 รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 13 ก.ค.48 ก.พาณิชย์
เปิดเผยว่า ยอดขาดดุลการค้าของ สรอ.ในเดือน พ.ค.48 อยู่ที่ระดับ 55.3 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อย
ละ 2.7 จากเดือนก่อนหน้า เหนือความคาดหมายของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ
57 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ช่วยผ่อนคลายความกดดันของค่าเงินดอลลาร์ สรอ.เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ทั้งนี้ การ
ที่ สรอ.ขาดดุลการค้าลดลงดังกล่าว เป็นผลจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นและการนำเข้าที่ลดลง โดยการส่งออกมีมูลค่า
106.9 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า และมีมูลค่าสูงกว่า 100 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 162.2 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1 จากเดือน
ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม หากเทียบต่อปีดุลการค้ายังคงขาดดุลสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน (รอยเตอร์)
2. ยอดค้าปลีกของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อเดือนและร้อยละ 7.3 ต่อปี
รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 13 ก.ค.48 MasterCard Advisors ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทบัตรเครดิต
MasterCard International รายงานยอดค้าปลีกในเดือน มิ.ย.48 ของ สรอ.ก่อนหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาล
แล้วโดยไม่รวมยอดขายรถยนต์มีจำนวน 268.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากเดือนก่อนและเพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 7.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยก่อนปรับตัวเลขตามฤดูกาล ยอดค้าปลีกไม่รวมยอดขายรถยนต์ลดลงร้อยละ
0.5 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนแต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับปีก่อนและหากไม่รวมยอดขายน้ำมันตามปั๊มซึ่งเพิ่มขึ้น
ตามราคาที่สูงขึ้นด้วยแล้วยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น
ของวัสดุก่อสร้างและสินค้าตามฤดูกาลอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศและเสื้อผ้าสำหรับใส่ในฤดูร้อน โดย ก.พาณิชย์
ของ สรอ.มีกำหนดจะรายงานยอดค้าปลีกในเดือน มิ.ย.48 อย่างเป็นทางการในวันที่ 14 ก.ค.48 เวลา 8.30
น.ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่ายอดค้าปลีกที่รายงานจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 จากเดือนก่อนและเพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 0.6 โดยไม่รวมยอดขายรถยนต์ (รอยเตอร์)
3. การลงทุนโดยจากต่างประเทศของจีนเดือน มิ.ย.48 ลดลงร้อยละ 22 จากปีก่อน รายงาน
จากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 13 ก.ค.48 ข้อมูลจากทางการจีนแสดงให้เห็นว่า การลงทุนโดยตรงจาก
ต่างประเทศ (FDI) ของจีนในเดือน มิ.ย.48 มีมูลค่ารวม 6.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นการลดลงต่ำกว่า
ปีก่อนเป็นครั้งที่ 5 แต่ก็เป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.47 ที่มีมูลค่ารวม 8 พันล้าน
ดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นการลงทุนตรงเข้าสู่การทำธุรกิจหรือทรัพย์สินอื่น ๆ ไม่ใช่การลงทุนโดยอ้อมผ่านตลาดหุ้น
หรือการให้กู้ยืม ในขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่าตัวเลขรายเดือนดังกล่าวไม่ค่อยมีเสถียรภาพมากนัก แสดงให้เห็นว่า
การลงทุนจากต่างประเทศชะลอตัวและแกว่งตัวขึ้น ๆ ลง ๆ หลังจากจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
(WTO) เมื่อปลายปี 44 โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ การลงทุนจากต่างประเทศของจีนมีมูลค่ารวม 28.6 พัน
ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงประมาณร้อยละ 3.2 จากปีก่อน ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่าแม้ FDI ของ
จีนจะชะลอตัวลงแต่ก็ยังอยู่ในระดับ 4 — 5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อเดือน รวมทั้งการลงนามในสัญญาการลงทุน
(แต่ยังไม่เริ่มดำเนินการ) แสดงให้เห็นว่านักลงทุนจากต่างประเทศยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในจีนที่เศรษฐกิจ
ยังเติบโตได้ดี โดยการลงทุนที่มีการลงนามในสัญญาแล้วในเดือน มิ.ย.48 มีมูลค่ารวม 14.8 พันล้านดอลลาร์
สรอ. และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่ารวม 86.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 ซึ่งปัจจัยที่ดึง
ดูดการลงทุนเข้าสู่จีนมาจากค่าจ้างแรงงานราคาถูกและเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนจากต่าง
ประเทศเข้าไปลงทุนในจีนในปี 47 มีมูลค่ารวม 61 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากปี 46 ประมาณร้อยละ
14 (รอยเตอร์)
4. อัตราการว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายที่ร้อยละ 3.8
รายงานจากโซลเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 48 รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ในเดือนมิ.ย. อัตราการว่างงานของเกาหลี
ใต้เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 3.8 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) จากร้อยละ 3.5 เมื่อเดือนที่แล้ว สูงสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้ง
แต่เดือนม.ค. ที่อัตราการว่างงานเคยอยู่ที่ระดับนี้ และมากกว่าผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 10 คนของ
รอยเตอร์ที่คาดว่าอัตราการว่างงานดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนพ.ค. เนื่องจากการใช้
จ่ายผู้บริโภคชะลอตัว ทั้งนี้รมว.คลังเกาหลีใต้กล่าวว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้อาจจะไม่ถึงเป้า
หมายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 5 จึงเป็นไปไม่ได้ที่เป้าหมายการสร้างงานอย่างน้อย 400,000 ตำแหน่งที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้า
นั้นจะบรรลุผล อย่างไรก็ตามปัจจุบันเกาหลีใต้ได้เปลี่ยนเป้าหมายการสร้างงานเป็น 300,000 ตำแหน่ง ผ่านการ
ใช้จ่ายของภาครัฐซี่งส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างเพื่อให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้ร้อยละ 4.0 จากที่ขยายตัว
ร้อยละ 4.6 เมื่อปีที่แล้ว (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 ก.ค. 48 13 ก.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.855 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.6728/41.9563 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.6500-2.6875 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 658.37/ 13.04 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53 54.01 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ค. 48 25.74*/22.99** 25.74*/22.99** 16.99/14.59 ปตท.
**ปรับเพิ่ม 90 สตางค์เมื่อ13 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. บัตรเครดิตของสถาบันการเงินไทยทั้งระบบในเดือน พ.ค.48 ขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ
1.28 รายงานธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึง การให้บริการบัตรเครดิต ณ สิ้นเดือน พ.ค.48
ว่า มียอดการให้บริการบัตรเครดิตทั้งสิ้น 9,099,247 บัตร เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 114,889 บัตร หรือร้อย
ละ 1.28 โดยมีปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตรวมทั้งสิ้น 52,829 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,655 ล้านบาท หรือร้อย
ละ 11.98 ซึ่งเป็นการเบิกเงินสดจำนวน 13,102 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.57 และมีปริมาณการใช้จ่ายใน
ประเทศ 37,386 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 ทั้งนี้ ธุรกิจบัตรเครดิตในเดือน พ.ค.เมื่อเทียบกับเดือน เม.
ย.48 ขยายตัวในอัตราเร่งกว่าเดือน เม.ย.เมื่อเทียบกับเดือน มี.ค.48 ทั้งจำนวนบัตรและปริมาณการใช้จ่าย โดยเดือน เม.ย.48 จำนวนบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.99 ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ
3.24 เท่านั้น ขณะที่การเบิกเงินสดล่วงหน้าลดลงร้อยละ 0.78 และการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.59
อย่างไรก็ตาม ในเดือน พ.ค.มียอดสินเชื่อคงค้างจำนวน 124,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 2,793 ล้าน
บาท หรือร้อยละ 2.29 ขณะที่เดือน เม.ย.48 มียอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าร้อยละ 3.04 (มติ
ชน, แนวหน้า, บ้านเมือง, เดลินิวส์, ไทยรัฐ, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
2. ธปท.กำชับสถาบันการเงินควบคุมธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารแห่ง
ประเทศไทย (ธปท.) ได้ทำหนังสือเวียนเรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจในการประกอบธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงิน
ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ไปถึง ธพ.ทุกแห่ง รวมถึง ธ.เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธ.อิสลามแห่ง
ประเทศไทย ธ.ออมสิน ธ.พัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บง.สินเอเชีย เพื่อกำชับควบ
คุมการแลกเปลี่ยน การกำกับดูแลตลาดเงินตราต่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยนให้สอดคล้องกับพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
โดยการประกอบธุรกรรมอนุพันธ์ทางการเงินด้านอัตราแลกเปลี่ยนด้านรับซื้อเงินตราต่างประเทศต้องเรียกเอกสาร
หลักฐานที่จำเป็น เพื่อพิจารณาว่าลูกค้ามีแหล่งเงินได้ เงินตราต่างประเทศในอนาคตที่ชัดเจนก่อนการทำธุรกรรม
และเมื่อถึงกำหนดส่งมอบตามสัญญา ต้องดูแลให้ลูกค้าแจ้งรายละเอียดในแบบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศให้
ถูกต้องครบถ้วน ในส่วนด้านการขายเงินตราต่างประเทศ ให้เรียกเอกสารหลักฐานที่จำเป็นเพื่อพิจารณาว่าลูกค้ามี
ภาระผูกพันในอนาคตที่ระบุในกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน และเมื่อถึงกำหนดส่งมอบตามสัญญา
ต้องเรียกเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
3. สนพ.คาดจะเรียกเก็บเงินค่าอุดหนุนน้ำมันดีเซล 1 บาท/ลิตรคืนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณปีนี้
หรือปีหน้า ผอ.สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวถึง แนวทางการเก็บเงินคืนกองทุนน้ำมันเชื้อ
เพลิงว่า หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลแล้วเมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาระการชด
เชยน้ำมันของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิอยู่ที่ 92,070 ล้านบาท แบ่งเป็นการตรึงเบนซิน 7,000 ล้านบาท ที่
เหลือ 85,000 ล้านบาท เป็นการตรึงดีเซล ซึ่งการเก็บคืนหนี้กองทุนนั้นจะแยกบัญชีระหว่างเบนซินและดีเซล โดย
ในส่วนของเบนซินนั้นรัฐบาลประกาศเก็บเงินไปแล้ว 1 บาท/ลิตรในช่วงกลางปีนี้ คาดว่าจะหมดภายใน 1 ปี ใน
ส่วนดีเซลการเก็บคืนกองทุนน้ำมัน 1 บาท/ลิตรคาดว่าจะเรียกเก็บคืนในช่วงเวลาที่เหมาะสมเมื่อราคาตลาดโลก
ปรับลดลง ซึ่งอาจเป็นปีนี้หรือปีหน้า โดยจะใช้เวลาเก็บคืนอย่างน้อย 4 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี ตามอายุของพันธบัตร
กองทุนน้ำมันที่จะออกมาใช้หนี้ (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน)
4. ม.หอการค้าไทยแนะรัฐบาลเร่งควบคุมการนำเข้าสินค้า 9 รายการ ผอ.ศูนย์ศึกษาการค้า
ระหว่างประเทศ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษาโครงสร้างการนำเข้าของไทยเพื่อลดการขาดดุลการค้า
ว่า ในระยะสั้นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศได้นั้น
รัฐบาลจะต้องเร่งควบคุมการนำเข้าสินค้า 9 รายการ ได้แก่ 1) น้ำมันดิบ 2) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ
3) อุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 4) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 5) เครื่องจักรไฟฟ้า
และส่วนประกอบ 6) เคมีภัณฑ์ 7) เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 8) เครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงิน
แท่งและทองคำ และ 9) สินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ซึ่งน้ำมันดิบและเหล็กเป็นสินค้าที่สามารถลดการ
นำเข้าได้มากที่สุด โดยในเดือน ส.ค.นี้ รัฐบาลควรจะประกาศมาตรการควบคุมการนำเข้าที่ชัดเจน ทั้งนี้ จากการ
ศึกษาพบว่าหากรัฐบาลสามารถลดการนำเข้าเกินความจำเป็นได้ร้อยละ 44.34 คิดเป็นมูลค่ารวม 4,068.51 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. หรือ 164,656 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยน 41 บาท/ดอลลาร์ สรอ.) (แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สรอ.ขาดดุลการค้าลดลงในเดือน พ.ค.48 รายงานจากวอชิงตันเมื่อ 13 ก.ค.48 ก.พาณิชย์
เปิดเผยว่า ยอดขาดดุลการค้าของ สรอ.ในเดือน พ.ค.48 อยู่ที่ระดับ 55.3 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อย
ละ 2.7 จากเดือนก่อนหน้า เหนือความคาดหมายของบรรดานักวิเคราะห์ซึ่งคาดว่าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ
57 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ช่วยผ่อนคลายความกดดันของค่าเงินดอลลาร์ สรอ.เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ทั้งนี้ การ
ที่ สรอ.ขาดดุลการค้าลดลงดังกล่าว เป็นผลจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นและการนำเข้าที่ลดลง โดยการส่งออกมีมูลค่า
106.9 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า และมีมูลค่าสูงกว่า 100 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.
ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 162.2 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1 จากเดือน
ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม หากเทียบต่อปีดุลการค้ายังคงขาดดุลสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน (รอยเตอร์)
2. ยอดค้าปลีกของ สรอ.ในเดือน มิ.ย.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ต่อเดือนและร้อยละ 7.3 ต่อปี
รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 13 ก.ค.48 MasterCard Advisors ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัทบัตรเครดิต
MasterCard International รายงานยอดค้าปลีกในเดือน มิ.ย.48 ของ สรอ.ก่อนหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาล
แล้วโดยไม่รวมยอดขายรถยนต์มีจำนวน 268.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากเดือนก่อนและเพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 7.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยก่อนปรับตัวเลขตามฤดูกาล ยอดค้าปลีกไม่รวมยอดขายรถยนต์ลดลงร้อยละ
0.5 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนแต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับปีก่อนและหากไม่รวมยอดขายน้ำมันตามปั๊มซึ่งเพิ่มขึ้น
ตามราคาที่สูงขึ้นด้วยแล้วยอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น
ของวัสดุก่อสร้างและสินค้าตามฤดูกาลอย่างเช่น เครื่องปรับอากาศและเสื้อผ้าสำหรับใส่ในฤดูร้อน โดย ก.พาณิชย์
ของ สรอ.มีกำหนดจะรายงานยอดค้าปลีกในเดือน มิ.ย.48 อย่างเป็นทางการในวันที่ 14 ก.ค.48 เวลา 8.30
น.ตามเวลาท้องถิ่นซึ่งผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่ายอดค้าปลีกที่รายงานจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 จากเดือนก่อนและเพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 0.6 โดยไม่รวมยอดขายรถยนต์ (รอยเตอร์)
3. การลงทุนโดยจากต่างประเทศของจีนเดือน มิ.ย.48 ลดลงร้อยละ 22 จากปีก่อน รายงาน
จากกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อวันที่ 13 ก.ค.48 ข้อมูลจากทางการจีนแสดงให้เห็นว่า การลงทุนโดยตรงจาก
ต่างประเทศ (FDI) ของจีนในเดือน มิ.ย.48 มีมูลค่ารวม 6.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เป็นการลดลงต่ำกว่า
ปีก่อนเป็นครั้งที่ 5 แต่ก็เป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือน มิ.ย.47 ที่มีมูลค่ารวม 8 พันล้าน
ดอลลาร์ สรอ. โดยเป็นการลงทุนตรงเข้าสู่การทำธุรกิจหรือทรัพย์สินอื่น ๆ ไม่ใช่การลงทุนโดยอ้อมผ่านตลาดหุ้น
หรือการให้กู้ยืม ในขณะที่นักวิเคราะห์กล่าวว่าตัวเลขรายเดือนดังกล่าวไม่ค่อยมีเสถียรภาพมากนัก แสดงให้เห็นว่า
การลงทุนจากต่างประเทศชะลอตัวและแกว่งตัวขึ้น ๆ ลง ๆ หลังจากจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
(WTO) เมื่อปลายปี 44 โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ การลงทุนจากต่างประเทศของจีนมีมูลค่ารวม 28.6 พัน
ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงประมาณร้อยละ 3.2 จากปีก่อน ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์บางคนกล่าวว่าแม้ FDI ของ
จีนจะชะลอตัวลงแต่ก็ยังอยู่ในระดับ 4 — 5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อเดือน รวมทั้งการลงนามในสัญญาการลงทุน
(แต่ยังไม่เริ่มดำเนินการ) แสดงให้เห็นว่านักลงทุนจากต่างประเทศยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในจีนที่เศรษฐกิจ
ยังเติบโตได้ดี โดยการลงทุนที่มีการลงนามในสัญญาแล้วในเดือน มิ.ย.48 มีมูลค่ารวม 14.8 พันล้านดอลลาร์
สรอ. และในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่ารวม 86.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 ซึ่งปัจจัยที่ดึง
ดูดการลงทุนเข้าสู่จีนมาจากค่าจ้างแรงงานราคาถูกและเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทำให้นักลงทุนจากต่าง
ประเทศเข้าไปลงทุนในจีนในปี 47 มีมูลค่ารวม 61 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากปี 46 ประมาณร้อยละ
14 (รอยเตอร์)
4. อัตราการว่างงานของเกาหลีใต้ในเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมายที่ร้อยละ 3.8
รายงานจากโซลเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 48 รัฐบาลเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ในเดือนมิ.ย. อัตราการว่างงานของเกาหลี
ใต้เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 3.8 (ตัวเลขหลังปรับฤดูกาล) จากร้อยละ 3.5 เมื่อเดือนที่แล้ว สูงสุดในรอบ 5 เดือนนับตั้ง
แต่เดือนม.ค. ที่อัตราการว่างงานเคยอยู่ที่ระดับนี้ และมากกว่าผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 10 คนของ
รอยเตอร์ที่คาดว่าอัตราการว่างงานดังกล่าวจะอยู่ที่ร้อยละ 3.5 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนพ.ค. เนื่องจากการใช้
จ่ายผู้บริโภคชะลอตัว ทั้งนี้รมว.คลังเกาหลีใต้กล่าวว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้อาจจะไม่ถึงเป้า
หมายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 5 จึงเป็นไปไม่ได้ที่เป้าหมายการสร้างงานอย่างน้อย 400,000 ตำแหน่งที่เคยตั้งไว้ก่อนหน้า
นั้นจะบรรลุผล อย่างไรก็ตามปัจจุบันเกาหลีใต้ได้เปลี่ยนเป้าหมายการสร้างงานเป็น 300,000 ตำแหน่ง ผ่านการ
ใช้จ่ายของภาครัฐซี่งส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างเพื่อให้เศรษฐกิจในปีนี้ขยายตัวได้ร้อยละ 4.0 จากที่ขยายตัว
ร้อยละ 4.6 เมื่อปีที่แล้ว (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 14 ก.ค. 48 13 ก.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.855 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.6728/41.9563 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.6500-2.6875 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 658.37/ 13.04 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 53 54.01 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม 40 สตางค์ เมื่อ 12 ก.ค. 48 25.74*/22.99** 25.74*/22.99** 16.99/14.59 ปตท.
**ปรับเพิ่ม 90 สตางค์เมื่อ13 ก.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--